ญี่ปุ่นเขาจัดร้านกันแบบนี้ไง The Anatomical Chart of Shop

หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของการจัดร้านแบบญี่ปุ่น ความจริงแล้วต้องบอกว่าการจัดร้านประเภทต่างๆจาก Know How แบบคนญี่ปุ่นโดยนักออกแบบชื่อดังมาถ่ายทอดให้เราพอได้มีความรู้พื้นฐานว่าการจะออกแบบร้านหรือจัดร้านต่างๆนั้นเค้าคิดยังไงกันบ้าง.. ..ในเล่มจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1 เคล็ดลับของร้านน่านั่ง เริ่มต้นด้วยร้านประเภทต่างๆ เช่น ร้านกาแฟ ร้านขนมหวาน ร้านพิซซ่า ร้านเหล้า ร้านปิ้งย่าง หรือร้านสะดวกซื้อ ในแต่ละร้านก็จะมีความต้องการของกลุ่มคนที่เข้ามาใช้บริการอยู่เบื้องหลัง เช่น ร้านกาแฟคนต้องการความคล้ายบ้านแต่พิเศษกว่าบ้าน ต้องการพื้นที่ส่วนตัวแต่ก็ยังต้องมีพื้นที่ส่วนรวมอยู่ในร้านเดียวกัน.. ..ส่วนที่ 2 ขนาดของห้องที่ชวนให้อยากอยู่ตลอดเวลา หรือจะบอกว่า แต่ละห้องของแต่ละร้านนั้นควรมีสัดส่วนแต่ละส่วนอยู่ที่เท่าไหร่ โตีะสำหรับวางคอมทำงานอาจมีความลึกแค่ 50cm และแต่ละคนอยู่ห่างกันแค่…

โลกาภิวัตน์ Globalization; A very short introduction

หนังสือเล่มนี้เริ่มต้นที่คำถามว่า “โลกาภิวัตน์” คืออะไร? การเจริญขึ้นของสังคม? การพัฒนาขึ้นของเทคโนโลยี? หรืออะไรคือโลกาภิวัตน์.. ..โลกาภิวัตน์หมายถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในระดับโลกได้หรือไม่ น่าจะได้ งั้นคำถามต่อไปคือแล้วโลกาภิวัตน์เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ในยุคอินเตอร์เนตใช่หรือไม่? หรือช่วงเวลาไหนที่เกิดนิยามความเป็น “โลกาภิวัตน์” ขึ้น? ..ถ้าเราค่อยๆย้อนกลับไปเสมือนเลื่อนลงไล่ดู Facebook Timeline ก็จะเห็น Social Media ที่เชื่อมคนทั้งโลกให้เข้าไกล้กันได้มากขึ้น ถอยกลับไปอีกหน่อยก็จะพบว่าเป็นยุคของ Smartphone และ Internet ไร้สายที่ทำให้การเชื่อมต่อไม่ต้องติดอยู่กลับที่ เลื่อนหน้าฟีดของโลกาภิวัตน์ลงไปอีกก็อาจจะพบเจอกับยุค www หรือยุคเริ่มต้นอินเตอร์เนตนั่นเอง หรือย้อนกลับไปอีกอาจเป็นยุคของ PC…

เอ๊ะ! เจแปน

Exclusive Scoop on Japanese โดย ณัฐพงศ์ ไชยวานิชย์ผล เป็นหนึ่งในนักเขียนอีกคนที่ผมกลายเป็นแฟนตัวยงได้ยังไงก็ไม่รู้แฮะ พอนับดูหนังสือของผู้เขียนคนนี้ที่บ้านก็พบว่ามีถึง 4 เล่มไปแล้ว ทำไมผมถึงชอบนักเขียนคนนี้ล่ะ.. ..อาจเพราะเค้าถ่ายทอดเรื่องราวการใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น ไม่ใช่แบบการท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่หาได้ทั่วไปตามแผงหนังสือกับหน้าปกสถานที่ท่องเที่ยวที่เราเห็นกันจนเฝือล่ะมั้ง ผมเองอยากรู้เรื่องราวของคนในแต่ละที่มากกว่าสถานที่ๆน่าไปยิ่งกว่า..เพราะอะไรน่ะหรอ.. ..เพราะผมคิดว่าเวลาผมอ่านประสบการณ์ของเค้าก็เหมือนกับผมได้เข้าใจมุมมองความจริงในชีวิตจริงมากขึ้น นึกย้อนไปครั้งล่าสุดที่ผมไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมกลับเลือกเดินไปยังที่ต่างๆมากกว่าจะนั่งรถบัสหรือรถไฟอีกด้วยซ้ำถ้าผมสามารถเดินได้ ครั้งนึงตอนอยู่ในเกียวโตผมเดินกว่าครึ่งชั่วโมงจากวัดหนึ่งไปวัดหนึ่งเพื่อสำรวจดูบ้านเมืองของเค้าจริงๆ ดูว่าเค้าจัดหน้าบ้านกันยังไง จอดรถกันยังไง ระเบียงบ้านเค้าเป็นยังไง ตากผ้ากันยังไง มันเหมือนผมได้เห็นชีวิตจริงมากกว่าชีวิตปรุงแต่งเพื่อนักท่องเที่ยวตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ ผมว่าเรื่องพวกนี้มันสุดนะ กลับมาที่หนังสือ เค้าคนนี้ถ่ายทอดมากมายหลายเรื่อง แต่หนึ่งเรื่องที่ผมชอบและติดใจมากก็คือเรื่อง “โอบะซัง” หรือมนุษย์ป้าฉบับญี่ปุ่นที่ผู้เขียนให้คำนิยามว่า…

เอ๊ะ!! เจป๊อป

เป็นหนังสือเจาะลึกเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นสารพัดกลุ่มจากประสบการณ์นานปีที่แบกเป้ไปเที่ยว แล้วติดใจจนไปเรียน และสุดท้ายได้ภรรยาญี่ปุ่นกลับมา (อันนี้แหละนะที่สุดของความน่าอิจฉาสำหรับชายไทยทั้งหลาย) นี่เป็นเล่มที่ 4 ของนักเขียนคนนี้ที่ผมซื้อมาอ่าน ที่ชอบขนาดนี้เพราะอะไร เพราะความง่ายในการอ่าน ภาษาชาวบ้านที่เล่าง่าย ไม่ต้องประดิษฐ์ปั้นคำอะไรให้วุ่นวาย อ่านง่ายเหมือนนั่งคุยกับเพื่อนไปจิบเบียร์ไปนั่นเอง..แล้วหนังสือเล่มนี้เจาะลึกเกี่ยวกับกลุ่มคนในญี่ปุ่นยังไง? ..ในเล่มเขียนถึงคน 13 กลุ่มดังนี้.. นักเขียนมังงะ..ผู้วาดการ์ตูนทั้งหลายทาเลนโตะ..ตัวประกอบในรายการทีวีที่มีประจำนางแบบกราเวียร์ไอดอล..นิตยสารชุดว่ายน้ำของสะสมหนุ่มน้อยใหญ่เมื่อหลายปีก่อนเด็กประถม..เพิ่งจะรู้ว่ากระเป๋านักเรียนสะพายหลังญี่ปุ่นนี่ผ่านการคิดและออกแบบมาอย่างดี จนต้องมีมาตรฐานระดับชาติเด็กมัธยม..ทุ่มเทตามความฝันก่อนเข้าสู่โลกความจริง “เราจะไปโคชิเอ็ง” คุ้นมั้ยประโยคนี้นักศึกษามหาวิทยาลัย..ชิลครึ่งทางแรกและเฟ้นหางานครึ่งทางหลังไม่ได้ลำบากเท่ามัธยมปลายผู้ประกาศข่าวสาว..อาชีพในฝันของสาวญี่ปุ่นแม่บ้าน..ผู้เป็นกองหนุนสำคัญที่ทำให้พ่อบ้านออกไปทำงานนอกบ้านได้อย่างเต็มที่นักการเมือง..ก็ไม่ต่างจากบ้านเรา ที่เห็นต้องลาออกต้องฆ่าตัวตายเพราะโดนกดดันจากข่าวและสังคม..แต่บ้านเราหน้าด้านกว่าเยอะเรื่องนี้เหล่าคนในเครื่องแบบ..ตำรวจที่เป็นเสมือนเพื่อนบ้านจริงๆของญี่ปุ่น กระจายตัวอยู่ตามป้อมยามเล็กๆทั่วเมือง หาง่าย ช่วยเหลือได้จริงๆนักแสดงคาบูกิ..อาชีพศักดิ์สิทธิ์ของนักแสดงที่สืบทอดมาร่วม 400 กว่าปี กว่าจะเป็นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องเข้าค่ายฝึกอาชีพตั้งแต่เล็กผู้สูงอายุ..ที่จะกลายเป็นประชากรกลุ่มหลักในประเทศญี่ปุ่นเร็วๆนี้ เค้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีและหลายคนเลือกมาอยู่เมืองไทยเพราะอะไรและดาราเอวี..ชายไทยหลายคนคงคุ้นเคย เพิ่งรู้ว่าดาราเอวีเองก็มีแบ่งเป็นลำดับขั้น ตั้งแต่โนเนมยันระดับซุปเปอร์สตาร์ และเข้ามาอยู่วงการบันเทิงยาวๆได้ด้วย…

START WITH WHY

ตั้งคำถามเพียง 1 ข้อ ก็พลิกจากตามขึ้นมานำ โดย Simon Sinek นักพูด TED Talk ชื่อดังผู้เผยแพร่ความคิด Golden Ring, Why How and What ..ครั้งนึงเมื่อหลายปีก่อนผมเคยได้ดูชายคนนี้พูดใน TED Talk ซึ่งสารภาพเลยว่าในตอนนั้นไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า TED Talk คืออะไร รู้แต่ว่าชายคนนี้พูดอธิบายหลักการความคิดในการสื่อสารออกมาได้ดีถึงดีมาก ว่าการสื่อสารที่ดีเข้าถึงจิตใจคนคือการเริ่มต้นจากคำว่า WHY ไม่ใช่ WHAT หรือ…

ช้า ให้ ชนะ

ยิ่งเร่งรีบเท่าไหร่ ยิ่งต้องเดินให้ช้าลงเท่านั้น.. ..ในชีวิตที่มีแต่ความรีบเร่งให้บรรลุเป้าหมายหรือความต้องการในชีวิต เราต่างลืมศิลปะในการใช้ชีวิตอย่างความใส่ใจกับสิ่งดีๆรอบตัวต่างๆมากมาย.. ..คนส่วนใหญ่มองหาทางลัด แต่จากประสบการณ์ผู้มากประสบการณ์และความสำเร็จอย่างผู้เขียนกลับบอกชัดเจนว่า “ไม่มีทางลัดสำหรับความสำเร็จ” แล้วอย่างนั้นทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จได้เร็วที่สุดล่ะ นี่คงเป็นคำถามของคนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน.. ..ผู้เขียนบอกว่าความสำเร็จได้จะมาจาก 3 ส่วนสำคัญที่ช่วยทวีคูณกัน สมการนั้นคือ ความสามารถ x ความพยายาม x ทัศนคติ = ผลลัพธ์ของชีวิต.. ..และสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ความสามารถที่เป็นความเก่งกาจหรือพรสวรรค์ ไม่ใช่ความพยายามที่เป็นความอดทนมุมานะ แต่เป็นทัศนคติความคิดรู้จักคิดในทางที่ดีสิ่งที่ถูก เพราะถ้าทัศนคติผิดเมื่อไหร่ ผลลัพธ์ที่ได้ก็พาลเป็นติดลบไปหมด.. ..จงให้คนเก่งทำงาน แต่ผลักดันให้คนดีเป็นผู้นำ เมื่อคนดีเป็นผู้นำหรือผู้บริหาร ผลลัพธ์ที่ได้ยังไงก็จะออกมาดีจะดีมากหรือดีน้อยก็ยังเป็นผลลัพธ์ที่ดี แต่ถ้าคุณเลือกคนเก่งเป็นผู้นำ…

Creative Capitalism ทุนนิยมสร้างสรรค์

ว่าด้วยเรื่องของการพูดคุยกันระหว่างสองมหาเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ของโลกสองขั้ว Bill Gates ขั้วเทคโนโลยี และ Warren Buffett ขั้วแห่งนักลงทุน การถกเถียงเริ่มต้นจาก Bill Gates ผู้ผันตัวไปทำมูลนิธิเพื่อสังคมอย่างเต็มตัวและถอนตัวจากบริษัท Microsoft ที่ตัวเองเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา ตั้งคำถามว่าเป็นไปได้มั้ยที่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกจะช่วยกันสละทรัพยากรของตนเพื่อตอบสนองกลุ่มคนที่ยากจนที่สุดในโลกกว่าหนึ่งพันล้านคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยเงินดำรงชีพไม่ถึง 1 เหรียญสหรัฐ เป็นไปได้มั้ยว่าเศรษฐกิจทุนนิยมจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นทุนนิยมสร้างสรรค์ที่ไม่ได้มุ่งหวังแต่กำไรสูงสุด แต่มุ่งหวังเรื่องชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับเพื่อกลับมาสร้างผลกำไรสูงสุดที่อาจจะไม่ใช่แค่ตัวเงิน แต่จะเป็นการยอมจ่ายมากขึ้นของลูกค้า การดึงดูดพนักงานเก่งๆให้เข้ามาด้วยค่าแรงที่ถูกกว่า เพราะภูมิใจที่ตัวเองจะได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทเพื่อสังคม หรือแม้แต่สละผลกำไรก่อนหักภาษีเพื่อช่วยเหลือคนยากจนที่สุดในโลกหนึ่งพันล้านคน เกิดเป็นการถกเถียงผ่านเวปบอร์ดที่ผู้เขียนตั้งใจให้เกิดขึ้น โดยเริ่มต้นจากวิวาทะของ Bill Gates ที่กรุงดาวอสที่เริ่มพูดถึงเรื่องทุนนิยมสร้างสรรค์ และการสนทนาส่วนตัวระหว่างเขากับ Warren…

ปัญญาญี่ปุ่น

สรุปหนังสือ ปัญญาญี่ปุ่น เป็นหนังสือที่เล่าให้เห็นวิวัฒนาการของประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคอดีตจนปัจจุบัน ผ่านบริษัทรถยนต์ชื่อดังทั้งโตโยต้า และฮอนด้า เริ่มจากคนลากรถที่วัดธารน้ำในที่เมืองเกียวโต ที่ต้องลากรถขึ้นเขาพานักท่องเที่ยวไปส่งปลายทางบนเขา การจะลากรถขึ้นเขานั้นถ้าต้องลากท่าปกติเป็นอะไรที่ต้องใช้แรงมาก ท่าปกติคือการหันหน้าไปทางข้างหน้าเหมือนปกติ แต่นักลากรถคนหนึ่งค้นพบว่าถ้าหันหลังแล้วค่อยๆเหมือนดันรถขึ้นเขาจะใช้แรงน้อยลง เหนื่อยน้อยกว่า แถมยังสามารถหันหน้ามาพูดคุยกับคนที่นั่งบนรถได้ สามารถพูดบรรยายเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของวัดแห่งนี้ได้. พอคนนึงค้นพบ ที่เหลือก็ทำตาม จนกลายเป็นท่าลากรถขึ้นเขามาตรฐานของวัดธารน้ำใสชื่อดังในเกียวโตแห่งนี้ ถ้าไม่ได้อ่านเล่มนี้ก็คงไม่รู้ว่าโตโยต้าที่โด่งดังเรื่องรถยนต์นั้น แต่ตะกูลโตโยดะเจ้าของบริษัทนี้กลับเริ่มต้นธุรกิจด้วยการทำเครื่องทอผ้า จากเครื่องทอผ้า ส่วนฮอนด้านั้นเริ่มจากสร้างจักรยานที่ติดเครื่องยนต์ให้ผู้คนได้ใช้ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกลายเป็นบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ถึงทุกวันนี้ ส่วนโตโยต้าเองก็เริ่มจากผลิตรถยนต์ให้กับกองทัพในช่วงสงครามโลก โดยเฉพาะพวกรถขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นรถกระบะขนาดใหญ่ หรือรถบรรทุก จนค่อยๆพัฒนากลายมาเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป ญี่ปุ่นเองแม้จะผ่านสงครามมาอย่างหนักหนาแต่ก็สามารถพัฒนาจนกลายมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกได้ในเวลาไม่กี่สิบปี ทั้งฮอนด้า และโตโยต้าก็เช่นกันที่ต้องผ่านอุปสรรคทางเศรษฐกิจมาหลายต่อหลายครั้ง…

Another I มนุษย์กับ AI ใครวิ่งนำ ใครตาม

นิตยสารรายเดือนฉบับนี้จาก TCDC รวมแง่คิดเรื่อง AI ที่น่าสนใจไว้มากมาย อย่างประเด็นที่มนุษยชาติวันนี้เริ่มวิตกกังวลว่าวันนึงพรุ่งนี้ AI จะทัดเทียมเลียนแบบมนุษย์ได้ แต่ความกังวลนี้ก็ถูกขจัดไปด้วยประโยคจากบทบรรณาธิการที่บอกว่า “ตราบใดที่มนุษย์ยังเป็นภัยต่อมนุษย์ด้วยกันเอง การสร้าง AI ที่สามารถเลียนแบบมนุษย์ได้แทบทุกอย่างจะมีค่าอะไร ถ้าเราไม่พัฒนาเผ่าพันธุ์ของเราเองให้ดีเสียก่อน” ได้ยินแบบนี้แล้วจุกเลยครับ หรือสรุปได้ว่า ไม่ต้องกลัวว่า AI หรือใครจะมาเลียนแบบเราหรอก ถ้าเราไม่ได้มีดีอะไรที่น่าเลียนแบบขนาดนั้น ทำให้ผมนึกถึงภาพยนต์เรื่อง Her ที่ AI ไม่ใช่แค่คิด แต่ยังสามารถ “รู้สึก” ได้เสมือนมนุษย์ สามารถมีความรักได้ และที่สำคัญสามารถบรรลุจนลบตัวเองทิ้งจากระบบได้…

Human Rights สิทธิมนุษยชน

หลังจากที่ดองหนังสือซีรีส์ A Very Short introduction มานาน ก็ถึงคราวไล่อ่านเรียงตามเรื่องซักที จากปรัชญาการเมืองที่มีเกริ่นเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็เลยถึงเวลาหยิบหนังสือสิทธิมนุษยชนความรู้ฉบับพกพาเล่มนี้มาอ่านซักที ถ้าให้สรุปสั้นๆหลังอ่านจบว่าสิทธิมนุษยชนคืออะไร ก็คงบอกได้ว่าคือแนวคิดที่ไม่แบ่งชายแยกหญิง ไม่แบ่งขาวแยกดำ ไม่แบ่งเชื้อชาติแยกคนกลุ่มน้อย ไม่แบ่งศาสนาแยกความเชื่อ ไม่แบ่งรวยแยกจน คือหลักแนวคิดที่ว่าทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ล้วนมีสิทธิเยี่ยงมนุษย์หนึ่งคนเท่ากันถ้วนหน้า สิทธิมนุษยชนเลยเป็นเรื่องที่ไม่มีวันจบ ไม่มีกฏิกาเส้นกำหนดแน่นอน ไม่มีขาวดำชัดเจน หลายประเด็นล้วนเป็นสีเทาๆ และสิทธิมนุษยชนจะไม่มีวันลดลง กลับมีแต่เพิ่มประเด็นมากขึ้นทุกวัน ยิ่งถกเถียงกันก็ยิ่งเจอประเด็นใหม่ๆของสิทธิมนุษยชน สิทธิมนุษยชนมีให้ทุกคนแม้แต่ผู้ก่อการร้าย แม้ถูกจับได้ก็ยังได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชนจนกลายเป็นประเด็นข้อถกเถียงที่ว่า Human Rights for Act หรือจะเป็น…