CONSENT เพศศึกษากติกาใหม่

สรุปหนังสือ Consent เพศศึกษากติกาใหม่ หนังสือเล่มนี้เพิ่งได้มาใหม่จากสัปดาห์งานหนังสือแห่งชาติออนไลน์เมื่อช่วงกักตัวอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติเมื่อปลายมีนาคมและต้นเมษายนที่ผ่านมา หนังสือเล่มนี้นึกว่าจะใหญ่และหนาในตอนแรก(เพราะไม่ได้อ่านรายละเอียดเรื่องขนาดและจำนวนหน้า) แต่พอได้มากลับพบว่าเล่มขนาดเล็กพอดีมือ หยิบติดไปอ่านด้วยที่ไหนก็ง่ายครับ ถ้าให้สรุปแบบสั้นๆ ผมว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นหนังสือสอนวิชาเพศศึกษาให้กับคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น และก็สอนให้ผู้ใหญ่แล้วเข้าใจด้วยว่าเรื่องเพศศึกษาในวันนี้มันต่างจากรุ่นเราอย่างไรในแง่ของบริบทบ้าง เรื่องหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBT หรือคำเรียกอื่นๆ ก็แล้วแต่ ต้องบอกว่าตอนที่ผมยังวัยรุ่นเราไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน ไม่เคยได้ยินเรื่องความหลากหลายทางเพศ จะมีก็แต่ความเท่าเทียมทางเพศระหว่างชายกับหญิง ในตอนนั้นผู้ชายโดนสอนว่าแค่ให้เกียรติผู้หญิงมากๆ ด้วยซ้ำ แต่มาวันนี้บริบทของเรื่องเพศก็เปลี่ยนไปเพราะเราไม่ได้มีแค่ชายกับหญิง แต่ยังมีเพศทางเลือก และอื่นๆ ตามรสนิยมความชอบที่เป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลที่เราต้องเคารพซึ่งกันและกัน แต่เนื้อหาเรื่องนี้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่หัวใจหลัก เพราะหัวใจหลักของหนังสือเล่มนี้คือพูดถึงเรื่องความยินยอมพร้อมใจที่ถูกต้องก่อนจะมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นหนุ่มสาว ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ในบริบทของเพศศึกษาหรือเซ็กส์ เพราะแต่เดิมทีตอนเราเป็นเด็กหรือวัยรุ่นเรามักจะถูกสอนให้หลีเลี่ยงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ แต่นั่นก็ทำให้เกิดปัญหามากมายตามมาเมื่อเราขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ถูกต้องทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีแบบผิดๆ…

เตรียมลูกรักให้พร้อมรับ Coding

ลูกคือผลผลิตของพ่อแม่ ลูกเป็นอย่างไรพ่อแม่ก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้นถ้าเด็กไม่ดีอย่าโทษแค่เด็ก แต่ให้ดูด้วยว่าพ่อแม่และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กคนนั้นเป็นอย่างไร สำหรับผมหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีไว้แค่ให้เด็กอ่าน แต่มีไว้ให้กับพ่อแม่ยุคใหม่สมัยนี้ หรือที่ศัพท์ของนักการตลาดเรียกว่า Millennial Parents ที่เลี้ยงลูกเป็นเพื่อน ปล่อยให้ลูกได้เลือก ได้ลอง ได้ตัดสินใจ ที่จะต่างจากพ่อแม่ยุคเก่าที่จะเป็นคนเลือกให้ลูกทุกอย่าง ลูกในยุคก่อนอย่างเราจึงมีหน้าที่แค่ทำตามที่พ่อแม่สั่งเป็นส่วนใหญ่ ความยากและท้าทายของพ่อแม่ยุคใหม่ที่เป็น Millennial Parents ในวันนี้คือจะเลี้ยงลูกอย่างไรให้ทันยุคสมัยที่เปลี่ยนไปไวเหลือเกิน และในวันที่เด็กมี Google เป็นครู ถ้าอยากรู้อะไรก็วิ่งเข้าไปถามอินเทอร์เน็ตก่อนพ่อแม่ด้วยซ้ำ ดังนั้นการเรียนรู้จึงไม่ใช่แค่หน้าที่ของเด็ก แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนโดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อแม่ ที่ต้องเรียนรู้ไปกับลูกให้ทัน ถ้าคุณไม่อยากกลายเป็นพ่อแม่ที่เชยๆล้าหลังจนลูกรู้สึกว่าพูดไปก็ไม่เข้าใจจนไม่อยากคุยด้วย ปรึกษาด้วยจริงมั้ยครับ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดระหว่างอ่าน และเมื่ออ่านจบผมก็คิดได้อีกว่าจริงๆแล้วการฝึกเรียนเขียน…

DNA Journal 4 ใช้ Digital Marketing เพื่อให้เกิดภาพจำ และเป็น DNA ของตัวเอง

หนังสือเล่มนี้ผมได้รับมาจาก ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ หรือ พี่ไอซ์ ผู้ก่อตั้ง DNA by SPU (ผมขออนุญาตเรียกพี่นะครับ) ที่อุตส่าห์ส่งมาให้ผมถึงบ้าน และไม่ใช่แค่เล่มเดียว แต่ยังตั้ง…หลายเล่ม(ขอโทษทีครับที่จำไม่ได้ เพราะมันเยอะจริงๆ) ต้องขอบคุณพี่ไอซ์ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมากๆเล่มหนึ่งในความคิดผม เพราะเป็นการสรุปเนื้อหาจากบรรดาผู้สอนที่เก่งกาจมากมายทั่วไทยที่ได้รับเชิญมาสอนในคลาส DNA by SPU ที่ย่อมาจาก Digital Network Advantage นี้ เป็นหนังสือที่อ่านแล้วมีแต่เนื้อไม่มีน้ำ แถมยังคัดประเด็นเด็ดมาให้พร้อม จนพูดตรงๆผมว่าเนื้อหาในเล่มดีมากจนถ้าผมอยากจะเอามาทยอยลงในเพจทุกวันไล่ไปให้ครบ…

21 Lessons for the 21st Century 21 บทเรียนสำหรับศตวรรษที่ 21

ชีวิตในศตวรรษนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเลยนะครับ และถ้าคุณคิดว่ามันยากแล้วที่จะใช้ชีวิตในศตวรรษนี้ แต่เหมือนว่าความเป็นจริงที่น่าจะเกิดขึ้นนั้นกลับยากยิ่งกว่าจะจินตนาการไหว จนผมคิดว่าที่คิดๆกันว่า “ยาก” อยู่แล้วนั้นอาจจะกลายเป็น “ง่ายไปเลย” เมื่อเจอกับความน่าจะเป็นที่จะถาโถมเข้ามาดุจพายุทั้งหลายด้านพร้อมๆกัน หนังสือเล่มนี้บอกถึง 21 สิ่งสำคัญที่น่าจะเกิดขึ้นในศตวรรษนี้ ในศตวรรษที่เราส่วนใหญ่จะมีอายุยืนกว่าคนในวันนี้มาก หรือเอาง่ายๆว่าถ้าค่าเฉลี่ยของอายุคนในวันนี้อยู่ที่ 70 กว่าปี แต่เด็กที่เกิดตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นไปน่าจะอายุยืนกันถึง 100 ปีเป็นเรื่องปกติ แล้วเมื่อเราอายุยืนขึ้นแต่การใช้ชีวิตกลับยิ่งยากขึ้นอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ แต่หนังสือเล่มนี้ก็พอให้แนวทางที่น่าสนใจและก็มีความเป็นไปได้ไม่มากก็น้อยที่ให้เราได้เตรียมตัวรู้เพื่อจะรับมือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น หรือถ้าไม่เกิดขึ้นก็ถือว่าโชคดีเสียด้วยซ้ำ ผมว่าหนังสือเล่มนี้ถ้าคุณได้อ่านหนังสือ “ทางรอดในโลกใบใหม่ แห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ของ Klaus Schwab”…

คเณิร์ตศาสตร์

เรียนเลขไปทำไม..ใครรู้บ้าง นั่นซิครับ จนผมอายุเข้าเลข 3 กลางๆแล้วหลายอย่างที่เรียนมาสมัยมัธยมจนวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าเรียนไปทำไม ในฐานะที่ผมเป็นเด็กสายวิทย์คณิตคนหนึ่ง(อย่าถามเรื่องเกรดเฉลี่ยจบมาเท่าไหร่ บอกได้แค่ว่ามันเลวร้ายจนคุณจะต้องช็อกถ้าได้รู้)ที่ต้องเรียนคณิตศาสตร์มากมั้ย ทั้ง matrix ทั้งแคลคูลัส ทั้ง log ทั้งบลาๆๆเต็มไปหมด ก็นั่นแหละครับ เรียนแบบไทยๆจบออกไปแบบงงๆ เพราะผู้สอนก็ไม่เคยบอกให้รู้ว่าไอ้ที่ต้องเรียนเนี่ยมันเกี่ยวกับชีวิตประจำวันเรายังไง เพราะถ้าบอกให้รู้ซักนิดเชื่อว่าเด็กส่วนใหญ่คงรักที่จะเรียนคณิตศาสตร์ขึ้นอีกเยอะ จนผมได้รับหนังสือเล่มนี้จากคุณ Pornput Suriyamongkol ที่อยู่ดีๆก็ inbox มาบอกว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งอยากส่งมาให้ลองอ่านดู และพอได้รับก็ถึงรู้ว่าเค้านี่แหละคือผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ พออ่านจบผมพบว่าถ้าคุณพรพุฒิ สุริยะมงคล ผู้เขียนมาเป็นครูสอนคณิตศาสตร์สมัยผมเรียน…

พูดคล่องไม่ต้องคิด Fluent Forever

“อยากเก่งขึ้น” ความคิดแรกที่ทำให้หยิบเล่มนี้จากชั้นหนังสือที่บ้านมาอ่าน เพราะรู้สึกว่าตัวเองอยากเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้น ถ้าถามว่าทุกวันนี้ผมอยู่ในเลเวลไหน ก็ต้องบอกว่าระดับเดียวกับสาวบาร์เบียร์ตามถิ่นที่เที่ยวของฝรั่งนี่แหละครับ ไม่ซิ ดีไม่ดีผมว่าผมเลเวลในความรู้ทั้งพูด ฟัง อ่าน เขียน น้อยกว่าอีกด้วยซ้ำ พอเห็นหน้าปกและเคยอ่านจากไหนผ่านๆจำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่า หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณคล่องทุกภาษาที่คุณต้องการมากขึ้น ไม่ใช่ด้วยการท่องจำ หรือทำแบบทดสอบใดๆ แต่เป็นการแนะวิธีหลักแนวคิดในการเข้าใจที่จะเรียนรู้ภาษาที่สอง สาม สี่ และต่อไปเรื่อยๆเท่าที่คุณต้องการ เพราะผู้เขียนบอกว่าตัวเองสามารถพูดได้หลายภาษาและพูดได้แทบจะเหมือน “ภาษาแม่” หรือภาษาที่พูดได้แต่กำเนิดเลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดแล้วด้วยหลักแนวคิดที่ผู้เขียนเอามาถ่ายทอดในหนังสือเล่มนี้ พออ่านดูก็พบว่าจริงครับ เพราะแทบไม่ได้สอนอะไรเรื่องภาษา คำศัพท์ หรือประโยคใดๆเลย แต่สิ่งที่ผู้เขียนค้นพบและเอาเคล็ดลับมาบอกก็สรุปประเด็นสำคัญในการเรียนรู้ภาษาได้ว่า ให้แปลคำเป็น “ภาพ”…

ก้าวแรกที่เท่าเทียม, GIVING KIDS A FAIR CHANGE

การศึกษาเพื่อสร้างโอกาสที่เสมอภาคแก่เด็กทุกคน เขียนโดย James Heckman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เมื่อพูดถึงโลกแห่งความเท่าเทียม ผมว่าที่ไกล้เคียงที่สุดคงเป็นวรณกรรมเรื่อง Utopia จะว่าเป็นวรรณกรรมได้มั้ยในเมื่อผู้เขียนนั้นเขียนบันทึกจากการบอกเล่าของชายคนหนึ่งที่อ้างว่าได้ไปพบกับดินแดนดังกล่าวเมื่อกว่า 500 ปีก่อน โดย Sir Thomas More ดินแดนที่ว่าด้วยความเท่าเทียมอย่างที่สุด ทุกคนมีกินมีใช้เท่ากัน ไม่มีใครพิเศษไปกว่าใคร สิ่งเดียวที่ดินแดนแห่งนี้แตกต่างกันคือความสนใจใคร่หาความรู้ แต่ก็นั่นแหละครับ Utopia ถ้าว่าไปแล้วก็สังคมนิยมดีๆนี่เอง ทุกคนทำงานเหมือนกัน ได้รับผลตอบแทนเท่ากัน ไม่มีการสะสมทุน ไม่มีความทะเยอะทะยาน ไม่มีชนชั้นวรรณะ แต่ก็ไม่นะ ใน Utopia…