How I Love my Mother

สรุปหนังสือ How I love MY MOTHER เรื่องราวความรักที่ทำให้หัวใจสองดวงเข้มแข็งมากพอที่จะอยู่เพื่อเป็นความสุขของกันและกัน เมื่อเริ่มอ่านเล่มนี้ไปซักพักผมก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า....คนเราจะแม่ได้แค่ไหนกันเชียวนะ? ไม่ซิ เปลี่ยนคำถามใหม่ดีกว่า เอาเป็น....เราเริ่มรู้ตัวกันจริงๆว่าเรารักแม่จริงๆตั้งแต่เมื่อไหร่? ก็คงเหมือนกับเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ที่ผู้เขียนน่าจะเพิ่งมารู้ตัวว่ารักและเห็นความสำคัญของแม่เอาเข้าจริงก็ตอนที่ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในวันที่แม่ของเธอนั้นเกิดล้มกลางอากาศ และหมอแจ้งว่าต่อจากนี้ไปแม่ของเธอจะเป็นผู้ป่วย “อัมพาทครึ่งซึก” เธอเล่าว่าเธอร้องให้ไม่ออกไปสามวันเพราะกำลังมึนงงกับชีวิตที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน หลังจากช่วงช็อคผ่านไปเธอบอกว่าเธอร้องให้แทบทั้งวันสลับกับอาการซึมเศร้าไปอีกนาน เธอทั้งดูเศร้า โทรม เหนื่อยล้าทั้งทางกายที่จากเด็กสาวลูกคนเดียวเอาใจแต่อยากได้อะไรก็โดนสปอลย์ตลอด กลายมาเป็นเด็กสาวที่ต้องคอยดูแลแม่ตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย ที่สำคัญเธอยังมีกันแค่สองคนแม่ลูกให้ดูแลไม่มีใครแล้ว สารภาพตรงๆว่าบางหน้าบางตอนอ่านไปก็ขำเล็กๆแบบน้ำตาซึมๆ บางช่วงอ่านแล้วก็ทำเอาตาชื้นน้ำตาจะไหล ถ้าสงสัยว่าเพราะอะไรที่ผู้ชายคนนึงนั่งอ่านหนังสืออยู่ร้านกาแฟนอกบ้านจะน้ำตาไหลออกมาให้ผู้คนสนใจได้ ก็คงหนีไม่พ้นรู้สึกว่าเรื่องของเธอช่างสะท้อนกลับมาที่ชีวิตเราเมื่อยังมีแม่ซะจริง ครับ แม่ผมไม่อยู่แล้ว แถมไม่อยู่มา 6…

Kitchen เห็นชาติ

หนังสืออาหารที่ไม่ได้สอนวิธีทำ แต่เน้นเรื่องราวที่เล่าอยู่เบื้องหลังของอาหารแต่ละอย่าง ใกล้ก็มากไกลตัวก็มี จนผมคิดว่าถ้ายิ่งได้อ่านเวลาที่กำลังกินอยู่คงจะดี เพราะยิ่งเป็นการปรุงความอร่อยด้วยเรื่องราวจากนักเขียน ผู้เป็นนักวาดภาพประกอบ แต่เขียนเล่าเรื่องได้อร่อยกลมกล่อมไม่น่าเชื่อ อย่างที่บอกครับว่าหนังสือเล่มนี้เป็นการเล่าเรื่องราว ที่มาที่ไป หรือประวัติศาสตร์ของอาหารแต่ละชนิด ทั้งคาว ทั้งหวาน ทั้งที่เคยกิน หรือทั้งที่แค่เคยได้ยินก็ตาม อย่าง เพรทเซล เพรทเซลเป็นขนมปังอบเส้นยาวๆที่ขดเป็นรูปคล้ายๆโบว์(ในความคิดผม) หรือเลข 8 ถ้าในบ้านเราก็นึกถึงร้าน Auntie Anne’s ที่มีขายตามห้างทั่วไปก็ได้ครับ ผมเพิ่งรู้ว่าเจ้าเพรทเซลนี้เป็นอาหารประจำชาติในเยอรมนี แต่ที่จริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศอิตาลี จากเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาคือ เพรทเซล มีกำเนิดมาจากความคิดสร้างสรรค์ของบาทหลวงชาวอิตาลีเมื่อราว 1,400 กว่าปีก่อน…

The Lucky Lay Off โชคดีที่ตกงาน

จากสาวคอนซัลท์ไฟแรงสูงบริษัทข้ามชาติหลายสาขาทั่วโลก ต้องพลิกผันถูกเลย์ออฟกลางคันตอนทำงานอยู่ลอนดอน ชีวิตกำลังสนุกไปด้วยแสงสีเสียงและสิทธิพิเศษจากบริษัท ต้องถูกลิดรอนหายไปแม้แต่วีซ่าก็ด้วย จนต้องเที่ยวทิ้งทวนครั้งสุดท้ายและหาแพลนบีให้ชีวิต จากเงินเดือนสองแสนเหลือหมื่นนิดๆ จากคอนซัลท์สาวออฟฟิศหรูในมหานครโลก ได้ลองมาเป็นสาว NGO ไปลุยถิ่นทุรกันดารที่พม่า จนทำให้เธอได้พบโลกกว้าที่ถ้าเธอไม่ถูกเลย์ออฟในวันนั้นก็คงไม่มีวันนี้ จนเธอได้ทำตามฝันไปเรียนต่อที่มหาลัยชั้นนำของโลกที่อเมริกา ด้วยความพยายามและความฝืนใจมองโลกในแง่ดีของเธอ และโลกใหม่ที่กำลังรอเธออยู่ ทำให้เธอได้กลับมาขอบคุณการเลย์ออฟครั้งนั้นที่ทำให้เธอมีวันนี้ครับ ว่าไปชีวิตผมก็เคยตกงานเพราะถูกเลย์ออฟตอนบริษัทที่ดูรุ่งโรจน์ประกาศปิดตัวกระทันหันเหมือน “กระเป๋า” ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ถ้าถามว่าตอนที่ออฟฟิศประกาศเลย์ออฟตอนนั้นรู้สึกยังไงบอกตรงๆใครๆก็บอกว่าผมดูนิ่งมากครับ แทบไม่มีอาการตระหนก ตกใจ โวยวาย ร้องให้ใดๆเลย แถมยังช่วยสามารถปลอบใครต่อใครอีกหลายคนด้วยซ้ำ แต่พอไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป กลับมาถึงงบ้าน สมองเริ่มทำงานไปเรื่อยๆหลังจากแยกย้ายกัน โอโห ประมวลผลไม่ทันทั้งอดีตเมื่อไม่กี่ชั่วโมงหรือในใบสัญญาจ้างงานที่ใครๆก็อิจฉาต้องกลายเป็นเศษกระดาษไร้ค่า ทั้งเงินกองทุนนสมทบ…

I Cancel my Cancer

เขียนจากประสบการณ์ตรงจากผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Hodgkin’s Lymphoma) เพียง 1% ในโลกที่มะเร็งลามเข้าสู่หัวใจ จนแทบเอาชีวิตไม่รอด.. ..ต้องบอกก่อนเลยว่าผู้เขียนหรือคุณเบลล์นั้นแทบจะเรียกว่าซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยสามชั้นที่แม้แต่ฝาอิชิตันก็ให้ขนาดนี้ไม่ได้ เริ่มจากพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จากนั้นก็พบว่าตัวเองเป็นวัณโรค แล้วก็พบว่าตัวเองมีก้อนมะเร็งในหัวใจ โอ้โห..อะไรจะขนาดนั้นครับ ..จากสาว 26 กำลังจะจบโทจากนอก เตรียมจะใช้ชีวิตแบบคนยุคใหม่เต็มที่แต่ทุกสิ่งที่เคยคิดและแพลนเอาไว้ต้องมาสะดุดลงหมด เพราะจากอาการวูบสลบที่คิดว่าแค่ไม่สบายที่อังกฤษ ก็เลยคิดว่าจะบินกลับมาไทยเพื่อมาตรวจร่างกายเล็กน้อยและฉีดยานิดหน่อยแล้วก็บินกลับไปสอบ ป.โท กับทำวิทยานิพนธ์อีกนิดหน่อยให้จบ กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่ไม่มีวันย้อนกลับอีกต่อไป.. ..เพราะเธอได้พบเจอมะเร็งที่อยู่ในปอด และลามไปส่วนอื่นๆของร่างกาย จนครอบครัวถึงกับช็อคเพราะไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้ยังไง แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปต้องกลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต็มตัวที่หมอว่าเหลือเวลาไม่ถึง 6 เดือน ..เริ่มจากการตรวจร่างกายอย่างละเอียดทุกส่วน เพื่อค้นหาให้เจอว่าต้นเหตุของปัญหาอยู่ตรงไหน…