The Why Axis คู่มือสำรวจโลกฉบับนักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม

สรุปหนังสือ The Why Axis คู่มือสำรวจโลกฉบับนักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เขียนโดย Uri Gneezy และ John A. List เล่มนี้ถ้าจะบอกว่าเป็นหนังสือที่เหมาะกับนักการตลาดสาย Data-Driven Marketing ก็ไม่ผิดครับ เพราะเรื่องราวในเล่มส่วนใหญ่เป็นการทดลองทำ Experiment หรือในภาษาการตลาดยุคดาต้ามักเรียกว่า A/B Test เพื่อหาว่าตกลงแล้วข้อเท็จจริงคืออะไร หรือตกลงแล้วอะไรที่เวิร์คที่สุดสำหรับเรา ผู้หญิงไม่ชอบแข่งขัน และไม่ชอบเป็นผู้นำจริงหรือ มีตั้งแต่การทดลองเพื่อหาว่าตกลงผู้หญิงเป็นเทศที่ไม่ชอบเป็นผู้นำ หรือเป็นเพศที่ไม่ชอบการแข่งขันเหมือนผู้ชายจริงหรือไม่ แต่เมื่อนักวิจัยได้ไปพบกับชนเผ่าหนึ่งที่มีผู้หญิงเป็นใหญ่ (เหมือนสลับตำแหน่งกันระหว่างผู้ชายผู้หญิงกับสังคมส่วนใหญ่บนโลกทุกวันี้ครับ) พบว่าผู้หญิงก็เป็นผู้นำได้ดี…

Dollars and Sense คุณมีเหตุผลอยู่กี่ดอลลาร์ Dan Ariely

สรุปหนังสือ Dollars and Sense คุณมีเหตุผลอยู่กี่ดอลลาร์ ผมเชื่อว่าคนที่เป็นแฟน Dan Ariely ต้องไม่พลาดหนังสือเล่มนี้เป็นแน่ โดยหลักใหญ่ใจความของหนังสือเล่มนี้คือเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม Behavioral Economics ที่นักการตลาดและคนทำธุรกิจอย่างผมสามารถเอามาประยุกต์ใช้เป็นศาสตร์ของจิตวิทยากับการตลาด Marketing Psychology นั่นเองครับ หนังสือคุณมีเหตุผลอยู่กี่ดอลลาร์เล่มนี้บอกให้รู้ว่ามนุษย์เราส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยมีเหตุผลในการตัดสินใจสักเท่าไหร่ กับเรื่องเงินก็เช่นเดียวกัน เรามักใช้เงินอย่างไม่ค่อยมีเหตุผลกันทั้งนั้น หรือไม่ก็เอาความไม่สมเหตุสมผลมาเป็นเหตุผลซัพพอร์ทการตัดสินใจเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นถ้าใครอยากรู้เท่าทันตัวเอง รู้เท่าทันการตัดสินใจใช้เงินของมนุษย์ส่วนใหญ่ หนังสือเล่มนี้เหมาะมาก เพราะถ้าคุณเข้าใช้เหตุผลที่ไร้เหตุผลในการใช้เงินทุกบาทของคนส่วนใหญ่ คุณก็จะรู้ว่าจะต้องทำการตลาดแบบไหนหรือใช้กลยุทธ์ในการตั้งราคาสินค้าอย่างไรจึงจะทำให้ยอดขายไหลมาเทมา ลองมาดูตัวอย่างการใช้เงินที่ไม่ค่อยมีเหตุผลของมนุษย์เรากันนะครับ คุณรู้ไหมครับว่าบัตรเครดิตมักทำให้เราใช้จ่ายเงินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว จาก Data ในธุรกิจอาหารก็บอกให้รู้ว่าเมื่อลูกค้าใช้บัตรเครดิตจะมีอัตราการใช้เงินที่สูงกว่าการใช้เงินสดถึง…

สรุปหนังสือ 52 วิธีตัดสินใจให้ไม่พลาด The Art of Thinking Clearly 2

สรุปหนังสือ 52 วิธีตัดสินใจให้ไม่พลาด หรือ The Are of Thinking Clearly 2 เล่มนี้อ่านจบมาจะเดือนเพิ่งจะได้มีเวลาหยิบขึ้นมาสรุปให้เพื่อนๆ ในอ่านแล้วเล่าได้อ่านต่อ ก่อนจะสรุปหนังสือเล่มนี้ให้ฟังก็ต้องบอกเลยว่า นี่เป็นหนังสืออีกเล่มที่ดีมาก ช่วยเปิดโลกไอเดียให้กว้างขึ้น บวกกับยังเป็นคู่มือในการใช้เป็น Reference ชั้นดีเวลาจะทำแคมเปญการตลาด เพราะบางเรื่องอาจเป็นสิ่งที่เราคิดอยู่แล้วแต่ไม่เคยมีข้อมูลใดมาซัพพอร์ท ดังนั้นใครที่เป็นนักการตลาด คนทำธุรกิจ หรือคนโฆษณา ผมแนะนำเต็มที่ว่าคุณควรอ่านหนังสือเล่มนี้และมีติดไว้ทั้งที่บ้านกับที่โต๊ะทำงาน เพราะถ้าคิดไอเดียไม่ออกหนังสือ 52 วิธีตัดสินใจให้ไม่พลาด The Are of Thinking…

Thinking Fast and Slow คิดเร็วและช้า ตอนที่ 2

หลังจากสรุปหนังสือ Thinking Fast and Slow คิดเร็วและช้า ตอนแรกไปที่เน้นโฟกัสกับประเด็นสำคัญอย่าง มนุษย์เรานั้นสามารถถูกชักจูงและชี้นำได้ง่ายกว่าที่คิดไว้มาก แค่ให้เรียงคำที่เกี่ยวกับคำว่าแก่ ก็ทำให้คนกลุ่มนั้นเดินไปอีกฝากของอาคารช้าลงกว่ากลุ่มแรกที่ถูกให้เรียงคำเกี่ยวกับคำว่าหนุ่มสาว ตอนนี้ยังเหลืออีกแง่มุมหนึ่งที่สำคัญของหนังสือ Thinking Fast and Slow เล่มนี้ที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังต่อ นั่นก็คือประเด็นของเรื่อง ด่วนตัดสินใจ โดยเรื่องตัวอย่างที่น่าสนใจนั่นก็คือการตัดสินว่าจะให้อภัยโทษนักโทษคนไหนบ้างของศาล ซึ่งเป็นไปตามความเหนื่อยล้าของสมองครับ มีการเก็บข้อมูลการให้อภัยโทษของศาลพบว่า ในช่วงเวลาที่ผู้พิพากษากำลังอิ่มท้องหลังจากเพิ่งกินข้าวมา ผู้พิพากษามักจะใช้สมองได้ดีกว่า และก็มีอารมณ์ที่ดีกว่า ทำให้แนวโน้มการตัดสินอภัยโทษนักโทษนั้นมีสัดส่วนสูงกว่านักโทษที่ถูกตัดสินในช่วงเวลาใกล้มื้ออาหารถัดไป เช่น ช่วงประมาณ 11 โมงก่อนกินข้าวเที่ยง หรือช่วงราวๆ…

Thinking Fast and Slow คิดเร็วและช้า Daniel Kahneman

หนังสือ Thinking Fast and Slow เล่มนี้เป็นอะไรที่ผมเฝ้ารอคอยให้มีฉบับแปลไทยมานานมาก และครั้งแรกที่ได้รู้ว่ามีแปลไทยออกมาก็ดีใจมาก เฝ้ารอคอยนับวันเวลาว่าเมื่อไหร่จะวางขาย แต่ที่ทำให้เซอร์ไพรซ์มากที่สุดก็คือความหนาของหนังสือที่ถูกแปลออกมา เรียกได้ว่าหนาในระดับสมุดหน้าเหลืองสมัยก่อนมาก(ถ้าใครไม่รู้จักคุณน่าจะเป็น Gen Z ครับ) เพราะหนังสือเล่มนี้ถ้านับจำนวนหน้าทั้งหมดมีถึง 800 หน้าเลยทีเดียวครับ แต่ถ้าจะนับเฉพาะจำนวนหน้าที่อ่านได้เนื้อหาก็นับได้ถึง 729 หน้าแล้ว เรียกได้ว่าอ่านกันให้ตาทะลุ อ่านเอาให้หน้าปกเปื่อยกันไปข้าง แล้วเมื่อนับระยะเวลาที่ผมใช้อ่านก็นานถึง xx วัน เริ่มอ่านวันที่ 6 ตุลาคม อ่านจบวันที่ 18 รวมแล้วก็…

ATOMIC HABITS เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น

หนังสือ Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็นเล่มนี้ถ้าให้สรุปสั้นๆ ก็ว่าด้วยศาสตร์แห่งการสร้างและปรับเปลี่ยนนิสัยใหม่ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการ โดยบอกให้โฟกัสที่การกระทำระหว่างทางมากกว่าผลลัพธ์ เพราะถ้าเรามัวแต่โฟกัสที่ผลลัพธ์ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เห็นผลทันทีที่ลงมือทำ ก็เลยจะทำให้เราถอดใจไวเกินไป ดังนั้นถ้าใครมีเป้าหมายใหญ่ใดในชีวิตให้คงเป้านั้นไว้แล้วมาโฟกัสที่การกระทำในแต่ละวันแทน ถ้าพูดในภาษานักการตลาดก็คือเรา Set goal ไว้ได้ แต่ต้องหันมาโฟกัสที่ Strategy หรือกลยุทธ์ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องทำเพื่อไปให้ถึงปลายทางฝันที่ตั้งใจครับ และกลวิธีหรือ Tactics ของหนังสือ Atomic Habits เล่มนี้ก็จะพูดถึงการทำให้ดีขึ้นแค่วันละ 1% เท่านั้นพอ ไม่ต้องทำให้ดีขึ้นมากแบบก้าวกระโดดเพราะมันมักจะยากจนเราถอดใจ แต่เอาแค่ดีขึ้นวันละนิด วันละ 1% จากเมื่อวานเท่านั้นครับ…

Presuasion กลยุทธ์ก่อนโน้มน้าวใจ Robert Caldini

หนังสือ Presuasion กลยุทธ์ก่อนโน้มน้าวใจ เล่มนี้เขียนโดย Robert Caldini ผู้เขียนหนังสือ Influence – The Psychology of Persuasion หรือเป็นที่มาของบทความการตลาดชื่อดังที่ใครๆ ก็คุ้นหูกับคำว่า The 6 Principles of Persuasion หรือกลยุทธ์การโน้มน้าวใจว่าเราควรทำอย่างไรให้คนคล้อยตาม หนังสือ Presuasion เล่มนี้จึงเปรียบเสมือนการเขียนเล่มก่อนหน้าหนังสือเล่มแรก คือย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของก่อนที่จะ Persuasion หรือโน้มน้าวใจว่าเราควรจะทำอย่างไร “ก่อน” ที่จะโน้มน้าวใจเขาให้ได้นั่นเอง เมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดไม่อาจงอกงามในดินที่เต็มไปด้วยหินฉันใด…

Amazing Decisions เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม Dan Ariely

สรุปหนังสือ Amazing Decisions หรือ เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ฉบับเข้าใจง่ายที่สุดในโลก! เล่มนี้เขียนโดย Dan Ariely ก็คือคนเดียวกับที่เขียนหนังสือพฤติกรรมพยากรณ์ที่ผมชอบมากจนต้องอ่านซ้ำเป็นครั้งที่สองเมื่อไม่นานมานี้นี่แหละครับ หนังสือ Amazing Decisions เล่มนี้เปรียบได้กับหนังสือที่สรุปจากหนังสือพฤติกรรมพยากรณ์หรือ Predictably Irrational อีกทีก็ว่าได้ เพราะเห็นเล่มเหมือนจะหนาแบบนี้แต่เนื้อหาข้างในอยู่ในรูปแบบการ์ตูนที่อ่านเข้าใจได้ง่าย แต่ยังได้ประเด็นสำคัญของเรื่องเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมอย่างครบถ้วนเลยทีเดียวครับ ซึ่งหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือการฉายภาพให้เราเข้าใจว่าโลกที่เราอยู่นั้นประกอบด้วยบรรทัดฐานสองแบบ แบบแรกคือบรรทัดฐานทางตลาด ที่ตีค่าตีราคากับทุกอย่างว่าต้องยื่นหมูไปไก่มานั่นเอง ส่วนบรรทัดฐานแบบที่สองในโลกเรานั้นเรียกว่าบรรทัดฐานทางสังคม นั่นก็คือสิ่งที่ทำให้เราเกรงใจหรือยังคงทำดีต่อกันแม้จะไม่มีเงินมาล่อมีรางวัลมาให้ก็ตาม ดังนั้นสิ่งที่หนังสือเล่มนี้เน้นย้ำให้เราต้องระวังคืออย่าพลาดไปใช้บรรทัดฐานทางการตลาดกับเรื่องที่เป็นบรรทัดฐานทางสังคมเลยทีเดียวครับ เช่น ถ้าเราไปกินข้าวบ้านพ่อแม่แฟนแล้วอยู่ดีๆ เรารู้สึกเกรงใจว่าต้องตอบแทนด้วยอะไรสักอย่าง แล้วเราดันคำนวนออกมาว่าค่าอาหารทั้งหมดที่พ่อแม่แฟนเตรียมให้เรานั้นถ้าตีเป็นเงินแล้วประมาณเท่าไหร่ แล้วถ้าเราเลือกที่จะจ่ายให้เป็นเงินออกไปแม้จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยต่อหัวที่คุณตีราคาไว้รับรองว่าชีวิตหลังจากนี้คุณลำบากแน่นอนครับ…

Predictably Irrational พฤติกรรมพยากรณ์

สรุปหนังสือ Predictably Irrational หรือ พฤติกรรมพยาการณ์เล่มนี้ เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่ผมเลือกหยิบมาอ่านซ้ำเป็นครั้งที่สอง เหมือนครั้งแรกผมจะเคยอ่านเมื่อ 4 ปีก่อน แต่ตอนนั้นยังอ่านแบบแค่อ่านแล้วจบไม่ได้มีการเอามาเขียนสรุปเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ แต่บอกได้เลยว่าหนังสือพฤติกรรมพยากรณ์เล่มนี้ทำให้ผมหลงไหลเรื่องเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม หรือ Behavioral economics มากๆ เลยครับ เพราะหนังสือพฤติกรรมพยาการณ์ หรือ Predictably Irrational เล่มนี้น่าจะถูกยกให้เป็นหนังสือที่นักการตลาดและนักธุรกิจทุกคนต้องอ่าน เพราะคุณจะเข้าใจเบื้องหลังเหตุผลการตัดสินใจส่วนใหญ่ของมนุษย์เราว่าแท้จริงแล้วไม่ได้มีเหตุผลใดที่เป็นเรื่องเป็นราวมาสนับสนุนทุกการตัดสินใจของพวกเขาอย่างที่มนุษย์เราเคยเชื่อเลย หนังสือเล่มนี้บอกให้รู้ว่าส่วนใหญ่แล้วคนเราทำไปตามความรู้สึก และความรู้สึกนั้นก็เป็นตัวชี้นำความคิด และความคิดนั้นก็ส่งผลต่อการกระทำสุดท้ายเป็นจะส่งผลกระทบสำคัญต่อชีวิตเราทุกคนทั้งนั้นครับ เช่น พยาบาลมักคิดไปเองว่าการลอกผ้าพันแผลผู้ป่วยไฟไหม้ออกให้เร็วที่สุดแม้จะรุนแรงนิดหน่อยแต่ก็น่าจะช่วยให้ผู้ป่วยทรมานน้อยลงเพราะใช้เวลาแค่แป๊บเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว Dan Ariely…

โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี 6 ศาสตร์แห่งความหดหู่และสิ้นหวัง

สรุปหนังสือโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เล่มที่ 6 ที่มีชื่อประจำเล่มว่า ศาสตร์แห่งความหดหู่และสิ้นหวังเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือใหม่อะไร แต่เป็นหนังสือที่ผมตามหามานานกว่า 6 ปีแล้วครับ ต้องบอกว่าชุดหนังสือโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีนี่แหละที่ทำให้ผมคนที่เคยไม่คิดจะอ่านหนังสือได้จบเล่ม กลายเป็นหนอนหนังสือขึ้นมา เปลี่ยนจากกองหนังสือเป็นชั้นหนังสือ และทำให้ผมพัฒนาจากชั้นหนังสือจนมีห้องหนังสือของตัวเองได้ทุกวันนี้ ในช่วงที่ผมได้อ่านหนังสือของอาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ เป็นครั้งแรกของสำนักพิมพ์ Openbooks ที่เป็นชุด 10 เล่ม เชื่อมั้ยครับว่าหนังสือของอาจารย์ที่ผมได้อ่านในตอนนั้นทำให้ผมถึงกับวางไม่ลงเลยจริงๆ จากนั้นผมก็เลยปวารณาตัวเองเป็นแฟนตัวยงของอาจารย์วรากรณ์แกโดยไม่ได้ขออนุญาต และนั่นก็ทำให้ผมพยายามตามหาหนังสือที่อาจารย์เขียนมาอ่านเป็นอาหารสมองให้มากที่สุดครับ จากหนังสือชุด 10 เล่มของสำนักพิมพ์ Openbooks สู่การเปิดโลกว่าอาจารย์แกก็เขียนให้กับสำนักพิมพ์มติชนด้วย และนั่นก็ทำให้ผมตามหาหนังสือชุดโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีของแก และผมก็สามารถหาได้ทุกเล่มยกเว้นเล่มที่ 6…