จะเล่าเป็นเพื่อนคุณ 20 ปี หลังจาก จะเล่าให้คุณฟัง ฆอร์เฆ่ บูกาย

จากที่ได้อ่านเล่มแรก จะเล่าให้คุณฟัง เป็นอะไรที่ประทับใจมาก ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่คนที่หาหนังสือแนววรรณกรรมมาอ่านด้วยตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะคิดว่าตัวเองไม่น่าจะชอบหรืออ่านแล้วมีความอินไม่เหมือนกับหนังสือแนวความรู้ หรือที่เขียนมาจากเรื่องจริงอิงประวัติศาสตร์ แต่พอได้อ่านผลงานเขียนของ ฆอร์เฆ่ บูกาย ก็ทำให้ผมรู้สึกอยากหาหนังสือของชายคนนี้มาอ่านเพิ่มเติมอีกครั้ง แล้วก็บังเอิญมาได้เจอกับหนังสือเล่มนี้ จะเล่าเป็นเพื่อนคุณ เมื่องานหนังสือที่ผ่านมาเร็วๆ นี้ ก็เลยต้องขอหยิบติดมือแล้วรีบเอามาลัดคิวอ่านและก็พบว่าไม่ผิดหวังจริงๆ ครับ เหมือนหนังสือเล่มนี้จะเล่าเรื่องหลังจากเล่มแรกผ่านไปได้ 20 ปี (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจริงไหม) จากที่ตัวเอกในเรื่องเล่มแรกเดเมียนทำการรักษาจิตบำบัดกับจิตแพทย์ของเขาคุณหมออ้วน (ซึ่งตอนนี้ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว) ในช่วงวันหนุ่ม วัยที่กำลังสับสนกับชีวิตว่าจะไปทางไหนดี ในช่วงวัยที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ในเล่มแรกจบกันที่การจากลา ชายหนุ่มเดเมียนรู้สึกว่าตัวเองต้องพร้อมที่จะออกไปเผชิญโลกกว้างเรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเองโดยที่เลิกยึดติดกับคุณหมออ้วนจิตแพทย์ของตัวเองได้แล้ว 20 ปีผ่านไปเดเมียนตัวเอกของเรื่องก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย นับเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิตพอสมควร…

จะเล่าให้คุณฟัง ฆอร์เฆ่ บูกาย

สรุปหนังสือ จะเล่าให้คุณฟัง ของ ฆอร์เฆ่ บูกาย เล่มนี้ผมได้มาจากหลักสูตร DNA ตั้งแต่วันแรกที่ไปเรียน ซึ่งเป็นหนังสือที่ผมประทับใจมากที่สุดนับตั้งแต่เคยได้หนังสือมา นั่นก็เพราะพี่หนุ่ม เจ้าของร้าน Passport Bookshop เป็นคนเลือกให้ผมแบบ Personalization ด้วยตัวแกเองเลยครับ บอกตรงๆ หนังสือเล่มนี้ผมคงไม่มีทางซื้อด้วยตัวเอง เพราะส่วนตัวผมคิดเองเออเองเสมอว่าตัวเองน่าจะไม่อินกับหนังสือแนววรรณกรรม หรือเรื่องแต่งขึ้นมา และแม้จะได้ฟรีมาก็คงไม่คิดจะอ่านเช่นกัน แต่ด้วยหนังสือเล่มนี้ถูกเลือกมาแบบ Personalized ให้กับผมอย่างตั้งใจ ดังนั้นผมจึงรู้สึกตื่นเต้นที่ได้อ่านเพราะอยากรู้เหมือนกันว่านี่คือหนังสือแบบไหนกันนะที่พี่หนุ่มเลือกมาให้ผม และเมื่ออ่านดูถึงได้พบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆ (อยากจะพิมพ์ซ้ำสักล้านตัวแต่ก็กลัวว่าเซิฟเวอร์จะล่ม) เพราะหนังสือนี้ให้ทั้งแง่คิดและปัญญาไปพร้อมกัน แถมยังให้วัตถุดิบสำคัญสำหรับคนที่ทำงานด้านการตลาดอย่างผมเต็มไปหมดเลยครับ เชื่อมั้ยครับว่าเรื่องเล่าหลายเรื่องที่ผมเคยอ่านเจอจากหนังสือเล่มอื่น…

Pinocchio ปิน็อกกีโอ

อ่านจบไปหลายวันแล้วเพิ่มได้มีเวลามีเขียนถึงหนังสือชื่อ “ปิน็อกกีโอ” ชื่อแปลแบบดั้งเดิมตามการออกเสียงแบบอิตาลี ชาติกำเนิดของผู้แต่งเรื่องนี้ หรือ พิน็อคคิโอ นิทานขื่อคุ้นปากของใครทุกคน..ผมเชื่อแบบนั้น แทบทุกคนคงรู้จักนิทานเรื่องนี้เหมือนกับตัวผมก่อนหน้านี้ว่า หุ่นกระบอกไม้ที่เกิดมีชีวิตเหมือนคนจริงๆขึ้นมา แล้วก็ชอบพูดโกหกจนจมูกยื่นจมูกยาว…แล้วไงต่อล่ะ สำหรับผมตอนแรกผมก็รู้แค่นี้แหละ ที่เหลือผมจำไม่ได้แล้ว แต่พอได้อ่านต้นฉบับก็พบว่าสนุกและมีความแยบคายในตัวเรื่องตามสมัยที่แต่งในปี ค.ศ.1881 หรือตรงกับรัชกาลที่ 5 ที่กระตุ้นให้ผู้อ่านรู้จักวิธีสอนลูกหลานให้เป็นเด็กดีรักเรียนใผ่รู้ไม่ขี้เกียจเอาแต่เล่น..เพื่อจะได้เป็นแรงงานในการพัฒนาประเทศในช่วงชาตินิยมล่าอาณานิคมกันต่อไป ตัวเรื่องที่แท้จริงของปิน็อกกีโอเป็นแบบนี้ครับ เริ่มจากปิน็อกกีโอนั้นเป็นท่อนไม้ที่มีชีวิตแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าช่างไม้คนนึงทำหุ่นไม้เสร็จแล้วก็ขอพรกับนางฟ้าให้หุ่นมีชีวิตเลยซักนิด อย่างที่ผมบอกครับ..ท่อนไม้ที่จะใช้ทำปิน็อกกีโอมีชีวิตแต่แรกและช่างไม้คนนั้นก็ตั้งใจเอาท่อนไม้นั้นไปจากเพื่อนสนิทคนนึงไป จากนั้นหุ่นไม้ปิน็อกกีโอที่มีชีวิตเหมือนมนุษย์คนนึง วิ่งได้ พูดได้ หิวได้ โกรธได้ ก็กลับไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดในเนื้อเรื่อง ก็เพราะในเรื่องยังมีหุ่นไม้อีกหลายตัวที่มีชีวิตเหมือนปิน็อกกีโอ อ่านถึงตอนนี้ผมเองก็เงิบแดกเลยนึกว่าหุ่นไม้มีชีวิตจะเป็นเรื่องแปลก ที่แปลกต่อมาคือตลอดทั้งเล่มเรื่องมีแค่ตอนเดียวทีปิน็อกกีโอพูดโกหกแล้วจมูกยื่นยาว…

บันทึกลับ ของ แอนน์ แฟร้งค์ Anne Frank, The diary of a young girl

ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะมี “สมุด” เป็นเพื่อนได้ แต่เด็กผู้หญิงคนนึงที่ชื่อ แอนน์ แฟร้งค์ เธอมีเพื่อนรักและเพื่อนสนิทเป็นสมุดได้จริงๆ เพราะเธอและครอบครัวต้องคอยหลบซ่อนจากตำรวจ ทหารเยอรมัน หรือพวกนาซี ที่คอยกวาดล้างชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างที่เราคุ้นกันดีในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ที่ชาวยิวถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพวกนาซีไปหลายล้านคน เธอกับครอบครัว รวมถึงอีกหนึ่งครอบครัวชาวยิว และหมอชาวยิวอีกคนหนึ่ง รวมกันเป็น 8 คน ต้องคอยหลบซ่อนอยู่ในอาคารที่ทำงานเก่าของพ่อเธอในเมืองอัมสเตอร์ดัม เป็นเวลาเกือบ 3 ปี ที่คนทั้ง 8 ต้องเบียดเสียดกันอยู่แต่ในห้องใต้หลังคาแคบๆ และไม่ได้ออกจากตึกแถวเล็กๆ 3 ชั้นครึ่งไปไหนเลย ทำได้อย่างมากก็แค่…