แย็บบ่อยๆสอยด้วยฮุคขวา Jab, Jab, Jab, Right Hook

เขียนโดย Gary Vaynerchuk นักเขียนผู้เปิดบริษัทที่ปรึกษาด้านโซเขียลมีเดียที่อเมริกาชื่อ VaynerMedia ที่คอยให้คำปรึกษาบริษัทชั้นนำระดับ Fortune 500 และเป็นผู้ลงทุนใน Start Up ด้าน Social Media ที่ดังๆตั้งแต่เริ่มตั้งไข่หลายราย เช่น Twitter เป็นต้น เมื่อพูดถึงโซเชียลมีเดียที่ใครๆก็คุ้นเคย.. ..แต่คนที่คุ้นเคยที่สุดคงหนีไม่พ้นนักการตลาดทั้งหลาย เพราะตั้งแต่มีเจ้า Social Media นี้เข้ามาทำให้บรรดานักการตลาดและเอเจนซี่โฆษณาเองต้องปวดหัวกันไปตามๆกันแบบไม่มีหยุดพัก เพราะอะไรน่ะหรอ.. ..เพราะแต่ก่อนช่องทางการสื่อสารของเรามีจำกัดจำเขี่ยมาก ขนาดยุคอินเตอร์เนตและเวปเข้ามาก็ยังไม่ปวดหัวเท่า Social Media ครองโลก…

ชุมนุมชีวประวัติ Biographical Round-Up

เขียนโดย เดล คาร์เนกี นักเขียนผู้โด่งดังที่นักอ่านหลายคนคงรู้จัก เล่มนี้เป็นหนังสือรวบรวมประวัติบุคคลโด่งดังสำคัญแบบสั้นๆแต่ยังเข้าใจได้ครบ.. ..แต่หลายบุคคลในเล่มนี้ผมไม่คุ้นเคยมาก่อน เพราะเป็นบุคคนสำคัญผู้โด่งดังจากการทหารในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ในยุคของเดลเองส่วนหนึ่ง แต่สิ่งนึงที่ทำให้ทึ่งมากคือตัวผู้เขียนหรือเดลเอง ได้ออกเดินทางไปสัมภาษณ์บุคคลเหล่านี้ด้วยตัวเอง หรือครอบครัวของคนสำคัญเหล่านั้นไปตามที่ต่างๆทั่วโลก เท่ากับว่าหนังสือเล่มนี้เป็นตัวแทนของการเดินทางไปเกือบทั่วโลกก็ว่าได้.. ..ผมขอยกบุคคลหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่พอได้อ่านจากเล่มนี้เพียงครั้งเดียวกลับทำให้ผมจำได้คร่าวๆก็คือ มาดามคูรี.. ..มาดามคูรี เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์หญิงคนแรกและคนเดียวของโลก(มั้ง) ที่เคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ครั้งด้วยกัน และสิ่งนึงที่ทำให้น่าทึ่งและน่านับถือมากคือการที่เธอเป็นผู้ประดิษฐ์จนค้นพบธาตุตัวใหม่ที่มีมูลค่ามหาศาลก็คือ เรเดียม.. ..เรเดียมซึ่งเป็นธาตุที่ไม่มีตามธรรมชาติแต่ต้องสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบากของมาดามคูรีและสามีของเธอตามลำพัง จากการต้องใช้ทุนตัวเองอดมื้อกินมื้อเพราะไม่มีใครให้ทุนอุดหนุนเธอแต่เธอก็พยายามทำ บางคนอาจสงสัยว่าธาตุเรเดียมนั้นสำคัญและมีมูลค่ามหาศาลอย่างไร นั่นเพราะธาตุเรเดียมนั้นใช้ในการฉายแสงรักษาโรคมะเร็งในสมัยนั้น(ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังใช้อยู่รึเปล่า) และด้วยเหตุนี้เองทำให้น่าจะมีมูลค่ามหาศาลถ้ามาดามคูรีเลือกที่จะจดสิทธิบัตรและขายความรู้นี้ในเชิงพานิชย์เพื่อเก็บเงินเข้ากระเป๋าเธอกับสามีให้ได้กินอยู่สบายตลอดชีวิต…

เหตุผลของธรรมชาติ

ครั้งนี้ผมขอเริ่มด้วยการหยิบปกหลังหนังสือขึ้นมาเขียนนะครับ ทำไมเราถึงแพ้ท้องทำไมถึงจึงมีไข้ทำไมไข้มาลาเรียทำให้เรานอนซม แต่ไข้หวัดทำให้เราไอและจามทำไมไฟฉายย่อส่วนเป็นจริงไม่ได้ทำไมคนเมืองร้อนจึงชอบกินอาหารเผ็ดกำเนิดการหายใจด้วยออกซิเจนทำไมปลวกต้องสร้างจอมปลวกใหญ่ทำไมเราต้องกินทำไมทารกหัวใจจึงเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่ทำไมเรากินอาหารสามมื้อต่อวัน แต่งูเหลือมกินวันละหนึ่งมื้อต่อเดือนหูช้างและอัณฑะคนคล้ายกันตรงไหนทำไมอัณฑะจึงหดเล็กเมื่อเราโกรธทำไมนกฟลามิงโกยืนขาเดียวทำไมเราเบื่ออาหารเวลาเราป่วยและคำถามทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกันยังไง ทั้งหมดนี้มีคำตอบอยู่ในหนังสือเล่มเล็กอ่านสนุกเข้าใจง่ายไม่ถึงสองร้อยหน้า คราวนี้ผมขอตอบคำถามจากปกหลังของเล่มทั้งหมดจากความจำที่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อกี๊ให้ดูแล้วกันนะครับ ทำไมเราถึงแพ้ท้อง เพราะ เป็นวิวัฒนาการกลไกป้องกันร่างกายของแม่ตั้งแต่สมัยโบราณที่ไม่มีตู้เย็นเก็บรักษาอาหารให้สดใหม่ได้ตลอดเวลา ดังนั้นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่อาจเน่าเสียได้ง่ายในสมัยโบราณนั้นทำให้ร่างกายของหญิงที่เริ่มตั้งท้องช่วงแรกไม่เปิดรับ แต่ด้วยเราเพิ่งสร้างเทคโนโลยีที่เรียกว่าตู้เย็นเพื่อเก็บรักษาอาหารเมื่อไม่นานมานี้ (ไม่ถึงร้อยปี) ร่างกายเราจึงวิวัฒนาการตามไม่ทัน ผมเดาว่าอีกซักพันปีร่างกายของผู้หญิงคงเลิกแพ้ท้องแล้วล่ะครับ และอีกเหตุผลหนึ่งคือเพราะร่างกายของทารกในช่วง 1-3 เดือนแรกนั้นยังนับว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกายของแม่ เพราะครึ่งหนึ่งของตัวอ่อนในท้องนั้นมาจาก DNA ของพ่อ ดังนั้นร่างกายแม่ก็ต้องปรับตัวกับตัวอ่อนไปพร้อมกัน ทำไมถึงจึงมีไข้ เพราะการเพิ่มความร้อนในร่างกายด้วยตัวเองของคนเราสามารถรักษาเชื้อโรค ไวรัส หรือแบคทีเรีย ให้หายด้วยตัวเองได้ตามวิวัฒนาการของร่างกายแต่สมัยก่อน ทำไมไข้มาลาเรียทำให้เรานอนซม แต่ไข้หวัดทำให้เราไอและจาม เพราะ ไข้มาลาเรียนั้นเป็นวิวัฒนาการในการไม่พึ่งพาร่างเหยื่อหรือเจ้าของมากนัก…

Audience เปลี่ยนจากแค่รู้จักเป็นรักและบอกต่อ

ผู้เขียนทำงานบริษัทด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งชื่อดังในเครือ Saleforce ในอเมริกา เค้าแชร์ว่าสิ่งสำคัญของการตลาดยุคนี้ไม่ใช่แค่การตะโกนประกาศเหมือนสมัยก่อนว่า “ชั้นมีของดีมาขาย ซื้อมั้ยจ้ะๆ” เพราะ…แม้เราจะอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยสื่อดิจิทัล เสพย์ติดสมาร์โฟนมากกว่าทีวี หรือเปิดทีวีไว้แต่ก้มหน้าเล่นเฟซบุ๊คแล้วแชตไลน์กับเพื่อน แต่นักการตลาดหรือเอเจนซี่ส่วนใหญ่ก็ยังคิดในรูปแบบเดิมแค่ขยายช่องทางการเข้าถึงใหม่ๆที่เป็นดิจิทัล ก็คือการตะโกนขายของปาวๆเหมือนเดิม ไม่ได้สนใจผู้บริโภคหรือกลุ่มผู้ชมที่อยู่ในแต่ละบริบทเอาซะเลย เพราะแต่ละ Channel ก็มี Context ของมัน แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าทำไมคนยุคโฆษณาทีวีถึงยังคิดแบบนั้น.. ..เพราะสมัยก่อนช่องทางการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมหรือ Audience นั้นมีแค่ 9 ช่องทาง ทำให้การคิดงานนั้นมีรูปแบบและ Platform ที่ไม่ชัดเจนไม่ซับซ้อน แต่ทุกวันนี้ช่องทางการเข้าถึงกลุ่ม Audience นั้นมากกว่า 50…

Political Philosophy ปรัญชาการเมือง

ถ้าถามว่า ปรัชญการเมือง ต่างกับ การเมือง ปกติอย่างไร ผมคงสรุปหลังจากอ่านจบได้ว่า การเมืองโดยทั่วไปคือผลลัพธ์หรือวิธีการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมืองนั้น . เช่น นักการเมืองอาจมีเป้าหมายที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ด้วยการทำให้เกิดการจ้างงานเต็มอัตรา เอาง่ายๆก็คือทุกผู้ทุกคนมีงานทำนั่นเอง แต่ไม่ใช่แค่ทุกคนมีงานทำเท่านั้น เพราะนั่นอาจหมายถึงว่ามีอาชีพที่คนไม่ได้อยากทำ หรือไม่ตรงกับความรู้ความสามารถที่มี ทำให้ไม่สามารถทำงานออกมาได้เต็มที่ เช่น ถ้านักการเมืองสร้างงานในตำแหน่งเสมียน หรือพนักงานกวาดถนน (ที่เอ่ยถึงสองอาชีพนี้ไม่ได้ดูถูก แค่ยกเป็นตัวอย่างง่ายๆให้เห็นภาพเร็วๆ) ก็ไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ที่แท้จริงได้ . นี่คือ การเมือง . ส่วนปรัชาการเมืองหมายถึงการคิด คิดไปยังความจริงแท้ของเป้าหมายทางการเมืองนั้น เช่น…

1984 George Orwell

เป็นวรรณกรรมน้อยเล่มที่ผมอ่าน ส่วนตัวผมไม่ค่อยได้อ่านวรรณกรรมเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แต่กับ 1984 เล่มนี้ที่เคยได้ยินคนพูดถึง และประจวบกับช่วงนี้ไล่อ่านหนังสือแนวการเมืองการปกครองหลายเล่ม จนทำให้ถึงคราวที่ต้องหยิบ 1984 ขึ้นมาลองอ่านดูบ้าง . 1984 ถ้าให้สรุปสั้นๆก็คงบอกได้ว่าเป็นหนังสือแนวการเมืองการปกครองในจินตนาการของผู้เขียนที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จนถึงช่วงสงครามเย็น ที่ระบบการปกครองแบ่งออกเป็นสองฝ่ายที่แข็งขันกัน ระหว่างสังคมนิยมกับเสรีนิยม . ในหนังสือว่าด้วยผู้นำสูงสุดหรือที่เรียกว่า Big Brother หรือ “พี่เบิ้ม” ในชื่อไทย ที่คอยจับตาดูประชาชนทุกผู้คน โดยเฉพาะสมาชิกในพรรคชั้นนอกไม่ให้หลุดจากแนวคิดของพรรคหรือผู้นำ ผ่านโทรภาพที่เหมือนทีวีรุ่นพิเศษที่สามารถเฝ้ามองและฟังเสียงเรากลับได้ด้วย . ถ้าเปรียบโทรภาพใน 1984 ผมว่าก็เหมือนกับ “อินเทอร์เน็ต”…

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4, The Fourth Industrial Revolution

เป็นหนังสือที่ให้ภาพรวมแนวกว้างรวมกับข้อมูลเชิงลึกว่า โลกในวันพรุ่งนี้หลายปีข้างหน้าจะไปในทิศทางไหน ด้วยผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 จากอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไร้สายที่สามารถให้อุปกรณ์รอบตัวที่มีเซนเซอร์รับข้อมูลรอบด้าน เอาข้อมูลทั้งหมดไปวิเคราะห์ด้วยความเร็วไม่ว่าจะด้วย ai หรือ machine learning ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปทุกด้าน แล้วการปฏิวัติอุตสาหกรรม 3 ครั้งที่ผ่านมาล่ะเป็นยังไง การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 คือการปฏิวัติแรงงานจากคนและสัตว์ กลายมาเป็น “เครื่องจักรไอน้ำ” ทำให้การทำงานที่ต้องใช้แรงงานในรูปแบบซ้ำๆถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรไอน้ำ เช่น การทอผ้าที่เคยเป็นเรื่องยากทำให้ผ้ามีราคาแพงเพราะต้องใช้แรงงานคนมากมาย เมื่อใช้แรงงานจากเครื่องจักรไอน้ำก็ทำให้อาชีพคนทอผ้ามากมายในอังกฤษต้องหายไป และก็ได้ผ้าราคาถูกที่ใครๆก็เข้าถึงได้มาแทน แถมเครื่องทอผ้านี่แหละที่ทำให้อินเดียตกอยู่ในวิกฤตในตอนนั้น การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 คือการปฏิวัติพลังงานมาเป็น “ไฟฟ้า” และการผลิตแบบสายพานการผลิต…

Blockchain เปลี่ยนโลก, Blockchain Revolution

ทำไม Skype ถึงไม่ได้เกิดมาจาก AT&T Paypal ไม่ได้เป็นของ Visa Twitter ไม่ได้มาจาก CNN Uber ไม่ได้เริ่มต้นที่ GM หรือ Hertz Google ไม่ได้แยกออกมาจาก Microsoft iTune ไม่ได้มาจากค่ายเพลงดังอย่าง Sony Instagram ไม่ได้ถูกคิดโดย Kodak Netflix ไม่ได้กำเนิดออกมาจาก Blockbuster เพราะนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ล้วนเกิดจาก “คนนอก” ทั้งสิ้น…

The Strategy and Tactics of Pricing กลยุทธ์การตั้งราคา

เมื่อราคาไม่ใช่แค่ “ราคา” ที่เคยเข้าใจอีกต่อไป หนังสือเล่มนี้แม้จะอ่านยากนิดๆ (มีอารมณ์คล้ายหนังสือเรียนที่มักจะต้องถูกบังคับจากอาจารย์ให้อ่าน) แต่ก็ถ้าตั้งใจอ่านซักหน่อยก็จะพบว่ามีอะไรให้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวอีกเยอะ รวมถึงเคสที่น่าสนใจมากมาย . หลายครั้ง “ราคา” มักเป็นส่วนสุดท้ายของการตัดสินใจ ที่มักจะเอา “ต้นทุน” มาบวก “ผลกำไร” ที่ต้องการ แล้วใช้ตัวเลขนั้นเป็นราคาขายให้กับลูกค้า แทบจะเรียกได้ว่าเป็นปลายทางของธุรกิจเลยก็ว่าได้ . แต่หนังสือเล่มนี้ให้มุมมองใหม่ที่น่าสนใจว่า การตั้งต้นด้วยราคาก่อนจะเริ่มทำธุรกิจนั้น มีโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจนั้นอยู่รอดและเติบโตได้มากกว่า!? . สำหรับผมเป็นมุมมองใหม่ที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยกับการ “เอาราคาเป็นตัวตั้ง” . เพราะแต่ไหนแต่ไรมา การกำหนดราคาด้วยต้นทุนคือ สินค้า >…

บันทึกลับ ของ แอนน์ แฟร้งค์ Anne Frank, The diary of a young girl

ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะมี “สมุด” เป็นเพื่อนได้ แต่เด็กผู้หญิงคนนึงที่ชื่อ แอนน์ แฟร้งค์ เธอมีเพื่อนรักและเพื่อนสนิทเป็นสมุดได้จริงๆ เพราะเธอและครอบครัวต้องคอยหลบซ่อนจากตำรวจ ทหารเยอรมัน หรือพวกนาซี ที่คอยกวาดล้างชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างที่เราคุ้นกันดีในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ที่ชาวยิวถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพวกนาซีไปหลายล้านคน เธอกับครอบครัว รวมถึงอีกหนึ่งครอบครัวชาวยิว และหมอชาวยิวอีกคนหนึ่ง รวมกันเป็น 8 คน ต้องคอยหลบซ่อนอยู่ในอาคารที่ทำงานเก่าของพ่อเธอในเมืองอัมสเตอร์ดัม เป็นเวลาเกือบ 3 ปี ที่คนทั้ง 8 ต้องเบียดเสียดกันอยู่แต่ในห้องใต้หลังคาแคบๆ และไม่ได้ออกจากตึกแถวเล็กๆ 3 ชั้นครึ่งไปไหนเลย ทำได้อย่างมากก็แค่…