AI 2041 10 เรื่องเล่าเทคโนโลยี AI แห่งอนาคต Kai-Fu Lee และ Chen Qiufan

สรุปหนังสือ AI 2041 10 เรื่องเล่าเทคโนโลยี AI แห่งอนาคต ที่เขียนโดย Kai-Fu Lee และ Chen Qiufan หรือคนที่เขียนหนังสือ AI Super Powers อันโด่งดังก่อนหน้านั่นเองครับ หนังสือเล่มนี้ออกไปทางนิยายวิทยาศาสตร์แบบที่เอาเทคโนโลยี AI ในปัจจุบันที่อยู่ในช่วง Research หรือเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาได้ไม่นาน มาเล่าให้เห็นภาพว่าโลกในอนาคต หรือสังคมมนุษย์ในปี 2041 นั้นจะเป็นอย่างไร เราจะใช้ชีวิตกันแบบไหนเมื่อเทคโนโลยี AI นั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตเราส่วนใหญ่บนโลกเรียบร้อยแล้ว…

อาหรับรัตติกาล The Thousand Nights and One Night เล่ม 2

สรุปรีวิวหนังสืออาหรับรัตติกาล The Thousand Nights and One Night เล่ม 2 หรือเป็นเล่มต่อจากมหัศจรรย์แห่งพันหนึ่งราตรี เล่ม 1 ที่ผมเคยอ่านและรีวิวไว้เมื่อนานมาก ขอบอกก่อนเลยว่าผมเป็นคนที่แทบไม่อ่านหนังสือแนววรรณกรรมเลย แต่หนังสือชุดนี้เป็นอะไรที่สนุกติดใจผมมาก ด้วยความลึกล้ำของเนื้อเรื่อง อ่านแล้วชวนพิศวงว่าตกลงตอนนี้มันเป็นเรื่องเล่าในเรื่องเล่า หรือเป็นเรื่องเล่า ในเรื่องเล่า ที่อยู่ในเรื่องเล่าอีกที ต้องขอยอมรับคนที่คิดเรื่องราวของมหัสจรรย์พันหนึ่งราตรีชุดนี้ ว่าสามารถวางลำดับเรื่องได้ลึกล้ำอย่างน่าสนใจ นี่แอบคิดว่าถ้ามีเป็นหนังสือการ์ตูนผมคงอดซื้อเก็บทั้งหมดไม่ได้แน่ๆ คงได้มีการ์ตูนอีกชุดที่เก็บไว้เต็มบ้าน ดังนั้นจึงต้องขอบอกว่าบทความสรุปอันนี้ไม่ได้มีอะไรสรุปเป็นชิ้นเป็นอัน หรือเป็นเรื่องเป็นราว แต่จะเป็นการพูดถึงความสนุกในภาพรวมที่แบบมหัศจรรย์ลึกล้ำจริงๆ ยิ่งอ่านยิ่งเพลิน ยิ่งอ่านยิ่งงงๆ อ่านไปคิ้วขมวดไป…

จะเล่าให้คุณฟัง ฆอร์เฆ่ บูกาย

สรุปหนังสือ จะเล่าให้คุณฟัง ของ ฆอร์เฆ่ บูกาย เล่มนี้ผมได้มาจากหลักสูตร DNA ตั้งแต่วันแรกที่ไปเรียน ซึ่งเป็นหนังสือที่ผมประทับใจมากที่สุดนับตั้งแต่เคยได้หนังสือมา นั่นก็เพราะพี่หนุ่ม เจ้าของร้าน Passport Bookshop เป็นคนเลือกให้ผมแบบ Personalization ด้วยตัวแกเองเลยครับ บอกตรงๆ หนังสือเล่มนี้ผมคงไม่มีทางซื้อด้วยตัวเอง เพราะส่วนตัวผมคิดเองเออเองเสมอว่าตัวเองน่าจะไม่อินกับหนังสือแนววรรณกรรม หรือเรื่องแต่งขึ้นมา และแม้จะได้ฟรีมาก็คงไม่คิดจะอ่านเช่นกัน แต่ด้วยหนังสือเล่มนี้ถูกเลือกมาแบบ Personalized ให้กับผมอย่างตั้งใจ ดังนั้นผมจึงรู้สึกตื่นเต้นที่ได้อ่านเพราะอยากรู้เหมือนกันว่านี่คือหนังสือแบบไหนกันนะที่พี่หนุ่มเลือกมาให้ผม และเมื่ออ่านดูถึงได้พบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆ (อยากจะพิมพ์ซ้ำสักล้านตัวแต่ก็กลัวว่าเซิฟเวอร์จะล่ม) เพราะหนังสือนี้ให้ทั้งแง่คิดและปัญญาไปพร้อมกัน แถมยังให้วัตถุดิบสำคัญสำหรับคนที่ทำงานด้านการตลาดอย่างผมเต็มไปหมดเลยครับ เชื่อมั้ยครับว่าเรื่องเล่าหลายเรื่องที่ผมเคยอ่านเจอจากหนังสือเล่มอื่น…

The thousand nights and one night มหัศจรรย์แห่งพันหนึ่งราตรี เล่มที่ 1

สรุปหนังสือ The thousand nights and one night มหัศจรรย์แห่งพันหนึ่งราตรีเล่มที่ 1, น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อนิทานหรับราตรีที่โด่งดังไปทั่วโลก ไม่ว่าจะอาละดิน ซินแบด ยักษ์กับน้ำเต้า หรืออีกมากมายจนเกินจะนับไหว ล้วนมีที่มาหรือต้นเรื่องจากนิทานอาหรับราตรีที่มีชื่อเสียงเล่มนี้ทั้งนั้น บอกตรงๆว่าเป็นหนังสือที่สนุกจนวางไม่ลงจริงๆ แม้ส่วนตัวผมจะไม่ใช่แนว Fiction แต่กับเล่มนี้เป็นอะไรที่ไม่เหมือนที่คิดไว้ซักนิด เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะเป็น “นิทาน” ที่ออกไปทางเรื่องแต่งและเกินจริง แต่ด้วยเนื้อเรื่องและวิธีการดำเนินเรื่องที่เหลือเชื่อว่าจะผูกเรื่องได้ แถมบางเรื่องยังทำให้ผมต้องทึ่งจนตาแทบถลน หรือบางตอนนั้นกลับทำให้ผมขำจนไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมนิยามคำว่านิทานใหม่หมดเลย ที่น่าทึ่งที่หนึ่งคือการเล่าเรื่องที่แปลกประหลาดมาก เพราะเป็นนิทานที่ซ้อนนิทาน และบางครั้งก็ซ้อนด้วยนิทานเข้าไปอีก จนผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเรากำลังอยู่ในเรื่องไหนเป็นเรื่องหลักกันแน่…

เมืองที่มองไม่เห็น LE CITTA INVISIBILI

เมืองที่มองไม่เห็น หรือ Le Citta Invisibili เป็นวรรณกรรมว่าด้วยเรื่องราวที่เป็นบทสนทนานะหว่าง กุบไล ข่าน กับ มาร์โค โปโล ถึงเรื่องราวของแต่ละเมืองในแผ่นดินของพระองค์ที่ยิ่งใหญ่กว้างขวางถึงครึ่งโลก จนไม่สามารถออกไปสำรวจดินแทนทั้งหมดด้วยตนเองได้ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่กลับไม่สามารถเดินทางสำรวจแผ่นดินของตนเองได้ เพราะต้องคอยตั้งหลักมั่นอยู่ในเมืองหลวงของตนเอง ได้แต่เฝ้ารอคอยนักเดินทางเรืองนามอย่าง มาร์โค โปโล ที่เดินทางไปทั่วแผ่นดินกุบไล ข่าน เพื่อกลับมาเล่าเรื่อวราวให้ฟัง กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่กลับติดอยู่ในปราสาทราชวังเล็กๆ เมื่อเทียบกับผืนแผ่นดินทั้งหมดของตัวเอง เมื่อเทียบกับนักเดินทางพเนจรที่ไม่มีวังเป็นของตัวเอง แต่กลับได้เดินทางไปรอบแผ่นดินทั่วโลก ไม่รู้เหมือนกันว่าใครกันแน่ที่ร่ำรวยมากกว่ากัน ไม่ใช่ในความหมายของทรัพย์สิน แต่ในแง่ความหมายของชีวิตที่ได้ออกค้นหา บทสนทนาถึงเมืองกว่า 55…

How to be Single in BKK City แด่สาวโสดทั่วราชอาณาจักร

อ่านจบบอกได้เลยว่าถ้าผู้ชายคนไหนไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ถือว่าพลาดอย่างมาก เพราะคุณจะไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงเมืองหลวงเค้าคิดอย่างไร ส่วนถ้าผู้หญิงคนไหนยังไม่ได้อ่านก็ถือว่าพลาดยิ่งกว่า เพราะคุณจะไม่รู้เลยว่าในชีวิตสาวโสดวัยเลข 3 นั้นมันช่าง Powerful ขนาดไหน หนังสือ How to be Single in BKK City เล่มนี้ทำให้ผมนึกถึงซีรีส์เรื่อง Sex in the City ที่ผมชอบมาก เชื่อมั้ยว่าเห็นผมเป็นผู้ชายแบบนี้ผมดูครบทุก Season เพราะถ้า Sex in the City ทำให้คุณเข้าใจผู้หญิงสมัยใหม่ในเมืองนิวยอร์กเมื่อวันนั้นฉันใด…

Animal Farm แอนิมอลฟาร์ม สงครามกบฏของสรรพสัตว์

เป็นวรรณกรรมเล่มที่สองที่เคยอ่าน เล่มแรกคือ Utopia (ไม่ใช่สถานที่อาบน้ำหลังศูนย์วัฒนธรรมนะครับ) และมาถึงเล่มนี้คือ Animal Farm ว่าด้วยเรื่องของการลุกขึ้นปฏิวัติของเหล่าสัตว์ในฟาร์มจากมนุษย์ จากเหล่าสัตว์ที่เคยถูกกดขี่ข่มเหงจากมนุษย์เดินสองขากลายมาเป็นเหล่าสัตว์ลุกขึ้นฮือไล่มนุษย์เจ้าของฟาร์มออกไปเพื่อปกครองดูแลกันเอง แต่พอเมื่อเวลาผ่านไปก็จะพบว่าความโลภและอำนาจนั้นทำให้สัตว์นั้นค่อยๆกลายเป็นมนุษย์ที่เจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆ กดขี่สัตว์ด้วยกันเองขึ้นเรื่อยๆ บิดเบือนหลอกลวงกันขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดบรรดาสัตว์อย่างหมูที่เป็นกลุ่มผู้นำในฟาร์มแห่งสรรพสัตว์นั้นทำตัวเยี่ยงมนุษย์เองที่เค้าเคยโกรธเกลียด และสาบแช่งต่างๆนาๆ จากบัญญัติ 7 ประการตอนตั้งต้นว่าสุดท้ายแล้วสัตว์อย่างพวกเค้าจะไม่ทำตัวเยี่ยงมนุษย์นั้นกลับเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่ามนุษย์ยิ่งนัก ผู้เขียนๆเรื่องนี้ในยุคที่รัสเซียปฏิวัติการปกครองจากพวกราชวงศ์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 จนถูกห้ามตีพิมพ์ในอังกฤษ์เป็นเวลาหลายปีเพราะในช่วงนั้นอังกฤษเป็นพันธมิตรกับรัสเซียในช่วงสงครามโลก แม้จะคนละประเทศแต่อิทธิพลก็ยังแผ่ขยายมาถึงอังกฤษอดีตมหาอำนาจของโลกได้เต็มที่ในช่วงนั้น สุดท้ายแล้วอ่านจบพบว่านี่คือนวนิยายตลกร้ายของสังคมโลกในหลายๆประเทศทั่วโลก ไม่เหมือนมากหน้าก็น้อยบท เพราะกลุ่มผู้นำก็อยากจะคงอำนาจตัวเองไว้ และกลุ่มผู้คนประชาชนก็ได้แต่คว้าฝันให้อิ่มท้องไปเรื่อยๆ George Orwell เขียน คนเดียวกับผู้เขียน 1984

1984 George Orwell

เป็นวรรณกรรมน้อยเล่มที่ผมอ่าน ส่วนตัวผมไม่ค่อยได้อ่านวรรณกรรมเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แต่กับ 1984 เล่มนี้ที่เคยได้ยินคนพูดถึง และประจวบกับช่วงนี้ไล่อ่านหนังสือแนวการเมืองการปกครองหลายเล่ม จนทำให้ถึงคราวที่ต้องหยิบ 1984 ขึ้นมาลองอ่านดูบ้าง . 1984 ถ้าให้สรุปสั้นๆก็คงบอกได้ว่าเป็นหนังสือแนวการเมืองการปกครองในจินตนาการของผู้เขียนที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จนถึงช่วงสงครามเย็น ที่ระบบการปกครองแบ่งออกเป็นสองฝ่ายที่แข็งขันกัน ระหว่างสังคมนิยมกับเสรีนิยม . ในหนังสือว่าด้วยผู้นำสูงสุดหรือที่เรียกว่า Big Brother หรือ “พี่เบิ้ม” ในชื่อไทย ที่คอยจับตาดูประชาชนทุกผู้คน โดยเฉพาะสมาชิกในพรรคชั้นนอกไม่ให้หลุดจากแนวคิดของพรรคหรือผู้นำ ผ่านโทรภาพที่เหมือนทีวีรุ่นพิเศษที่สามารถเฝ้ามองและฟังเสียงเรากลับได้ด้วย . ถ้าเปรียบโทรภาพใน 1984 ผมว่าก็เหมือนกับ “อินเทอร์เน็ต”…