ถ้าอยากขายซุป ต้องขายขนมปังด้วย

ขายยังไง? ทุกวันนี้คุณขายสินค้าหรือบริการของคุณยังไงบ้าง หลายครั้งเรามักติดภาพกรอบความคิดเดิมๆของสินค้าและบริการนั้น จนเราลืมไปว่ามันยังมีวิธีอื่นที่เราจะ “ขายมันใหม่” ออกไปได้อีกมากมาย ตัวอย่างการ “หาวิธีขายใหม่” ที่น่าสนใจจนกลับมาเพิ่มยอดขายได้จริงในเล่มนี้ เรื่องแรกก็คือชื่อหนังสือเลยครับ เอาขนมปังมาช่วยขายซุปถ้วยเดิม เรื่องมันมีอยู่ว่า คนอร์คัปซุป(ที่ญี่ปุ่น) ประสบปัญหาราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2005-2008 เหมือนกับผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็เลยพยายามแก้เกมส์ครั้งแรกด้วยการชูจุดขายว่า นี่คือซุปที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพดีจากในประเทศจากเกาะฮอกไกโดเท่านั้น โดยคาดหวังว่าความเป็นชาตินิยมของญี่ปุ่นจะกลับมากระตุ้นยอดขายให้ตัวเอง แต่ผลที่ได้คือเปล่าเลยครับ ยอดขายไม่กระเตื้องแถมยังเปลืองงบโฆษณาอีกต่างหาก ผู้เขียนก็เลยออกไปสำรวจกลุ่มลูกค้าตัวจริงแล้วพบว่า คนส่วนใหญ่กินเป็นมื้อเช้า แต่คนที่กินมื้อเช้าส่วนมากชอบกินขนมปัง คนส่วนใหญ่ที่กินคนอร์คัปซุปเป็นมื้อเช้านั้นชอบกินกับขนมปัง เพราะทำให้อร่อยขึ้นเยอะ แต่คนที่กินขนมปังกลับไม่เคยกินกับคนอร์คัปซุป ก็เลยเกิดเป็นไอเดียการชูจุดขายใหม่ว่าจะ “ปังจุม” หรือ…

รู้อะไรไม่สู้รู้ดาต้า DATA FOR THE PEOPLE

สรุปอย่างย่อ นี่คือหนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจ data มากขึ้นในหลายมิติ คุณจะพบว่า data มากมายรอบตัวนั้นเกี่ยวพันกับชีวิตเราอย่างแยกไม่ออกแล้ว และ data ในอดีตของเรานั้นกลับเป็นตัวชี้น้ำ data ในอนาคตเรามากขึ้นทุกที หรือจะอนุมานว่า data นั้นเปรียบเสมือนดาบสองคมก็ว่าได้ ขึ้นอยู่กับคนที่มีเอาไปใช้ยังไง แต่ส่วนใหญ่วันนี้มักเอาไปใช้ไม่ค่อยดี เช่น ปากบอกว่าเพื่อให้บริการเราได้ดียิ่งขึ้น แต่ความจริงแล้วกลับหลอกล่อให้เราคลิ๊กซื้ออะไรที่ไม่จำเป็นมากขึ้นต่างหาก ฉะนั้น ใครที่อยากรู้เท่าทัน data ไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้ ดีไม่ดีอ่านจบคุณอาจจะอยากลบข้อมูลทุกอย่างบนโซเชียล แล้วก็เลิกออนไลน์ไปออกธุดงเลยก็ได้ครับ สรุปแบบยาว ในยุคดิจิทัลที่ไม่ว่าใครก็ใช้สมาร์ทโฟนกันทั้งนั้น คนไทยเกือบ 50…

อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป

นั่นซิครับ อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไปจริงๆนะครับ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนให้เรา “ทิ้ง” แต่สอนให้เรา “เลือก” เฉพาะอะไรที่จำเป็นหรือสำคัญในชีวิตเราเท่านั้น เพราะทุกวันนี้เราเต็มไปด้วยสิ่งไม่สำคัญกับชีวิตเรามากมาย ที่ทั้งดึงพลังงาน ดูดเวลา ทำให้เราเสียสมองหมดแรงกับเรื่องที่ไม่สำคัญอยู่แทบทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวคราวอัพเดทประจำวันที่ไม่ค่อยสำคัญกับชีวิตเราเท่าไหร่ เอาง่ายๆเราไม่รู้ก็ไม่ได้ทำให้เราโง่ขึ้นหรอกครับ แต่ในทางกลับกันยิ่งรู้มากขึ้นเรื่องพวกนี้กลับยิ่งแย่งชิงพื้นที่ในสมองและความสนใจจากเราไปจากสิ่งที่เราควรจะสนใจมากกว่า ใจความสำคัญของเล่มนี้พูดถึง “ข้าวของ” ต่างๆที่เราพยายามซื้อมาด้วยเงินที่เราพยายามหาให้ได้มากขึ้น ทั้งๆที่ข้าวของทั้งหลายกว่า 90% ในชีวิตเราที่เรามีนั้น เราไม่มีมันก็มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบากขึ้นเท่าไหร่เลย แถมบางทีอาจทำให้เราสบายขึ้นด้วยซ้ำ เพราะเราไม่ต้องคอยเก็บกวาดดูแลรักษา จนไม่รู้ว่าในที่สุดเรา เราเป็นเจ้าของมัน หรือมันเป็นเจ้าของเรากันแน่ เพราะเรามักคิดเหมือนกันว่า การเป็นเจ้าของนั้นคือการได้มา แต่เปล่าเลยครับ ความจริงแล้วการเป็นเจ้าของที่แท้จริงคือการพร้อมจะทิ้งมันไปต่างหาก…

อยากชวนเธอไปอำผี

“ไม่เชื่อก็ต้องพิสูจน์” ผมว่าประโยคนี้แหละ เป็นประโยคที่สรุปหนังสือเล่มนี้ได้ดีที่สุดในความคิดผม เพราะตามความเชื่อเดิมของไทยเราคือ “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” แต่หนังสือเล่มนี้กลับกล้าคิดกลับด้านไม่ได้ให้ “ท้าทาย” หรือ “ลบหลู่” แต่อย่างไร แต่กลับสอนให้คนกล้าตั้งคำถาม สงสัย และพิสูจน์ในเรื่องต่างๆที่ลึกลับทั้งหลาย ผู้เขียนนำบทความจากการวิจัยต่างๆมาประกอบการอธิบายให้ความรู้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องผีทั้งหลาย ตั้งแต่ผีติดรูปถ่ายยันไปถึงผีถ้วยแก้ว เรื่องการถอดจิต เรื่องการญาณหยั่งรู้อนาคต หรือเรื่องความเชื่ออย่างการฤกษ์ตกฟากว่ามีผลกับชีวิตเราจริงมั้ย (ถ้าเรารู้ก็มี แต่ถ้าเราไม่รู้ก็ไม่มี แปลกดีมั้ย?) หรือหมอดูแม่นๆ ตำนานน้ำท่วมโลก เรือโนอาร์ ศุกร์13 ไปยันเรื่องตัวประหลาดอย่างซอมบี้ผีดิบ ยักษ์อสูร คนแคระฮอบบิท…

The Content Revolution, คอนเทนต์ปัง ยังไงก็โดน!

เมื่ออ่านจบแล้วสรุปในหนึ่งประโยคได้ว่า “เลิกแทรกแซง แต่เร่งส่งเสริม” การโฆษณาตลอดหลายสิบหรือร้อยปีที่ผ่านมาเอาแต่ “แทรงแซง” หรือขัดจังหวะคนมาตลอด แม้แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่นัก เช่น โฆษณาที่บังคับก่อนเราจะดูยูทูปโดยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเราหรือความสนใจของเราเลย หรือ โฆษณาตามทีวีที่เราคุ้นเคยกัน ก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับเราเท่าไหร่นัก ยิ่งเป็นในยุคดิจิทัลมากขึ้น มีเสียงรบกวนมากมายจากโฆษณาในแต่ละวัน จากข้อมูลรีเสริชที่เคยอ่านล่าสุดบอกว่า เราเห็นโฆษณามากกว่า 5,000 ชิ้นในแต่ละวัน แต่ทำไมเรากลับจำมันได้ไม่ถึง 1% เลยล่ะ ก็เพราะโฆษณาส่วนใหญ่ที่เราเห็นยังคงเน้นที่การ “แทรกแซง” ชีวิตเราเสมอ แล้วโฆษณาในยุคนี้ที่บอกว่าเป็น content marketing ล่ะต่างกันยังไง? ต่างกันครับ ตรงที่การทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งจะเน้นการ…

52 วิธีคิดให้ได้อย่างเฉียบคม The Art of Thinking Clearly

“ความคิด กับ ความจริง คือคนละสิ่งกัน” ถ้าให้สรุปหนังสือเล่มนี้ในหนึ่งประโยค ผมว่าประโยคนี้แหละ เพราะเรามักจะสร้างความคิดขึ้นมาครอบงำความจริงไว้อีกขั้นนึง ความคิดจึงมีความจริงอยู่ส่วนนึงที่เป็นส่วนน้อย ที่เหลือก็จะเป็นอารมณ์ สภาพแวดล้อม หรือตัวแปรต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา ดังนั้นหนังสือเล่มนี้เลยเหมือนคู่มือที่ทำให้เราเข้าใจหลักการ 52 ของความคิดคิด เพื่อให้เรารู้เท่าทันและเข้าใจตัวเราเองและคนเราว่า “คิดกันยังไง” ถ้าถามว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนที่ทำงานด้านการตลาด โฆษณา หรือนักวางกลยุทธ์ เพราะคุณจะรู้ว่าเราสามารถชี้นำความคิดหรือพฤติกรรมของคนได้ด้วยวิธีไหนบ้าง แน่นอนไม่มีวิธีไหนสามารถรับประกันผลได้ 100% แต่มันก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จให้ได้ เช่น เรื่อง Illusion of control หรือ…

วิชาความสุข ที่มีสอนแค่ในฮาร์วาร์ด Happier

“ความสุขของเราคืออะไร?” และ “ทำไมสิ่งนี้ถึงเป็นความสุขของเรา?” คำถามแรกคือคำถามที่ผุดขึ้นมาทันทีเมื่อเริ่มอ่านและอ่านจบ ส่วนคำถามที่สองเริ่มโผล่ออกมาเมื่อย้อนคิดถึงคำถามแรก ถ้าจะบอกว่าความสุขคือจุดมุ่งหมายสูงสุดในการใช้ชีวิตของคนเราก็ไม่ผิดนัก เพราะทุกคนต่างก็ดิ้นรนแสวงหาความสุขกันทั้งนั้น เพียงแต่ “ความสุขของเราคืออะไร?” นี่คือคำถามที่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มีคำตอบในใจอยู่แล้ว เช่น มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวให้อยู่สุขสบาย (บางคนต้องการเดือนละสองหมื่น แต่บางคนก็ต้องการเดือนละสองล้าน) หรืออาจจะเป็น เมื่อทำธุรกิจประสบความสำเร็จจนมีเงินเก็บถึงจุดนึง (บางคนต้องการสิบล้านบาท หรือบางคนก็ต้องการร้อยล้านบาทขึ้นไป) หรือบางคนอาจจะเป็นการที่ได้เรียนจบเกรียตินิยม หรืออาจจะเป็นการได้ทำงานในบริษัทที่มั่นคงและมีชื่อเสียง หรืออาจจะเป็นการได้มีตำแหน่งใหญ่โต เป็น VP หรือบอร์ดบริหาร หรือบางคนอาจจะแค่ได้กินของอร่อยๆอย่างไอศกรีมซักแท่ง นั่นแหละครับความสุขที่ต่างกันไปของแต่ละคน แต่ส่วนใหญ่ก็คงคล้ายๆกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงิน บ้าน รถ งาน…

หลอกสมองให้ลองคิดกลับด้าน Law of Illusion

“เราไม่ได้เห็นโลกอย่างที่มันเป็น แต่เลือกทุกคนต่างเห็นโลกอย่างที่เราเลือกมอง”ถ้าให้เลือกสรุปจบทั้งเล่มในหนึ่งบรรทัด ผมคงเลือกประโยคนี้ เพราะคนเราไม่ได้เห็นโลกอย่างที่มันเป็นซักเท่าไหร่ แต่เราทุกคนต่างมี “แว่นตา” ที่ใช้มองแต่ละสิ่ง แต่ละเรื่องที่ต่างกันไป คนนึงอาจมองเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่อีกคนอาจมองเรื่องเดียวกันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องแบบนี้มีให้พบเจออยู่เป็นประจำ เหมือนที่วินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศอังกฤษ ที่นำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตสงครามโลกครั้งที่สองจนพลิกกลับมาเอาชนะนาซีได้ในครั้งนั้น เคยกล่าวเอาไว้ว่า “คนธรรมดามองเห็นปัญหาเป็นปัญหา แต่คนฉลาดมองเห็นปัญหาเป็นโอกาส” (ประโยคประมานนี้) แค่ประโยคนี้ก็ย้ำเตือนได้ดีถึง “มุมมอง” ของเรื่องเดียวกันที่ให้ผลต่างกันเกินคาด และทั้งหมดนี้ก็มาจากการ “หลอกสมองให้ลองคิดกลับด้าน” เหมือนชื่อหนังสือเล่มนี้จริงๆครับ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพบเจอเรื่องหนึ่งในชีวิต แล้วถ้าเรามองว่ามันเป็นปัญหา มันก็จะเป็นปัญหาอย่างที่เราคิดจริงๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่เรากลับมองว่านั่นคือโอกาส โอกาสที่จะทำให้เราได้ปรับปรุงมันให้ดีขึ้น…

Rise of The Robots หุ่นยนต์ผงาด เทคโนโลยี และภัยแห่งอนาคตที่ไร้งาน

สรุปอย่างสั้น เมื่อเทคโนโลยีอย่างหุ่นยนต์ ไม่ว่าจะในรูปแบบที่มีตัวตนจริงๆที่จับต้องได้ หรืออาจจะเป็นแค่ระบบที่จับต้องไม่ได้อย่าง AI ก็ตาม กำลังจะเข้ามาปฏิวัติชีวิตเราทุกคนบนโลกที่เกี่ยวข้องกับระบบ “ตลาด” อย่างไม่อาจจะต้านทานได้ การเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีหุ่นยนต์ครั้งนี้จะรุ่นแรงยิ่งกว่าเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างคอมพิวเตอร์ หรือเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตไปอย่างเทียบกันไม่ได้ ลองคิดดูซิว่าตอนที่คอมพิวเตอร์เริ่มกลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำนักงาน ก็ทำเอาผู้ใหญ่หลายคนในตอนนั้นต้องปรับตัวเรียนรู้ใหม่มากขนาดไหนกว่าจะลงตัว หรืออย่างตอนที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึงทุกหย่อมหญ้าด้วยพลังของสมาร์ทโฟนราคาถูก ที่ทำให้การเข้าถึงข้อมูลบนออนไลน์นั้นเป็นเรื่องง่ายที่คนรุ่นปู่ย่าก็ทำได้ จนขาดไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ การปฏิวัติหุ่นยนต์นี้ถ้าจะเรียกว่าการปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่เป็นเรื่องของ Big Data, Machine Learning และ AI หรือที่เรียกรวมๆได้ว่า “ระบบอัตโนมัติ” ก็ได้ครับ แล้วเจ้าระบบอัตโนมัตินี่แหละที่จากที่เคยเอามาทดแทนแรงงานแบบทำซ้ำได้ เช่น การผลิตรถยนต์ทุกวันนี้แทบจะไม่ต้องใช้คนงานเท่าสมัยก่อนอย่างเทียบไม่ได้ เพราะสามารถใช้หุ่นยนต์ในการทำงานซ้ำๆที่แน่นอนเหล่านั้นได้รวดเร็วและแทบไม่มีความผิดพลาดเลย…

A Little History of Religion ศาสนา ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์

หลังจากอ่านเล่ม “พุทธโคดม” จบ แต่ความอินและความสนใจในเรื่องศาสนากำลังครุกกรุ่นอยู่ ก็เจอว่ามีเล่มนี้อยู่ที่บ้านยังไม่ได้อ่าน ได้มาจากงานหนังสือแห่งชาติเมื่อปลายปี 2017 ที่ผ่านมาอยู่พอดี ก็เลยหยิบมาอ่านต่อให้บรรลุไปเลยแล้วกัน ถ้าให้สรุปย่อๆของเล่มนี้คือ รวมเรื่องราวของประวัติศาสตร์ด้านศาสนาของโลกตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกไว้ ตั้งแต่ศาสนาโซโรอัสเตอร์บูชาไฟ อับราฮัมผู้ให้กำเนิด 3 ศาสนาสำคัญของโลกอย่าง ยิว คริสต์ และ อิสลาม มาจนถึงศาสนาอื่นๆและนิกายแยกย่อยของศาสนาหลักๆอีกมากมาย เรื่องละนิด อย่างละหน่อย เมื่ออ่านจบก็จะประกอบกันเป็นภาพรวมด้านศาสนาของโลกก็ว่าได้ แต่ถ้าให้ลงรายละเอียดอีกนิดก็ทำให้เข้าใจว่า ศาสนาหลักๆบนโลกแบ่งออกเป็นสองทาง หนึ่งเอกเทวนิยม หรือ มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว อย่าง คริสต์…