คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยอยากให้มี “ปัญหา” เข้ามาในชีวิต ผมก็คนนึงแหละครับ แต่เรื่องแบบนี้มันห้ามกันได้ที่ไหน เพราะต่อให้คนที่รวยล้นฟ้า ชีวิตที่แทบจะปูด้วยกลีบกุหลาบทุกวัน ก็ยังหาทางที่จะ “ปัญหาในแบบของตัวเอง” ได้เสมอ เมื่อปัญหามักจะทำให้เราปวดหัวอยู่เสมอ แล้วทำไมฟาสต์ฟู้ดธุรกิจเล่มที่ 10 ของหนุ่มเมืองจันท์คนนี้ ถึงกล้าบอกว่า “ปัญหาคือยาวิเศษ” ล่ะ ก็เพราะในอีกด้านนึงของปัญหา ทุกครั้งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปจากชีวิตเรา เราจะต้องได้ “บทเรียน” อะไรซักอย่าง ไม่ว่าปัญหานั้นเราจะแก้มันได้หรือไม่ได้ก็ตาม เมื่อปัญหาเข้ามาให้เราได้เรียนรู้ รู้ว่าครั้งหน้าเราจะรับมือกับปัญหานี้ยังไง เพราะต่อให้เราล้มเหลวในการแก้ปัญหาครั้งนี้...
สำนักพิมพ์ มติชน
เป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของการ “ยอมรับ” แต่ “ไม่ยอมแพ้” ทั้งในแง่ชีวิต และธุรกิจ เพื่อให้เติบโตต่อไปได้ ไม่ยอมแพ้ จากความพ่ายแพ้ในวันนี้ ดิ้นรนต่อสู้เพื่อโอกาสใหม่ๆที่จะมาถึง ว่ากันว่าคนที่โชคดีจนประสบความสำเร็จ คือคนที่ต่อสู้เพื่อรอวันที่โอกาสมาถึง ถ้าไม่เตรียมพร้อมรอรับโชคดี ก็ไม่สามารถคว้าโชคดีนั้นไว้ได้ทัน เหมือนเรื่องของจาพนม นักแสดงไทยชื่อดังโกอินเตอร์ ได้แสดงร่วมกับนักแสดงดังระดับโลก ในหนังระดับโลกมาแล้วหลายเรื่อง ทั้ง Fast and Furious หรือ xXx ภาคล่าสุด จาพนมบอกว่า...
เรื่องเดียวกัน ของชิ้นเดียวกัน ปัญหาเดียวกัน พอเราได้พลิกมองอีกมุม เราก็เห็นอะไรที่เปลี่ยนไป จากปัญหาที่เป็นปัญหา พอมองอีกคนมองจากอีกมุม กลายเป็นโอกาสซะงั้น เหมือนตอนเรียนเรื่อง “มุม” สมัยประถม ที่บอกว่า “มุม” เกิดจากเส้นตรงสองเส้นที่ปลายชนกัน มองด้านนึงเห็นมุมแหลม แต่มองอีกทีก็มีมุมป้าน โชคดีว่าโจทย์ชีวิตไม่เหมือนโจทย์คณิตศาสตร์ ที่บังคับให้วัดมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น เหมือนผู้ก่อตั้ง แดวู บริษัทเกาหลีชื่อดัง ที่มองคนละมุมกับนักลงทุนส่วนใหญ่กับประเทศซูดาน คิม วู ซอง คนนี้มีคติว่า...
เบื้องหน้าภาพญี่ปุ่นที่คุ้นชิน ความงาม ความปราณีต ความคลีน ความทันสมัย ความเป็นระเบียบ ที่เปรียบเสมือนด้านสว่างหรือภาคสีขาวของเจแปนนั้น ตรงข้ามกันภาคด้านมืด ดาร์คไซด์ นั้นเป็นยังเป็นเรื่องที่เราคนไทยรู้กันแค่ลางๆ สีเทาๆเท่านั้นเอง Japan Dark Side เล่มนี้เหมือนคู่มือภาคค่ำของคนญี่ปุ่น ที่เขียนโดยประสบการณ์ตรงของ บูม ภัทรพล เหลืองบุญชู ชายผู้ใช้ชีวิตตั้งแต่เรียนจนทำงานแบบคนญี่ปุ่นจริงๆมาถ่ายทอดให้ เพราะชีวิตมีหลายด้าน แต่ละด้านก็มีหลายมิติ หนังสือเล่มนี้ช่วยให้เห็นภาพที่สมบูรณ์ของชีวิตคนญี่ปุ่นมากขึ้นกับคนนอกอย่างคนไทย เช่น สาวนั่งดริงก์ “เคียะบะโจ”...
ส่วนใหญ่เราเครียดก็เพราะชีวิตมี “ปัญหา” แต่เราก็มักจะลืมกันไปว่า “ปัญหา” นั้นเป็นเรื่อง “ปกติของชีวิต” ถ้าชีวิตไม่มีปัญหา ก็เปรียบเหมือนหมาที่ไม่มีเห็บหมัดให้ต้องเกา แล้วหมาแบบนั้นมันมีที่ไหนในโลกกันล่ะครับ เพราะเรายังมีชีวิต เราจึงต้องมีปัญหาแวะเวียนมาหาอยู่เรื่อยๆ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่จะมอง แต่ไม่ว่ารวยล้นฟ้าหรือยากจนข้นแค้น ต่างก็มีปัญหาของตัวเองกันทั้งนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าคำว่า “ปัญหา” บังเอิญถ้าลองสลับคำก็จะกลายเป็นคำว่า “หาปัญ” หาปัญ..ญา มาแล้วปัญหาก็จะถูกลบหายไป คิดไปคิดมาเหมือนสมการคณิตศาสตร์ยังไงยังงั้น ถ้ามี “ปัญหา” ก็ “หาปัญญา” มาลบออก...
สมมติถ้าเราตั้งโจทย์ให้กับชีวิตว่า “ทำอย่างไรถึงจะวิ่งจนผอมน้ำหนักลงสิบกิโลได้” กับถ้าเราตั้งอีกโจทย์ว่า “ทำอย่างไรเราถึงจะวิ่งมากขึ้นกว่าเมื่อวานได้อีก 1%” ถ้าเมื่อวานวิ่งได้ 1 กิโล วันนี้ก็วิ่งเพิ่มอีกแค่ 10 เมตร เป็น 1010 เมตร ถ้าวันนี้วิ่งได้ 1100 เมตร พรุ่งนี้ก็แค่วิ่งให้ได้ 1111 เมตร ตัวเลขดูน้อยแต่เชื่อมั้ยว่าถ้าผ่านไป 1 ปี เราจะวิ่งได้เยอะขึ้นจากวันแรกถึง 36เท่าโดยประมาณ แค่เปลี่ยนการตั้งโจทย์การวิ่ง...
อ่านเล่มนี้จบทำให้คิดได้ว่าใครที่สามารถทำให้ตัวเอง “อารมณ์ดี” ได้มากกว่า และบ่อยครั้งกว่าคนอื่น ถือว่าคนนั้นเป็นคนมีบุญหนักหนา เพราะในในแต่ละวันเป็นที่รู้กันดีว่าเราอารมณ์ของเราไม่ได้ดีเหมือนหน้าตาตลอดทั้งวัน มีดี มีเสีย มีดี มีร้าย มีสุข มีเศร้า มีหัวเราะ มีโกรธ แต่ทุกอารมณ์ของเราก็ล้วนแล้วแต่มาจากมุมในการมองโลกของเราทั้งนั้น ไม่แปลกที่เราจะอารมณ์ไม่ดี เวลาที่ชีวิตมีปัญหา แต่กับคนที่น่าอิจฉาหรือเกิดมาโชคดีบางคน ที่สามารถมองปัญหาให้เป็นโอกาส และอารมณ์ดีไปกับมันได้ คนแบบนี้ซิ คือคนที่จะไปได้ไกลกว่าคนทั่วๆไปมาก อาจจะมีเพื่อนเราบางคนที่เป็นคนอารมณ์เสียกับอะไรได้ง่ายๆ แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ยังพาลทำให้อารมณ์เสียได้ทั้งวัน แม้จะมี 24...
เรามักมีฝันใหญ่ๆ ที่อยู่ไกลๆ แถมยังอยากไปถึงให้เร็วๆกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ เพราะส่วนตัวผมก็เคยมีฝันอะไรแบบนั้นอยู่เรื่อยๆ เริ่มจากวัยเด็ก ฝันอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนชื่อดัง ที่สร้างผลงานออกมาเป็นเล่มๆเหมือนที่ผมชอบอ่าน โตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มฝันอยากเป็นนักดนตรีมือกีตาร์ชื่อดัง มีผลงานออกเทปให้สารกรี๊ดขอลายเซ็นกับเค้าบ้าง โตขึ้นมาอีกนิดก็ฝันอยากเป็นเจ้าของร้านเหล้าที่ใครๆก็อยากมาเที่ยวดื่มเต้นฟังเพลงกัน โตขึ้นมาอีกทีฝันอยากเป็นนักเล่นเกมส์ไปแข่งแร็คนาร็อคระดับประเทศที่เกาหลีใต้ พอเริ่มเข้าวัยทำงานก็ฝันอยากเป็นนักออกแบบกราฟฟิกดีไซเนอร์ที่มีผลงานให้ชื่นชมลงหนังสือ พอมาทำโฆษณาก็ฝันอยากมีชื่ออยู่ในงานรางวัลกับเค้าบ้าง ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมฝันมาเยอะมากครับ เยอะขนาดที่ว่าพออ่านเล่มนี้จบ แล้วได้ลองนึกย้อนดูก็ถึงรู้ว่าเยอะจริงๆ แถมแต่ละฝันนั้นไกลเกินจะเอื้อม แต่ก็นั่นแหละครับ เรามักถูกพร่ำบอกจากผู้ใหญ่คนรอบข้างมาตั้งแต่เด็กว่าต้องฝันให้ใหญ่ ต้องประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้ ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจเล่มที่ 4 ของหนุ่มเมืองจันท์เล่มนี้ รวมเรื่องราวเกี่ยวกับความฝันของใครหลายคน ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจคนสำคัญในประเทศ...
เพราะหลายทีเราก็ตั้งโจทย์ให้ชีวิตยากไป ปัญหาเดียวกันแต่ตั้งคนละโจทย์ คำตอบก็ต่างกันแล้ว จะว่าไปการตั้งโจทย์ก็เหมือนกับการทำ strategy ปัญหาสุดคลาสสิคของการทำโฆษณาคือ…อยากให้คนรู้จักมากขึ้น หรือเพิ่ม Awareness ต้องทำไง หลายครั้งก็ตั้งโจทย์กันไปว่าต้องทำไวรัลวีดีโอ แล้วก็ไประดมเวลาพลังสมองกันหาทางทำวีดีโอให้น่าจะไวรัลที่สุด ถึงเวลาไอเดียมาก็คอมเมนท์กันตามความชอบ นั่นไม่ไวรัล นี่ไม่ไวรัล โดยที่ไม่เคยมีข้อสรุปกันเลยว่าอะไรที่ “น่าจะ” ไวรัลไม่ไวรัลเลยซักที ทั้งที่บางทีถ้าถอยออกมามองปัญหาให้กว้างขึ้นอีกนิด อาจจะเห็นอะไรที่มองข้ามไปทำให้ตั้งโจทย์ใหม่ได้ดีขึ้น โจทย์อาจไม่ใช่ awaness แต่อาจเป็นหาซื้อยากก็ได้ งั้นเลิกคิดไวรัล ไปเพิ่มช่องทางการขายหรือทำให้คนติดการซื้อผ่านออนไลน์กันเถอะ ที่พูดมาทั้งหมดไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่ทำมาแล้วครับตอนดันยอดขายให้โฟมล้างหน้ารายหนึ่งขายบนออนไลน์เพิ่มขึ้นได้...
แม้จะเป็นหนังสือที่เก่า เพราะตีพิมพ์ครั้งแรกผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่เนื้อหาสาระ ความรู้ที่ได้จากหนังสือฟาสต์ฟู้ดธุรกิจเล่มนี้นั้นไม่เก่าเลย หนุ่มเมืองจันท์ นักเขียนที่มักจะแอบเน้นในเรื่องการ “ตั้งคำถาม” อย่างคงเส้นคงวาอยู่เสมอ ผ่านมาร่วมยี่สิบปีก็ยังคงให้ความสำคัญกับ “คำถาม” มากกว่านักเขียนคนไหนๆที่ผมเคยอ่าน แค่ตั้งคำถามก็บอกได้เลยว่าฉลาดหรือโง่ คำถามที่ดีจะพาไปสู่คำตอบที่ดี ส่วนคำถามที่ผิดยังไงก็ไม่มีทางเจอคำตอบที่ถูก แถมการตั้งคำถามเปิดกว้างยังพาไปสู่คำตอบที่หลากหลายมากกว่าอีก เช่น คำถามแรก 5+5 ได้คำตอบอะไร แน่นอนว่ามีแค่ 10 เป็นคำตอบเดียวคำตอบสุดท้าย แต่ถ้าถามใหม่ว่า อะไรที่บวกกันแล้วได้ 10...