The 4-Hour Workweek ทำน้อยแต่รวยมาก

The 4-Hour Workweek โดย Timothy Ferriss เล่าถึงวิธีแห่งเศรษฐีแนวใหม่.. ..เมื่อพูดถึงคำว่า “เศรษฐี” แว๊ปแรกในหัวผมคือคนที่มีมากล้นด้วยเงินทองทรัพย์สมบัติ คนที่ร่ำรวยด้วยเวลาที่จะทำอะไรก็ตามที่แลดูน่าอิจฉาในความคิดรากหญ้า(อย่างผม) อารมณ์ประหนึ่ง Bruce Wayne หรือมหาเศรษฐีผู้ว่างและร่ำรวยมากจนต้องไปเป็น Batman เพื่อให้ตัวเองลำบากเล่น นี่คือแว๊ปแรกที่ผ่านเข้ามาในหัว ..จากนั้นแว๊ปที่สองหลังจากได้ใช้สมองอันน้อยนิดของผม(อีกละ)ไตร่ตรองดูว่าบรรดา “เศรษฐี” ทั้งหลายที่ผมรู้จัก(ผ่านหนังสือพิมพ์หรือหน้าเวปนะ ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวขนาดมีไลน์มีเฟซอะไรแบบนั้น) คนอย่างท่านเจ้าสัวหมื่นล้านแสนล้านทั้งหลาย ดูเป็นคนที่ทำงานหนัก ตรากตรำ ไม่หยุดคิด พูดอะไรแต่ละทีก็ดูฉลาดไปหมด(จนผมไม่รู้ว่าวันๆนึงท่านๆเหล่านี้เคยพูดอะไรโง่ๆบ้างหรือเปล่านะ) ดูเป็นคนที่ใช้เวลาแทบจะทั้งชีวิตแลกกับความสำเร็จจนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนำหน้านามว่า “เศรษฐี” ยังไงยังงั้น…

Neoliberalism เสรีนิยมใหม่

เริ่มด้วยคำถามที่ว่า Neoliberalism หรือ เสรีนิยมใหม่ คืออะไร ? ..เสรีนิยมใหม่ คือหลักการอุดมคติที่เชื่อว่า “ตลาดกำกับดูแลตัวเอง” เป็นเครื่องจักรที่ให้ปัจเจกชนแสวงหาความมั่นคั่งอย่างมีเหตุผล หรือจะเรียกได้ว่าต้นกำเนิดของมันน่าจะมาจาก “นักเสรีนิยมคลาสสิก” อย่าง Adam Smith และ David Ricardo ที่ต่อต้านลัทธิพาณิชยนิยม (Mercantisim) ของเหล่ากษัตริย์ในยุโรบในช่วงยุคมืดและช่วงยุคล่าอาณานิคมก็ว่าได้.. ..จากการควบคุมหรือรวมศูนย์กลางความมั่นคั่งไว้ที่เหล่ากษัตริย์หรือขุนนางไม่กี่คนทำให้เกิดแนวคิดขั้วตรงข้ามอย่าง “เสรีนิยมคลาสสิก” นี้ขึ้นมา จนพัฒนากลายมาเป็น “เสรีนิยมใหม่” ก็ว่าได้ แล้วอย่างนั้นเสรีนิยมใหม่เริ่มต้นที่ตรงไหน.. ..ตามหนังสือบอกว่าเริ่มต้นที่ยุคสมัยของ โรนัลด์…

Quirkology เปลี่ยนมุมคิดด้วยจิตวิทยาภาคพิศดาร

โดย Richard Wiseman หนังสืออีกเล่มสำหรับคนที่ชอบเรื่องจิตวิทยาหรือเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมโดยเฉพาะ และก็เหมาะสำหรับคนทำการตลาดทั้งหลายด้วยนะ.. ..แต่ถ้าคนที่อ่านหนังสือแนวนี้มาเยอะแล้วอาจจะพบว่าหลายบทในเล่มนี้เหมือนกับหลายๆเล่มที่เคยอ่านผ่านมาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Malcolm Gladwell หรือ Dan Ariely และนักเขียนด้านนี้คนอื่นๆอีกหลายคนที่ผมจำชื่อไม่ได้ แล้วหนังสือเล่มนี้สนุกตรงไหนล่ะ.. ..มันสนุกตรงที่ผู้เขียนไปศึกษาติดตามพฤติกรรมแปลกๆของคนเราออกมาเป็นผลลัพธ์ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นคนเราจะเดินช้าลงโดยไม่รู้ตัวเมื่อถูกป้อนความคิดเรื่องความแก่ชราลงไปก่อนหน้านั้น อาจจะด้วยการอ่าน พูด หรือทำแบบสอบภาม จะเห็นว่าคนเรานั้นสามารถูกชี้นำความคิดได้ง่ายๆ.. ..แต่หัวข้อที่ผมรู้สึกชอบมากที่สุดในเล่มนี้เป็นเรื่องของ “มุขตลก” ผู้เขียนพยายามค้นหาว่ามีมั้ยนะมุขตลกที่เป็นสากลของโลกนี้ ที่สามารถทำให้คนทุกคนบนโลกขำได้หมด ปรากฏว่าไม่มีครับ เพราะแม้แต่มุขที่ตลกที่สุดจากการโหวตจากคนหลายแสนคนทั่วโลก จากหัวข้อมุขตลกกว่าหมื่นมุขที่มีคนส่งเข้ามา พบว่าได้คะแนนเพียง 55% เท่านั้น…

สุขเลือกได้ Choose the Life You Want: 101 Ways to Create Your Own Road to Happiness.

101 วิธีในการเลือกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จากผู้สอนหลักสูตรที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หนังสือเล่มนี้รวบรวมวิธีคิด หรือตัวอย่างจากชีวิตจริงที่เชื่อว่าหลายคนต้องเคยประสบ กับเหตุการณ์ หรือทางเลือกแบบนี้มาก่อน เช่น เมื่อเจอปัญหาที่เหมือนไม่มีทางออกแล้วจะทำยังไงดี เมื่อเจอกับสิ่งที่ไม่มีทางเลือกแล้วจะทำยังไงต่อ หรือควรจะเลือกทางไหนที่ดีที่สุด สำหรับชีวิต..แน่นอนแทบทุกครั้งเราแทบไม่มีทางรู้เลยว่า การเลือกหรือตัดสินใจของเรา จะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร สิ่งที่เราส่วนใหญ่ทำได้ก็คือ “คาดหวัง” ให้ผลออกมาดี แต่ทุกครั้งที่ผลออกมาไม่ดีอย่างที่คาดหวังไว้เราก็มักจะจมอยู่กับความเสียใจ วนเวียนไปเป็นเวลานาน จนมักจมอยู่กับความคิดที่ว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น..” หรือ “ถ้ารู้อย่างนี้..” จนเราลืมคิดไปว่า ณ เวลานั้นเราก็ยังมีทางที่จะเลือกได้อยู่ดี เหมือนกับประโยคน้ำครึ่งแก้วที่หลายคนคุ้นเคย.. ..”คุณเห็นน้ำในแก้วหายไปครึ่งหนึ่ง หรือเห็นน้ำในแก้วเหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว” คำถามนี้ไม่มีถูกผิด…

The (Honest) Truth About Dishonesty อ่านทะลุความคิด ด้วยจิตวิทยาแห่งการโกง

โดย Dan Ariely จะนิยามผู้เขียนว่าเป็นนักศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ผู้โด่งดังก็ว่าได้ เพราะหนังสือหลายเล่มที่เค้าเขียนมาเชื่อว่าเราหลายคนคงคุ้นกันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรมพยากรณ์ หรือ เหตุผลที่ไม่ควรมีเหตุผล.. ..พฤติกรรมคนเราสามารถศึกษาได้ไม่ยากแต่คาดเดาได้ไม่ง่าย มนุษย์ที่ว่ากันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทีอุดมไปด้วยเหตุและผลนั้น แท้จริงแล้วกลับใช้อารมณ์ในการดำเนินชีวิตเป็นส่วนใหญ่จนน่าตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะรอดจากวิกฤตต่างๆในสมัยโบราณจนกลายมาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ปกครองโลกใบนี้ได้.. ..เล่มนี้ผู้เขียนศึกษาถึงเรื่องพฤติกรรมการโกงของมนุษย์เราซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์เราส่วนใหญ่(แทบจะทุกคนบนโลกนี้)กลับเป็นผู้ที่มีความขี้โกงในตัวเล็กๆน้อยๆ แต่จะมีก็เพียงแต่ส่วนน้อยมากเท่านั้นที่ไม่โกงเลยหรือโกงแบบสุดลิ่มทิ่มประตู แล้วทำไมมนุษย์เราผู้มีอารยถึงกลายเป็นผู้ขี้โกงทุกคนไปโดยไม่รู้ตัวได้ล่ะ.. ..ใช่แล้วครับเหตุผลคือทุกครั้งที่คนเราโกงแบบเล็กๆน้อยๆ (มีผลศึกษามาแล้วว่าประมาณ 15-20% ของค่าเฉลี่ยจากการไม่โกง) ก็เพราะคนเราเชื่อว่านั่นไม่ใช่การโกงหรือการทำผิดอะไรมากมาย พอด้วยเราไม่คิดว่ามันผิดเราก็เลยทำไปโดยไม่รู้ตัวเสมอมา.. ..ไม่ว่าจะเป็นการเอาดินสอหรือปากกาในที่ทำงานกลับมาใช้ที่บ้าน (อย่าบอกว่าคุณไม่เคยเพราะผมเคย) การแอบปริ้นท์หรือซีร็อกซ์เอกสารส่วนตัวในที่ทำงาน หรือบางคนปริ้นท์รายงานให้ลูกจากที่ออฟฟิศ หรือแม้แต่แอบเบิกเงินค่าเดินทางหรือค่าจิปาถะเกินมาเล็กๆน้อยๆโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตาม คนส่วนใหญ่(ไม่อยากจะบอกว่าทุกคน)คงจะเคยทำงานมาแล้วทั้งนั้น.. ..แล้วจะทำอย่างไรให้คนไม่โกงเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ล่ะ?.. ..เช่นกัน…

Joy On Japan อยู่แดนปลาดิบ อย่างมีความสุข

อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังสือคู่มือการใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่นก็ว่าได้ เพราะอย่างที่ผู้เขียนว่า เรามักจินตนาการไปว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่าอยู่อาศัย เมื่อเราดูจากการ์ตูน หรือภาพยนต์ AV ต่างๆ..เอ๊ะ ไม่เกี่ยวกับหนัง AV ซิ อันนั้นชาติไหนก็น่าดู เอ๊ย!! น่าอยู่.. ..ผู้เขียน ณัฐพงศ์ ไชยาวานิชย์ผล เป็นคนที่ได้ไปร่ำเรียนและทำงานใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นเวลานานมากพอที่จะถ่ายทอดความจริงการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นที่ไม่น้อยคนจะรู้ เช่น เรื่องการทิ้งขยะ ที่พออ่านแล้วต้องถือว่าน่าปวดหัวแต่ก็ชวนให้เข้าใจได้ว่าเพื่อสังคมของเค้า ไม่ได้ทิ้งอะไรที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้แบบบ้านเรา เพราะที่นั่นต้องทิ้งขยะแยกประเภทให้เรียบร้อย แล้วก็ต้องทิ้งแต่ละประเภทให้ตรงวัน แถมยังต้องทิ้งให้ตรงจุดที่กำหนดเท่านั้น และคุณจะไปทำเนียนทิ้งตามหน้าร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเฟ่นก็จะถูกสังคมประนาม เพื่อนบ้านไม่คบเอาได้ง่ายๆ.. เรื่องที่สอง…ภาษาญี่ปุ่น ถ้าไม่อ่านเล่มนี้ผมก็จะไม่รู้เลยว่าตัวอักษรญี่ปุ่นแยกเป็น 3 ประเภท…

บรรยง พงษ์พานิช คิด

ถ้าถามว่าหนังสือประเภทไหนที่ผมชอบที่สุด ผมตอบได้เลยว่าผมชอบหนังสือประเภทกลั่นมาจากประสบการณ์ชีวิต โดยเฉพาะประสบการณ์ตรงของชีวิตผู้เขียน เพราะหนังสือแนวนี้จะเนื้อเน้นๆไม่มีน้ำ ไม่มากทฤษฎีหรือหลักการให้ปวดกะโหลก ไม่มีศัพท์แสงวิชาการที่ฟังดูต้องใช้จินตนาการเยอะ อ่านเข้าใจง่ายแต่กลับได้อะไรๆเยอะมาก เรียกได้ว่ามีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดเลยก็ว่าได้ หนังสือประเภทนี้จะเต็มไปด้วยคำธรรมดาที่โคตรจะคม จนทำให้คำคมทั่วไปกลายเป็นโคตรธรรมดา ถ้าเป็นภาษาการตลาดหรือคนโฆษณานี่บอกได้เลยว่า เต็มไปด้วย key message หรือ super insight สะกิดใจทุกคำ และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นทั้งหมดที่ผมว่า เป็นหนังสือที่กลั่นมาจากประสบการณ์ชีวิตของนักการเงินเศรษฐศาสตร์(หรืออะไรก็ตามทำนองนั้นที่ผมก็นิยามให้ไม่ถูกเหมือนกัน)ที่ชื่อว่า บรรยง พงษ์พานิช คุณบรรยง พงษ์พานิช คนนี้มีประวัติที่ไม่ธรรมดาเพราะเริ่มทำงานในตำแหน่งเสมียนเคาะกระดานหุ้น เงินเดือน 2,450 บาท เมื่อ 36…

ประวัติศาสตร์โลกฉบับไม่ง่วง, The Mental Floss – History of the World

สรุปโดยย่อ หนังสือเล่มนี้เล่าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติย้อนหลังไปราวหมื่นกว่าปีก่อน ตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีอารยธรรม หรืออย่างน้อยก็เริ่มทิ้งหลักฐานหรือตั้งใจส่งต่ออะไรบางอย่างไว้ให้เราเรียนรู้ จากเนื้อหาที่ควรจะหนากว่า 500,000,000 หน้า ถูกย่อจนเหลือแค่ 500 หน้าเท่านั้นเอง (ก็ยังถือว่าหนาอยู่ดีนั่นแหละ) หรือจะบอกว่าอ่าน 1 หน้าของประวัติศาสตร์โลกฉบับไม่ง่วงเล่มนี้ เท่ากับอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ทั่วไปกว่าล้านหน้าได้มั้ยนะ จริงๆน่าจะเอาเป็นจุดขายให้ทีมตลาดได้เลยนะเนี่ย นั่นคือสรุปแบบย่อครับ ส่วนถ้าให้สรุปแบบยาวขึ้นมาอีกหน่อย ผมว่าหนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์มากมาย อารมณ์เหมือนเราเดินเข้าไปในอภิมหาซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดยักษ์ที่มีสารพันของกินให้ชิมมากมายเป็นล้านสิ่ง ชิมอย่างละคำสองคำ จนได้ชิมเป็นพันคำแทบจะยิ่งกว่าอาหารมื้อหลักมื้อใหญ่ดีๆเลยก็ว่าได้ นี่คือคำนิยามของหนังสือเล่มนี้ที่ผมจะมอบให้ ถ้าใครอยากจะมีเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์เอาไว้คุยเท่ห์ๆในวงสนทนา ไม่ว่าจะวงข้าวหรือวงเหล้า หรือวงที่เต็มไปด้วยสาวๆสำหรับหนุ่มๆ หนังสือเล่มนี้ก็เหมาะอย่างยิ่งครับ แต่หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้เพอร์เฟคในความรู้สึกผม เพราะหลายครั้งที่ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าเรื่องราวมันกระโดดไปกระโดดมา อารมณ์เหมือนกำลังชิมของคาวอร่อยๆได้หนึ่งคำ…

Pinocchio ปิน็อกกีโอ

อ่านจบไปหลายวันแล้วเพิ่มได้มีเวลามีเขียนถึงหนังสือชื่อ “ปิน็อกกีโอ” ชื่อแปลแบบดั้งเดิมตามการออกเสียงแบบอิตาลี ชาติกำเนิดของผู้แต่งเรื่องนี้ หรือ พิน็อคคิโอ นิทานขื่อคุ้นปากของใครทุกคน..ผมเชื่อแบบนั้น แทบทุกคนคงรู้จักนิทานเรื่องนี้เหมือนกับตัวผมก่อนหน้านี้ว่า หุ่นกระบอกไม้ที่เกิดมีชีวิตเหมือนคนจริงๆขึ้นมา แล้วก็ชอบพูดโกหกจนจมูกยื่นจมูกยาว…แล้วไงต่อล่ะ สำหรับผมตอนแรกผมก็รู้แค่นี้แหละ ที่เหลือผมจำไม่ได้แล้ว แต่พอได้อ่านต้นฉบับก็พบว่าสนุกและมีความแยบคายในตัวเรื่องตามสมัยที่แต่งในปี ค.ศ.1881 หรือตรงกับรัชกาลที่ 5 ที่กระตุ้นให้ผู้อ่านรู้จักวิธีสอนลูกหลานให้เป็นเด็กดีรักเรียนใผ่รู้ไม่ขี้เกียจเอาแต่เล่น..เพื่อจะได้เป็นแรงงานในการพัฒนาประเทศในช่วงชาตินิยมล่าอาณานิคมกันต่อไป ตัวเรื่องที่แท้จริงของปิน็อกกีโอเป็นแบบนี้ครับ เริ่มจากปิน็อกกีโอนั้นเป็นท่อนไม้ที่มีชีวิตแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าช่างไม้คนนึงทำหุ่นไม้เสร็จแล้วก็ขอพรกับนางฟ้าให้หุ่นมีชีวิตเลยซักนิด อย่างที่ผมบอกครับ..ท่อนไม้ที่จะใช้ทำปิน็อกกีโอมีชีวิตแต่แรกและช่างไม้คนนั้นก็ตั้งใจเอาท่อนไม้นั้นไปจากเพื่อนสนิทคนนึงไป จากนั้นหุ่นไม้ปิน็อกกีโอที่มีชีวิตเหมือนมนุษย์คนนึง วิ่งได้ พูดได้ หิวได้ โกรธได้ ก็กลับไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดในเนื้อเรื่อง ก็เพราะในเรื่องยังมีหุ่นไม้อีกหลายตัวที่มีชีวิตเหมือนปิน็อกกีโอ อ่านถึงตอนนี้ผมเองก็เงิบแดกเลยนึกว่าหุ่นไม้มีชีวิตจะเป็นเรื่องแปลก ที่แปลกต่อมาคือตลอดทั้งเล่มเรื่องมีแค่ตอนเดียวทีปิน็อกกีโอพูดโกหกแล้วจมูกยื่นยาว…

กลยุทธ์โน้มน้าวและจูงใจคน Influence The Psychology of Persuasion

ทีแรกดูหน้าปกแล้วไร้ซึ่งความน่าสนใจใดๆ แต่พอได้เปิดอ่านผ่านๆข้างใน 5 นาที 3 หน้า ก็หยิบติดมาจ่ายเงินโดยเต็มไปด้วยความน่าสนใจแล้ว ประเด็นหลักของหนังสือคือการใช้จิตวิทยาที่ผ่านการทดลองและพิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลจริง ว่าสามารถกระตุ้นการกระทำหรือจูงใจให้ใครบางคนหรือคนทั้งกลุ่มปฏิบัติตามความต้องการของเรา ถ้าให้พูดได้ง่ายกว่านั้นคือเราสามารถชี้นำคนได้จริงๆ แม้ว่าจะไม่ได้ 100% ทุกครั้ง แต่หลายครั้งที่ผ่านการทดลองพิสูจน์แล้วว่าเพิ่มโอกาศได้มากขึ้นกว่าวิธีปกติมั่วซั่วได้เป็นเท่าตัว โอ้โห…ฟังดูดียังกับโฆษณาขายสินค้ารอบดึกอย่างควอนตัมเทเลวิชั่นใช่มั้ยครับ ถูกต้องครับ.. ที่ผมกล้าบอกว่าถูกต้องเพราะหนังสือเล่มนี้มีความคล้าย และเหมือนหนังสือจิตวิทยา หรือหนังสือเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมหลายเล่มที่ผมเคยอ่านมาแล้วมาก โดยเฉพาะระดับปรมาจารย์ต้นตำรับอย่าง เดล คาร์เนกี กลับมาพูดถึงหนังสือเล่มนี้ต่อแบบกระชับ หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น 6 หัวข้อในขั้นตอนการทำให้คนปฏิบัติตาม 1.การตอบแทน การให้และการรับ..และการรับแบบดั้งเดิม ข้อนี้ว่าง่ายๆก็คือธรรมชาติของมนุษย์จะรู้สึกติดค้างใครซักคนที่ให้เรามาแม้โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะร้องขอเป็นธรรมชาติของเราอยู่แล้ว 2.ความรับผิดชอบและความสม่ำเสมอ…