The Strategy and Tactics of Pricing กลยุทธ์การตั้งราคา

เมื่อราคาไม่ใช่แค่ “ราคา” ที่เคยเข้าใจอีกต่อไป หนังสือเล่มนี้แม้จะอ่านยากนิดๆ (มีอารมณ์คล้ายหนังสือเรียนที่มักจะต้องถูกบังคับจากอาจารย์ให้อ่าน) แต่ก็ถ้าตั้งใจอ่านซักหน่อยก็จะพบว่ามีอะไรให้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวอีกเยอะ รวมถึงเคสที่น่าสนใจมากมาย . หลายครั้ง “ราคา” มักเป็นส่วนสุดท้ายของการตัดสินใจ ที่มักจะเอา “ต้นทุน” มาบวก “ผลกำไร” ที่ต้องการ แล้วใช้ตัวเลขนั้นเป็นราคาขายให้กับลูกค้า แทบจะเรียกได้ว่าเป็นปลายทางของธุรกิจเลยก็ว่าได้ . แต่หนังสือเล่มนี้ให้มุมมองใหม่ที่น่าสนใจว่า การตั้งต้นด้วยราคาก่อนจะเริ่มทำธุรกิจนั้น มีโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจนั้นอยู่รอดและเติบโตได้มากกว่า!? . สำหรับผมเป็นมุมมองใหม่ที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยกับการ “เอาราคาเป็นตัวตั้ง” . เพราะแต่ไหนแต่ไรมา การกำหนดราคาด้วยต้นทุนคือ สินค้า >…

บันทึกลับ ของ แอนน์ แฟร้งค์ Anne Frank, The diary of a young girl

ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะมี “สมุด” เป็นเพื่อนได้ แต่เด็กผู้หญิงคนนึงที่ชื่อ แอนน์ แฟร้งค์ เธอมีเพื่อนรักและเพื่อนสนิทเป็นสมุดได้จริงๆ เพราะเธอและครอบครัวต้องคอยหลบซ่อนจากตำรวจ ทหารเยอรมัน หรือพวกนาซี ที่คอยกวาดล้างชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างที่เราคุ้นกันดีในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ที่ชาวยิวถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพวกนาซีไปหลายล้านคน เธอกับครอบครัว รวมถึงอีกหนึ่งครอบครัวชาวยิว และหมอชาวยิวอีกคนหนึ่ง รวมกันเป็น 8 คน ต้องคอยหลบซ่อนอยู่ในอาคารที่ทำงานเก่าของพ่อเธอในเมืองอัมสเตอร์ดัม เป็นเวลาเกือบ 3 ปี ที่คนทั้ง 8 ต้องเบียดเสียดกันอยู่แต่ในห้องใต้หลังคาแคบๆ และไม่ได้ออกจากตึกแถวเล็กๆ 3 ชั้นครึ่งไปไหนเลย ทำได้อย่างมากก็แค่…

Repositioning การวางตำแหน่งใหม่

Repositioning คืออะไร? แล้วทำไมต้องวางตำแหน่งใหม่ด้วย? Jack Trout ผู้เขียนเปรียบเทียบง่ายๆว่าการ Repositioning ก็เหมือนกับการ “แขวนป้าย” หรือ “แปะป้าย” ให้กับตัวเรา เพื่อให้ผู้คนหรือกลุ่มลูกค้ารู้ว่า “เราคือใคร” แต่ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้อยู่ตรงแนวคิดที่อยู่ เราสามารถ Repositioning หรือ “แปะป้าย” ให้กับคู่แข่งเราได้ด้วย! ลองดูตัวอย่างจาก Burger King กับ McDonald’s ดู ครั้งนึงผู้เขียนและหุ้นส่วนเคยเข้าไปให้คำแนะนำกับ Burger King ที่จะแขวนป้าย…

เซ็กซ์ดึกดำบรรพ์ของบรรพชนไทย

อาจจะเป็นหนังสือที่ดูแปลกในสายตาของคนอื่น โดยเฉพาะคนไกล้ตัวที่สงสัยว่าทำไมผมถึงซื้อเล่มนี้มาอ่าน ก็แหม จะไม่ให้สงสัยได้ยังไงล่ะครับ กิน ขี้ ปี้ นอน มันเป็นเรื่องสามัญในชีวิตประจำวันเราทุกคน (แต่บางเรื่องก็คงทำกันไม่ได้ทุกวันหรอกเนอะ..มั้ง) ผมก็เลยอยากรู้ว่าในสมัยก่อนหรือสมัยโบราณนั้น เรื่องเซ็กซ์(แปลกดีใช้ ซ์ แทน ส์ อย่างที่คุ้นเคยกัน)ของเค้าเป็นอย่างไร และต่างกับคนสมัยนี้มากน้อยแค่ไหน พออ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ถึงกับตาสว่างและน่าประหลาดใจกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เพราะเรื่องเซ็กซ์ในสมัยก่อนย้อนหลังไปเป็นร้อยเป็นพันปีได้นั้น กลับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญออกจะสาธารณะนิดๆกว่าที่คิดเอาไว้ด้วย เช่น การอยู่กินหรือมีเซ็กซ์กันก่อนแต่งในสมัยโบราณนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ผิดกับค่านิยมหรือจารีตของคนสมัยนี้เลยและผู้ชายก็ต้องกลายไปเป็นบ่าวรับใช้ของบ้านฝ่ายหญิง เลยเป็นที่มาขอคำว่า “เจ้าบ่าว” ฝ่ายชายได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานไปเยี่ยงบ่าวรับใช้ จนกว่าพ่อแม่คนในครอบครัวฝ่ายหญิงจะพอใจยอมยกลูกสาวให้เป็นเมีย เรื่องที่ว่านี้ถึงขนาดเป็นกฏหมายในช่วงต้นอยุธยาเมื่อกว่า 500 ปีก่อนมาแล้ว…

BRANDiNG 4.0 จากการตลาด 3.0 สู่การสร้างแบรนด์ 4.0

เมื่อการตลาดเปลี่ยนไป แต่ใจความสำคัญ…ยังเหมือนเดิม ถ้าจะบอกว่าใจความสำคัญของการตลาดก็ยังเป็นการสร้างผลกำไรหรือเงินเข้าบริษัทก็คงไม่ผิดนัก เพราะถ้าบริษัทไม่มีกำไรแล้วจะอยู่ได้อย่างไร เพียงแต่หนทางในการได้เงินมาขององค์กรทุกวันนี้เปลี่ยนไปมากกว่าเดิมจากการเริ่มค้าขายในประวัติศาสตร์ของมนุษย์มากนัก ในสมัยโบราณถ้าจะบอกว่าการตลาดก็คือการที่คนเอาของที่ตัวเองต้องการน้อยกว่าไปแลกกับของที่ตัวเองมากกว่ากับคนอื่นมา เช่น คนที่ปลูกพืชได้เยอะเกินความจะกินหมดหรือเก็บไว้ได้ ก็เอาพืชผลที่ปลูกได้เงินมานั้นไปแลกกับอีกคนที่อาจจะมีเนื้อสัตว์ที่เกินกินเกินเก็บไว้ และก็กำลังต้องการธันญพืชอยู่พอดี การแลกเปลี่ยนกันก็เลยเกิดขึ้นโดยความพร้อมใจทั้งสองฝ่าย แล้วก็วิวัฒนาการกลายเป็น “เงิน” หรือตัวกลางในการแลกเปลี่ยนขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อทุกฝ่ายมากขึ้น ถ้าการตลาดทุกวันนี้ต่างจากเมื่อหลายพันหมื่นปีก่อนยังไง ถ้าจะบอกว่าแก่นใจความสำคัญก็คือการสร้างความพึงพอใจให้ทั้งสองฝ่ายที่ได้แลกเปลี่ยนกันก็คงไม่ผิดนัก เพราะถ้าเราไม่พอใจมากพอก็คงไม่ยอมเสียเงินมีอยู่ไปแลกมันมากันใช่มั้ยล่ะครับ การตลาดทุกวันนี้ไปไกลมากจนผู้เขียนนิยามว่าเป็นการตลาดยุค 4.0 (ไม่รู้ทำไมต้อง 4.0 ตามๆกันไปหมดทุกอย่างด้วย มีแต่ถุงยางหรือไงที่พยายามลดตัวเลขลงเรื่อยๆ ไม่เห็นเน้นจุดขายในตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเหมือนสินค้าอื่นๆเลย) กว่าจะมาเป็นการตลาด 4.0 แน่นอนก็ต้องผ่านการนับหนึ่งมา คือเริ่มต้นจากการซื้อมาขายไป แลกเปลี่ยนกันซื่อๆไม่ซับซ้อน ต้องการอะไรก็เดินไปหามา…

Marketing 4.0 สู่ยุคการตลาดดิจิทัล

การตลาด 4.0 สู่ยุคการตลาดดิจิทัล โดย Philip Kotler ปรมาจารย์ด้านการตลาดชื่อดังระดับโลก จนสามารถพูดได้ว่าถ้าไม่เคยอ่าน Philip Kotler ก็ไม่น่าเรียกตัวเองว่านักการตลาด ถึงขนาดได้ยินว่าหลายมหาลัยในวิชาการตลาดเอาหนังสือของแกไปเป็นหนังสือเรียนเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะมาถึง 4.0 ในวันนี้ การตลาดได้ผ่านยุคอะไรมาแล้วบ้าง 1.0 การตลาดที่เน้นสินค้าเป็นหลัก, Product Centric 2.0 การตลาดที่เน้นผู้บริโภคเป็นหลัก, Consumer Centric 3.0 การตลาดที่เน้นความเป็นมนุษย์เป็นหลัก Human Centric อ่านถึงตรงนี้อาจสงสัยว่า 2.0…

อยู่กับความซับซ้อน Living with Complexity

ความซับซ้อนฟังแล้วอาจชวนปวดหัวสำหรับหลายคน แต่ในลึกๆแล้วเราทุกคนล้วนเสพย์ติดความซับซ้อน (Complexity) โดยไม่รู้ตัว เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่เราไม่ชอบไม่ใช่ความซับซ้อน แต่กลับเป็นความสับสน (Complicated) และก็ความยุ่งเหยิง (Confusing) ยกตัวอย่างความซับซ้อนที่สุดที่ไกล้ตัวเราก็คือโทรศัพท์มือถือ.. ..โทรศัพท์มือถือทุกวันนี้ซับซ้อนกว่าโทรศัพท์ต้นแบบมันไม่รู้กี่ล้านเท่า และก็ซับซ้อนกว่าโทรศัพท์มือถือต้นแบบแรกของมันไม่รู้กี่เท่า โทรศัพท์เราทุกวันนี้ทำหน้าที่ไม่ได้รู้จบ แต่ถ้าดูจากความเป็นโทรศัพท์แต่แรกเริ่มเดิมทีคือการโทรออก รับสาย ต่อหมายเลขได้ ได้ยินเสียง จากนั้นก็เพิ่มวิวัฒนาการต่อไปเรื่อยๆเป็น เม็มเบอร์ได้ กดโทรด่วนได้ ทำให้เสียงออกมาจากลำโพงภายนอกได้ แต่งเสียงเรียกเข้าได้ พักสายได้ แล้วก็ได้อีกเป็นพันๆอย่างจนทุกวันนี้ลิสรายการออกมาเท่าไหร่ก็ไม่มีทางหมด.. ..นี่คือหนึ่งตัวอย่างความซับซ้อน แต่ทำไมความซับซ้อนนี้ถึงไม่สับสนล่ะ เพราะการซับซ้อนก็ยังมีรูปแบบ แบบแผน แผนผังจำลองความคิดที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจ และเรียนรู้ที่จะใช้งานมันได้โดยไม่ยาก…

จากหลากหลายกลายเป็นหนึ่ง One From Many

เป็นหนังสือที่เขียนโดยผู้ก่อตั้งบริษัท VISA ที่ผมเชื่อได้ว่าแทบทุกคนบนโลกคุ้นเคย เพราะอย่างน้อยตอนเราทำบัตร ATM ครั้งแรกเราก็ต้องเลือกแล้วว่าจะใช้ VISA หรือ MasterCard ไหนจะตอนที่เราเริ่มทำงานมีรายได้แล้วอยากทำบัตรเครดิตครั้งแรกก็ต้องเลือกอีกเช่นกัน.. ..บริษัท VISA เกิดขึ้นมาจากความวุ่นวายของแบงค์ออฟอเมริกา อยากทำผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นบัตรเครดิตครั้งแรกในชื่อของ อเมริการ์ด ที่ให้บริการสินเชื่อเงินสดทันใจแทนที่ดราฟเช็คเงินสดในสมัยก่อน ถ้าเราจำกันได้เวลาดูหนังฮอลลีวูดที่เก่าหรือย้อนยุคไปหน่อยซัก 40-60 ปีก่อน จะเห็นว่าตัวละครจะเขียนเช็คแทนการจ่ายด้วยเงินกัน นั่นแหละคือความยุ่งยากที่ก่อกำเนิดบัตรเครดิตเป็นครั้งแรกขึ้น.. ..แต่หลังจากเกิดขึ้นก็กลับก่อให้เกิดปัญหาวุ่นวายตามมามากมาย เพราะระบบที่ไม่ดีพอที่จะรองรับการเติบโตมหาศาลได้ และสมัยก่อนการจ่ายเงินยังไม่ทันใจในเสี้ยววินาทีที่แค่เซ็นลงบนสลิปแล้วจบ เพราะทางร้านค้าจะต้องรับบัตรแล้วก็โทรตรวจสอบไปยังธนาคารผู้ออกบัตร ส่วนธนาคารผู้ออกบัตรก็จะบอกให้ร้านค้ารอซักครู่แล้วทางธนาคารผู้ออกบัตรก็จะโทรไปยังสำนักงานใหญ่แบงค์ออฟอเมริกาเพื่อถามว่าจะอนุมัติหรือไม่ ถ้าวงเงินสูงก็ต้องใช้เวลารอการอนุมัติอีกราวๆสองอาทิตย์ และจากการโทรกันหลายทอดก็กลายเป็นค่าใช้จ่ายสะสมมหาศาลจากค่าโทรศัพท์ทางไกลมากมายหลายร้อยล้านดอลลาห์ในสมัยนั้น.. ..Dee Hock…

ปฏิวัติ 2.0 Revolution 2.0; The Power of the People Is Greater Than the People in Power

บทบันทึกเรื่องราวของคลื่นปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตยในโลกอาหรับ (Arab Spring) ผ่านประสบการณ์ตรงของผู้จุดประกายการปฏิวัติผ่านโลกไซเบอร์ด้วยพลังของเฟซบุ๊ค เขียนโดย Wael Ghonim Wael Ghonim ชายชาวอียิปต์วัยกลางคนทำงานที่บริษัท Google ในตำแหน่งผู้อำนวยการด้านการตลาดของประเทศแถบภูมิภาคนั้น เป็นชายผู้ริเริ่มกระแสการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับชายอียิปต์ผู้หนึ่งที่ตัวเองไม่เคยรู้จักมาก่อนที่ชื่อ คาเลด ซาอิดชายหนุ่มที่ถูกตำรวจความมั่นคงซ้อมจนตายและยัดข้อหาค้ายาให้ทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์.. ..จากจุดเริ่มต้นนี้ทำให้ Wael Ghonim หลังจากได้เห็นภาพและเรื่องราวที่น่าสยองสมเพชกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมชาตินี้กระตุ้นให้เค้าเริ่มสร้างเพจที่มีชื่อว่า “เราล้วนคือ คาเลด ซาอิด” ขึ้นมาเพื่อหาแนวร่วมเรียกร้องความยุติธรรมและความจริงที่ถูกตำรวจภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยเผด็จการของ มูบารัค ที่คอยใช้สื่อปกปิดหลอกลวงความจริงกับประชาชนตลอดกว่า 30 ปีที่เค้าปกครองประเทศมา.. ..การเรียกร้องความยุติธรรมเริ่มจากสร้างเพจเฟซบุ๊คเพื่อหาแนวร่วม ไปจนถึงการออกมาแสดงพลังเงียบในโลกจริงด้วยการร่วมกันใส่ชุดดำยืนนิ่งเงียบร่วมกันจนกลายเป็นกระแสที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจในช่วงปี 2010..…

Privacy: A Very Short Introduction ความเป็นส่วนตัว ความรู้ฉบับพกพา

ความเป็นส่วนตัวที่เป็นคดีความครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เป็นคดีความฟ้องร้องระหว่างเจ้าชายอัลเบิร์ทและควีนวิคตอเรีย กับชายชาวธรรมดาสามัญชน ที่นำภาพพิมพ์ส่วนตัวของทั้งสองพระองค์ไปเผยแพร่สู่สาธารณะ ทั้งสองจึงฟ้องศาลเป็นคดีความแรกของโลกที่พูดถึงเรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” นับเป็นจุดเริ่มต้นจากนั้นเป็นต้นมา ในสหรัฐอเมริกานั้นมาตรฐานความเป็นส่วนตัวถือว่าต่ำกว่ายุโรบมากจนเทียบกันไม่ได้ การเก็บข้อมูลส่วนตัวและส่วนบุคคลของบริษัทเอกชนหรือรัฐนั้นแทบจะเป็นอิสระสะดวกสบายโดยไม่ต้องรับผิดชอบความเสียหายของบุคคลที่จะตามมาเลย ความเป็นส่วตัวเริ่มเสียหายอย่างเป็นจริงจังก็ตอนที่โกดักเองทำกล้องกระดาษที่ใครๆก็สามารถหาซื้อมาถ่ายกันได้ง่ายๆ นั่นเองที่ทำให้กำแพงความเป็นส่วนตัวหายไป ความเป็นส่วนตัวและความเป็นเสรีในการแสดงความคิดเห็นนั้นมีแง่มุมที่ขัดแย้งกันมานาน การพูดการแสดงออกคือเสรีภาพ แต่ถ้าเสรีภาพของการแสดงออกเป็นการไปกระทบความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นจะยังนับเป็นการแสดงออกอย่างเสรีที่ไม่ควรถูกขัดขวางงั้นหรอ ครั้งนึงคนดังอย่าง เซลีนา วิลเลียม เคยถูกช่างภาพนักข่าวแอบถ่ายภาพเธอขนะกลับจากกลุ่มบำบัดยาเสพย์ติด เธอฟ้องช่างภาพและหนังสือพิมพ์นั้นในการละเมิดความเป็นส่วนตัวของเธอ และเธอปฏิเสธว่าเธอไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มบำบัดยาเสพย์ติด ผลปรากฏว่าศาลตัดสินให้ยกฟ้องไม่เอาผิดสื่อ เพราะเธอโกหกความจริงที่ปรากฏสื่อในฐานะผู้ตีแผ่ความจริงให้สังคมรับรู้ นี่เป็นแค่เสี้ยวเดียวของความเป็นส่วนตัวที่พิกลพิการในทางกฏหมายในสังคมที่พัฒนาแล้วอย่างอังกฤษ ไม่ต้องพูดถึงบ้านเรา ข้อมูลของเราก็คือความเป็นส่วนตัวที่สำคัญมากอย่างนึง ทุกอย่างที่ถูกบันทึกไว้เป็นการสูญเสียความเป็นส่วนตัวเราไปเรื่อยๆทั้งนั้น เฟซบุ๊คที่โพส ภาพที่อัพ ที่ๆเช็คอิน…