อาจจะเป็นหนังสือที่ดูแปลกในสายตาของคนอื่น โดยเฉพาะคนไกล้ตัวที่สงสัยว่าทำไมผมถึงซื้อเล่มนี้มาอ่าน

ก็แหม จะไม่ให้สงสัยได้ยังไงล่ะครับ กิน ขี้ ปี้ นอน มันเป็นเรื่องสามัญในชีวิตประจำวันเราทุกคน (แต่บางเรื่องก็คงทำกันไม่ได้ทุกวันหรอกเนอะ..มั้ง) ผมก็เลยอยากรู้ว่าในสมัยก่อนหรือสมัยโบราณนั้น เรื่องเซ็กซ์(แปลกดีใช้ ซ์ แทน ส์ อย่างที่คุ้นเคยกัน)ของเค้าเป็นอย่างไร และต่างกับคนสมัยนี้มากน้อยแค่ไหน พออ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ถึงกับตาสว่างและน่าประหลาดใจกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เพราะเรื่องเซ็กซ์ในสมัยก่อนย้อนหลังไปเป็นร้อยเป็นพันปีได้นั้น กลับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญออกจะสาธารณะนิดๆกว่าที่คิดเอาไว้ด้วย

เช่น การอยู่กินหรือมีเซ็กซ์กันก่อนแต่งในสมัยโบราณนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ผิดกับค่านิยมหรือจารีตของคนสมัยนี้เลยและผู้ชายก็ต้องกลายไปเป็นบ่าวรับใช้ของบ้านฝ่ายหญิง เลยเป็นที่มาขอคำว่า “เจ้าบ่าว” ฝ่ายชายได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานไปเยี่ยงบ่าวรับใช้ จนกว่าพ่อแม่คนในครอบครัวฝ่ายหญิงจะพอใจยอมยกลูกสาวให้เป็นเมีย

เรื่องที่ว่านี้ถึงขนาดเป็นกฏหมายในช่วงต้นอยุธยาเมื่อกว่า 500 ปีก่อนมาแล้ว ในเรื่องการอยู่กินก่อนแต่งถึงขนาดมีลูกกันก็ไม่ใช่เสียหาย เพราะส่วนนึงการมีลูกเหมือนการมีทรัพย์สินด้านแรงงานที่มากกว่า ก็ทำให้ฐานะดีกว่า ได้เปรียบกว่า ดังนั้นยิ่งมีลูกมากฝ่ายหญิงก็ยิ่งมีฐานะดี และกินอยู่อย่างสุขสบายมากขึ้น

แต่เรื่องนี้ก็มีที่มา เพราะในสมัยโบราณนั้นทรัพย์สินอย่าง บ้าน หรือ ที่ดิน จะตกเป็นของฝ่ายหญิง ดังนั้นฝ่ายหญิงจึงมีอำนาจเหนือชายมานานมากในสมัยโบราณ

เรียกได้ว่าในสมัยนั้นฝ่ายชายน่าจะต้องออกมาเป็นฝ่ายเรียกร้องสิทธิของตัวเองแทนฝ่ายหญิงในสมัยนี้เลย เพราะอย่างคำว่า “แม่” ที่หมายถึงผู้มีอำนาจหรือผู้ที่เหนือกว่านั้นก็ใช้เป็นคำเรียกฝ่ายหญิงมาตลอด ลองนึกถึงคำง่ายๆไกล้ตัวอย่างคำว่า แม่น้ำ หรือ แม่ทัพ นั้นบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของคำว่า “แม่” ที่เป็นฝ่ายหญิงได้อย่างดี

กระทั่งการ “ฝังมุก” ที่อวัยวะเพศชายนั้นก็มีต้นกำเนิดมาจากฝ่ายหญิงในสมัยโบราณ ที่ฝ่ายหญิงเป็นผู้สั่งให้ฝ่ายชายต้องทำเพื่อเธอ ขอไม่อธิบายว่าทำอย่างไร(ถ้าผู้หญิงคนไหนไม่รู้ลองหันไปถามผู้ชายข้างๆไกล้ๆดูก็ได้) แถมการฝังมุกที่เรียกว่าเป็นการ “แต่ง” อวัยวะเพศชายนั้น สำหรับผู้ที่มีศักดิ์สูงระดับขุนนางหรือราชา ยิ่งมีค่านิยมที่พิศดารมากในสมัยนี้ เพราะชาวบ้านทั่วไปได้แต่ใช้ ลูกปัด หรือ ดีบุก ฝังเข้าไป แต่กับชนชั้นสูงนั้นต้องใช้ทองคำทำเป็นเม็ดกลวง แล้วก็ใส่ทรายเข้าไปในนั้น เพื่อให้เวลาเดินแล้วมีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งๆ เพื่อบอกถึงยศถาบรรดาศักดิ์ว่าตัวข้านั้นไม่ธรรมดา

แถมในยุคอยุธยานั้น เมียหลวง คือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆแทนสามี แทบจะเรียกได้ว่าสามีนั้นต้องปรึกษาเมียหลวงก่อนตัดสินใจเรื่องสำคัญๆอะไรด้วยซ้ำ

แต่ความเป็นใหญ่ของชายเพิ่งจะมีมาเมื่อศาสนาพุทธ และศาสนาพราหมณ์เผยแพร่เข้ามาถึงประเทศไทย เพราะทั้งสองศาสนานี้เป็นศาสนาที่ยกให้ชายเป็นใหญ่ เรื่องราวก็เลยเริ่มกลับด้านกันมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ความเป็นใหญ่ฝ่ายหญิงก็เลยถูกยกไว้ให้ในด้านตรงข้ามกับศาสนา ในด้านมืด หรือความเชื่อที่เชื่อมโยงย้อนกลับไปถึงตอนที่นับถือ ผี ก่อนจะนับถือพุทธ สังเกตุว่า “เจ้าแม่” จะเป็นคำเรียกที่พูดถึงผู้หญิงที่ทรงอำนาจในทางไสย์

และอีกหนึ่งหลักฐานที่น่าสนใจก็คือ วรรณคดีไทย ในสมัยช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่แต่งโดยชนชั้นสูง เจ้าขุนมูลนายทั้งหลาย จากการสำรวจวิเคราะห์ก็พบว่าส่วนใหญ่แล้วการมีเซ็กซ์ หรือแต่งงานมีผัวหรือสามีนั้น โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ในช่วงอายุ 14–16 ปีโดยประมาณ ดังนั้นถ้าจะบอกว่าเด็กสมัยนี้มีอะไรกันเร็ว พอย้อนกลับไปดูในสมัยไม่กี่ร้อยปีก่อนก็ถือว่ายังปกติ

ต้องบอกว่าค่านิยมจารีตทั้งหลายที่เราซึมซับมานานไม่ได้ถูกกำหนดโดยคนส่วนใหญ่ แต่ถูกกำหนดโดยคนส่วนน้อยที่เป็นชนชั้นสูงผู้ปกครอง ที่บอกให้ผู้ใต้ปกครอง(อย่างเราๆ)นั้นต้องเปลี่ยนความคิดค่านิยมใหม่ ส่วนนึงไม่รู้ว่าเพราะชนชั้นสูงเรื่องมากแต่งงานกันยากเลยต้องเอาค่านิยมนี้มาให้ชาวบ้านรากหญ้ากันหรืออย่างไร

ดังนั้นพออ่านจบก็พอบอกตัวเองได้ว่า เรื่องเซ็กซ์มันเป็นเรื่องปกติมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว

และสุดท้ายนี้พออ่านจบผมรู้สึกว่า ผู้ชายเราโชคดีเหลือเกินที่วันนี้มีอำนาจเท่าๆกับฝ่ายหญิง และอาจจะมากกว่าในบางครั้งหลายโอกาสซะด้วยซ้ำ เพราะเมื่อก่อนเรานั้นตกเป็นเบี้ยล่างใต้อำนาจของพวกเธอซะเหลือเกิน

สุจิตต์ วงษ์เทศ เขียน

สำนักพิมพ์ นาตาแฮก

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/