สรุปหนังสือ Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น Tiny Changes, Remarkable Results บทพิสูจน์ที่เปลี่ยนชีวิตคุณให้ดีขึ้นอย่างถาวร James Clear เขียน ประพาฬรัตน์ ยงมานิตชัย แปล สำนักพิมพ์ Change+ ในเครือซีเอ็ด

หนังสือ Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็นเล่มนี้ถ้าให้สรุปสั้นๆ ก็ว่าด้วยศาสตร์แห่งการสร้างและปรับเปลี่ยนนิสัยใหม่ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการ โดยบอกให้โฟกัสที่การกระทำระหว่างทางมากกว่าผลลัพธ์ เพราะถ้าเรามัวแต่โฟกัสที่ผลลัพธ์ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เห็นผลทันทีที่ลงมือทำ ก็เลยจะทำให้เราถอดใจไวเกินไป ดังนั้นถ้าใครมีเป้าหมายใหญ่ใดในชีวิตให้คงเป้านั้นไว้แล้วมาโฟกัสที่การกระทำในแต่ละวันแทน ถ้าพูดในภาษานักการตลาดก็คือเรา Set goal ไว้ได้ แต่ต้องหันมาโฟกัสที่ Strategy หรือกลยุทธ์ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องทำเพื่อไปให้ถึงปลายทางฝันที่ตั้งใจครับ

และกลวิธีหรือ Tactics ของหนังสือ Atomic Habits เล่มนี้ก็จะพูดถึงการทำให้ดีขึ้นแค่วันละ 1% เท่านั้นพอ ไม่ต้องทำให้ดีขึ้นมากแบบก้าวกระโดดเพราะมันมักจะยากจนเราถอดใจ แต่เอาแค่ดีขึ้นวันละนิด วันละ 1% จากเมื่อวานเท่านั้นครับ

ฟังดูเหมือนน้อยดีขึ้นวันละแค่ 1% มันจะไปดีได้มากขนาดไหน แต่เมื่อลองมาคำนวนทางคณิตศาสตร์กลับพบว่าการทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมวันละ 1% เมื่อผ่านมา 1 ปี แล้วเอา 1% มาทบต้นทบดอกดูกลายเป็นว่ากลับเพิ่มขึ้นถึง 37.78 เท่า!

เปรียบกับการเก็บเงินไม่ได้บอกให้เราเก็บเงินเพิ่มขึ้นวันละบาท แต่ถ้าวันแรกเรามี 100 บาท วันที่สองให้เก็บเพิ่มจากวันแรก 1% ก็จะเป็น 101 บาท แล้ววันที่ 3 ก็ให้ดีขึ้นอีก 1% จากยอด 101 บาท เก็บทบต้นทบดอกแบบนี้ไปเรื่อยๆ พอสิ้นปีคุณก็จะมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นจากวันแรกถึง 37.78 เท่า หรือ 3,778 บาทเลยทีเดียวครับ!

หลักการนี้ถูกทีมแข่งจักรยานของประเทศอังกฤษนำมาปรับใช้ จากเดิมที่เคยรั้งท้ายในการแข่งขัน พอเอาหลักการปรับปรุงผลงานให้ดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อยสั่งสมไปเรื่อยๆ ไม่กี่ปีหลังจากนั้นพวกเขาก็ครองแชมป์ติดกันจนสร้างผลงานได้แบบถล่มทลาย

สิ่งที่พวกเขาทำคือไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องเป็นแชมป์ให้ได้ แต่สิ่งที่พวกเขาตั้งเป้าคือจะทำอย่างไรให้นักปั่นของเขาทำผลงานได้ดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ปรับแก้ทีละจุดทีละส่วน เมื่อเอาทุกส่วนมารวมกันเข้าก็คือหนทางสู่การเป็นแชมป์นั่นเองครับ

นี่คือกลยุทธ์การตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริงในแต่ละวัน เพราะถ้ามัวแต่ตั้งเป้าว่าจะเป็นแชมป์ก็คงจะซ้อมกันไปเรื่อยๆ แบบมหาโหด แต่พอเป้าหมายถูกซอยแบ่งย่อยให้เป็นไปได้จริงก็ทำให้ทุกคนมีกำลังใจที่จะทำมันไปทุกวันจนกลายเป็นแชมป์ในที่สุด

เหตุผลเบื้องหลังที่สำคัญของการตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริงเพราะกว่าการกระทำจะเห็นผลได้ต้องใช้เวลาสั่งสมผลงานสักระยะ เหมือนกับคนที่อยากจะลดความอ้วนแล้วคาดหวังว่าออกกำลังกายแค่ไม่กี่ครั้งแล้วจะผอม หรือลดของหวานแค่ไม่กี่มื้อแล้วพุงจะยุบจนใส่กางเกงไซส์เล็กลงไหว แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่มักทำไม่ได้อย่างใจหวังเพราะการจะลดน้ำหนักได้นั้นก็ต้องใช้การกระทำที่ทำจนเป็นนิสัยแล้วไปสั่งสมให้ไขมันละลายออกไปในที่สุดครับ

เรื่องนี้ไม่ต้องยกตัวอย่างจากไหนไกล ขอยกตัวอย่างจากเรื่องของตัวเองนี่แหละครับ

ครั้งแรกเมื่อสองปีก่อนตอนผมเริ่มวิ่งออกกำลังกายในหมู่บ้าน ผมไม่เคยมีเป้าหมายเลยว่าจะต้องลดน้ำหนักให้ได้มากๆ จนผอมลงเลยในครั้งแรก เป้าหมายผมตอนแรกเป็นแค่เราต้องออกกำลังกายเพื่อให้อาการนอนกรนหายไป จากครั้งแรกวิ่งได้แค่ 3 กิโลก็หอบเป็นหมา แล้วสักพักก็เริ่มขยับเป็น 4 เป็น 5 จนตอนหลังวิ่งได้ถึง 10 กิโลสบายๆ

พอเริ่มวิ่งไปสักพักอาการนอนกรนผมก็หายไป แต่รู้มั้ยครับว่าที่เซอร์ไพรส์ผมมากที่สุดคือน้ำหนักตัวผมเริ่มลดลงแบบฮวบฮาบจนแอบแปลกใจตัวเองว่าทำไมกางเกงทุกตัวที่ใส่ถึงเริ่มหลวมลงอย่างไม่มีสาเหตุ

ครั้งแรกที่รู้สึกแบบนั้นก็คิดว่าผ้าคงจะเริ่มยืดหรือย้วย แต่พอลองชั่งน้ำหนักดูกลับพบว่าจากที่เคยน้ำหนักประมาณ 78 มาเป็นสิบๆ ปี เริ่มขยับมาอยู่ที่ 7 ต้นๆ อย่างน่าแปลกใจ

พอได้รู้แบบนี้เท่านั้นแหละครับผมเริ่มมีแรงฮึดในการวิ่งมากมาย ทำเอาผมชั่งน้ำหนักก่อนวิ่งและหลังวิ่งทันที และนั่นก็ทำให้ผมยิ่งมีกำลังใจในการวิ่งมากขึ้นครับ

เพราะทุกครั้งที่วิ่งจนครบสิบกิโลเสร็จแล้วชั่งน้ำหนักผมจะพบเลยว่าน้ำหนักผมหายไปราวๆ 1.5 กิโลกรัม เชื่อมั้ยครับว่าตอนที่ผมน้ำหนักลงมากที่สุดคือขยับไปอยู่ที่ตัวเลข 66 กิโลกรัม เรียกได้ว่าต้องเปลี่ยนไซส์เสื้อผ้ายกตู้ แต่ไม่ได้อัพไซส์ขึ้นนะครับ แต่เปลี่ยนเป็นลดไซส์ลงต่างหาก อิอิ

จากเดิมที่เคยต้องใส่เสื้อไซส์ XL มาตอนหลังสามารถใส่ไซส์ M ได้สบายๆ นี่แหละครับผลลัพธ์ของการสร้างนิสัยให้วิ่งเป็นประจำทุกเช้า

หนังสือเล่มนี้ให้แง่คิดที่ดีตรงที่บอกว่า “เป้าหมายทำให้เราเป็นทุกข์” เพราะถ้าเราทำแล้วไม่เห็นผลลัพธ์ตามเป้าเราก็มักจะทุกข์แล้วก็ล้มเลิก ดังนั้นเราต้องมาโฟกัสที่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ แล้วเห็นผลลัพธ์ที่จะค่อยๆ พาเราไปสู่เป้าหมายแทน

เช่น ถ้าคุณอยากเป็นนักเขียนหรือมีผลงานเป็นการออกหนังสือสักเล่ม สิ่งที่คุณต้องทำไม่ใช่การเขียนหนังสือหนึ่งเล่ม แต่เป็นการเขียนบทความสั่งสมไปเรื่อยๆ ทุกวัน วันละหน้า หรือวันละตอน ก็เหมือนกับที่ผมทำเพจการตลาดวันละตอนนี่แหละครับ

ครั้งแรกตอนทำก็ไม่ได้คิดว่าอยากจะออกหนังสือ แต่จากบทความด้านการตลาดที่เขียนสะสมไว้ทุกตอนทำให้ตอนนี้ออกหนังสือมาสองเล่มโดยไม่ลำบากยากเย็นแต่อย่างไรเลย

ส่วนถ้าใครอยากเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจและยิ่งใหญ่จนได้เหรียญทอง สิ่งที่คุณต้องโฟกัสคือการกระทำแบบไหนที่สามารถทำซ้ำได้ทุกวันเพื่อให้กลายเป็นนิสัยแล้วจะกลายเป็นถนนที่จะพาไปสู่เหรียญทองที่ต้องการได้ การซ้อมทุกวันหรือเปล่า เพราะสุดท้ายแล้วพรสวรรค์ก็จะไร้ค่าถ้าไม่มีพรแสวงเข้ามาช่วยจนสามารถประสบความสำเร็จครับ

เรื่องนี้ก็เหมือนกับ Michael Phelps นักกีฬาว่ายน้ำผู้ทำลายสถิติมากมายและก็ได้เหรียญทองมากที่สุดของโอลิมปิค ต้องบอกว่าพรสวรรค์ของ Michael Phelps คือเกิดมามีร่างกายเหมาะสมจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ แต่แน่นอนว่าถ้าตัวเขาไม่ฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องเป็นเวลานั้น คนที่มีร่างกายเหมาะสมกับการว่ายน้ำบนโลกนี้นอกจาก Michael Phelps ก็ยังมีอีกมากมาย

เห็นมั้ยครับว่าพรสวรรค์เป็นแค่จุดเริ่มต้นให้เรารู้ว่าเราควรเดินไปในทิศทางไหนแล้วจะได้เปรียบจากคนทั่วไป แต่พรแสวงคือสิ่งที่จะทำให้คุณโดดเด่นอย่างแตกต่าง นั่นคือการจะทำให้คุณเหนือกว่ากลุ่มคนทั่วไป เรียกได้ว่าเป็นดาวเด่นในวงการอาชีพที่คุณอยู่ก็ว่าได้เลยทีเดียว

แล้วหนังสือ Atomic Habits เล่มนี้ก็บอกถึงวิธีการแก้นิสัยที่ไม่ดีแบบง่ายๆ ที่ตัวผมก็เริ่มที่จะลองเอามาใช้กับตัวเองบ้างแล้ว อันดับแรกคือให้ list รายการนิสัยทั้งหมดที่เราทำในแต่ละวันออกมา จากนั้นก็ดูว่าพฤติกรรมหรือนิสัยใดบ้างที่เราเห็นว่าไม่มีประโยชน์ควรแก้ไป สำหรับผมคือการเล่นมือถือบ่อยครับช่วงนี้

หลังจาก list ออกมาและเลือกนิสัยที่จะแก้แล้ว ก็มาถึง 4 ขั้นตอนของการลบนิสัยที่ไม่ดีออกจากตัวเองดังนี้ครับ

  1. ทำให้มองไม่เห็น เช่น ถ้าผมเห็นโทรศัพท์อยู่ในสายตาผมคงยากที่จะห้ามใจไม่ให้หยิบมันขึ้นมาเล่นได้
  2. ทำให้ไม่น่าดึงดูดใจ ข้อนี้ทำได้ค่อนข้างยากกับการเล่นโทรศัพท์มือถือ แต่ถ้าให้เปรียบเปรยกับการดูดบุหรี่ต้องทำให้คนรู้สึกว่าการดูดบุหรี่นี่มันเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย(ผมไม่ได้ว่าคนสูบบุหรี่ว่าไม่ดีนะครับ แค่หยิบเนื้อหาจากในหนังสือมาเล่าเท่านั้น)
  3. ทำให้ยาก ถ้าผมอยากเลิกนิสัยการเล่นโทรศัพท์มือถือบ่อยเกินไปโดยไม่จำเป็น สิ่งที่ผมต้องทำคือต้องเอาโทรศัพท์มือถือไปไว้ให้ห่างตัวมากขึ้น จากเดิมอาจจะเอาไว้หัวเตียงเวลานอน ผมก็ต้องปรับจุดวางโทรศัพท์ใหม่ให้เป็นเอาไปชาร์จทิ้งไว้ข้างล่างหรือนอกห้องนอนเพื่อที่ผมจะได้หยิบมันมาเล่นได้ยากๆ และผมก็ต้องสั่งตัวเองว่าทุกครั้งที่เล่นเสร็จแล้วต้องเอาไปวางไว้ที่เดิมนั่นก็คือข้างล่าง ทีนี้พอผมจะเล่นครั้งนึงผมต้องเดินลงมาข้างล่าง แน่นอนว่ามันช่างยากลำบากและผมก็ลดเวลาในการเล่นมือถือลงไปได้มากเลยล่ะครับ
  4. ทำให้ไม่น่าพอใจ ข้อนี้ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เอาเป็นว่าขอข้ามไว้ให้คุณได้อ่านเองบ้างแล้วกันนะครับ

ประเด็นสำคัญอีกอย่างที่หนังสือ Atomic Habit เล่มนี้แนะนำคือการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดนิสัยดีๆ อย่างที่ต้องการได้ง่ายขึ้น หรือทำให้นิสัยแย่ๆ เกิดขึ้นได้ยากเพื่อลดโอกาสที่เราจะเผลอทำมันโดยไม่รู้ตัว

อย่างโรงเรียนแห่งหนึ่งอยากให้เด็กๆ ดื่มน้ำเปล่าเพิ่มขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดีแทนน้ำอัดลม สิ่งที่พวกเขาทำก็แค่เอาตู้ขายน้ำอัดลมให้เข้าถึงยาก แล้วก็เอาจุดจ่ายน้ำเปล่ากระจายไปให้ทั่วห้องอาหาร เพียงเท่านี้อัตราการดื่มน้ำเปล่าก็สูงขึ้นมากโดยไม่ต้องใช้รางวัลใดมาล่อเลย

หรือการเลิกยาเสพติดก็ตามที่หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเข้ารับการบำบัดแล้วถึงยังกลับไปติดอยู่บ่อยๆ นั่นก็เพราะสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่อาจเอื้อให้การกลับไปติดยาเป็นเรื่องง่าย เรื่องนี้ดูตัวอย่างได้จากทหารอเมริกันที่ผ่านสงครามมา พบว่าตอนออกรบอยู่ในประเทศกันดาลมีอัตราการเสพยาสูง แต่พอกลับมาบ้านก็สามารถเลิกได้ง่ายๆ และไม่กลับไปติดซ้ำอีก นั่นก็เพราะพอกลับมาบ้านแล้วพวกเขาหายาเสพติดเดิมได้ยากมาก และด้วยความยากก็ทำให้พวกเขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะเสพไปเอง

ซึ่งเรื่องนี้ขัดกับคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยยาเสพติด ดังนั้นการจะเลิกนิสัยใดที่ดีที่สุดและง่ายที่สุด ก็คือพาตัวเองไปอยู่ในที่แบบนั้น เช่น ถ้าคุณอยากเป็นคนที่เก่งขึ้นคุณก็ต้องไปอยู่กับกลุ่มคนเก่งๆ เพื่อให้ตัวเองพยายามถีบตัวเองไปให้สูงขึ้นตามสังคมแวดล้อมนั่นเองครับ

และสภาพแวดล้อมนั้นสามารถส่งผลถึงอนาคตคนเราได้มากกว่าที่คิดนะครับ เหมือนมีครอบครัวนักจิวัยคู่หนึ่งที่อยากทดสอบว่าถ้าพวกเขาเป็นแค่ครูและนักวิจัยที่แต่งงานกัน แต่จะสามารถให้ลูกๆ ที่เกิดออกมากลายเป็นนักเล่นหมากรุกที่เก่งกาจได้มั้ย

ผลคือพวกเขาเลยแต่งงานกันเพื่อจะลองทดสอบกับลูกๆ ตัวเองดู พวกเขาอยากรู้ว่าถ้าสร้างสภาพแวดล้อมในบ้านและในชีวิตลูกๆ พวกเขาให้รายล้อมไปด้วยหมากรุก ลูกพวกเขาจะกลายเป็นนักเล่นหมากรุกที่เก่งกาจได้ไหม

แน่นอนครับว่าโตขึ้นลูกสาวทั้ง 3 ของครอบครัวนี้กลายเป็นแชมป์หมากรุกโลกผู้โด่งดัง เพราะเกิดมาก็เจอแต่หมากรุก พ่อแม่พาไปอยู่ในชมรมหมากรุกตั้งแต่เด็ก ให้เจอแต่โลกและสังคมของการเล่นหมากรุก พอเล่นชนะก็ได้รับคำชม และคำชมเหล่านั้นเองที่เป็นแรงผลักดันให้เด็กทั้งสามคนเล่นเก่งขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นแชมป์หมากรุกโลกในที่สุดครับ

เคล็ดลับอีกข้อของการเปลี่ยนนิสัยหรือพฤติกรรมให้ไปในทิศทางที่ดีหรือที่เราต้องการคือ การลดความพยายามในการกระทำหรือเริ่มต้นพฤติกรรมนั้นให้เป็นไปโดยง่ายที่สุด

อย่างที่รัฐบาลอังกฤษอยากให้ประชาชนจ่ายภาษีมากขึ้น สิ่งที่พวกเขาทำก็ไม่ใช่การออกกฏระเบียบหรือข้อบังคับแต่อย่างไร สิ่งที่พวกเขาทำก็แค่จากเดิมประชาชนต้องโหลดแบบฟอร์มการจ่ายภาษีไปพิมพ์แล้วกรอกข้อมูลส่งมา พอเปลี่ยนมาเป็นสามารถกรอกฟอร์มทางอินเทอร์เน็ตได้เลยโดยไม่ต้องปริ้นท์ ผลคือเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นจาก 19.2% เป็น 23.4% แม้ดูเป็นตัวเลข % ที่เพิ่มขึ้นไม่เยอะ แต่ถ้านับเป็นตัวเงินที่เก็บได้เพิ่มขึ้นจริงๆ นี่หลายล้านปอนด์มากๆ นะครับ

หรือประเทศหนึ่งในแอฟริกาใต้ต้องการรณรงค์ให้คนหันมาล้างมือให้เป็นนิสัย แจกสบู่ก้อนให้มากมายก็แล้วแต่ก็ไม่ค่อยมีใครยอมล้าง เหลือสบู่กองไว้ต่างหน้ามากมายตามบ้านครับ

แต่พอทีมงานลองใส่กลิ่นหอมเข้าไปในสบู่เพื่อทำให้การล้างมือด้วยสบู่เป็นเรื่องน่าอภิรมย์มากขึ้น ผลปรากฏว่าคราวนี้คนล้างมือด้วยสบู่กันบ่อยขึ้นมาก แม้สบู่หมดพวกเขาก็ไปเลือกหาสบู่หอมๆ มาล้างมือด้วยตัวเองเพราะมันเป็นนิสัยไปแล้ว

และผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดที่ทางการอยากได้ก็มาถึง จำนวนผู้ติดเชื้อจนเจ็บป่วยไม่สบายจากโรคระบาดต่างๆ ลดลงไปเยอะอย่างมีนัยยะสำคัญ นั่นก็มาจากนิสัยการชอบล้างมือด้วยสบู่ฆ่าเชื้อของคนในประเทศนั่นเอง ต้องขอบคุณกลิ่นหอมๆ ในสบู่ที่ช่วยสร้างนิสัยใหม่ขึ้นมาให้ผู้คนในประเทศนี้ครับ

จริงๆ แล้วยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกหลากเรื่อง แต่ผมคิดว่าสรุปเอาไว้ประมาณนี้ให้คุณได้อ่านพอเป็นกระสัย จะได้ไปหาเล่มจริงมาอ่านกัน ไม่ต้องอ่านรวดเดียวให้จบเล่มหรือเป็นร้อยๆ หน้า เริ่มจากแค่วันละหน้าไปให้ได้ถึงวันละบท แล้วอีกหน่อยการอ่านหนังสือรวดเดียวจบเล่มจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณ เพราะคุณได้สร้างนิสัยรักการอ่านขึ้นมาแล้วอย่างไรล่ะครับ

อย่าลืมนะครับ การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ในวันนี้ของเราส่งผลสำคัญต่อชีวิตเราในอนาคตกว่าที่คิด ดังนั้นไม่ต้องโฟกัสที่เป้าหมายใหญ่ ให้โฟกัสที่การกระทำย่อยๆ หรือนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ในทุกๆ วันหรือทุกชั่วโมงก็พอ แล้วสุดท้ายเป้าหมายที่ต้องการก็จะมาถึงโดยที่คุณไม่รู้ตัว แล้วคุณจะรู้สึกในตอนนั้นว่าทำไมมันช่างง่ายจังทั้งที่ไม่ค่อยได้พยายามทำอะไรสักเท่าไหร่เลย แต่คนอื่นๆ จะมองว่าคุณนี่ช่างสุดยอดไปเลยที่ทำเรื่องนี้ได้ เหมือนที่อ่านแล้วเล่าค่อยๆ ทำได้จากการอ่านหนังสือทุกวันระหว่างเดินทางไปทำงาน จนสามารถอ่านหนังสือได้จบเป็นปีละหลายสิบเล่มไปจนถึงร้อยเล่มนี่แหละครบ

อ่านแล้วเล่า สรุปหนังสือเล่มที่ 34 ของปี 2020

สรุปหนังสือ Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น
Tiny Changes, Remarkable Results บทพิสูจน์ที่เปลี่ยนชีวิตคุณให้ดีขึ้นอย่างถาวร
James Clear เขียน
ประพาฬรัตน์ ยงมานิตชัย แปล
สำนักพิมพ์ Change+ ในเครือซีเอ็ด

สรุปหนังสือ Atomic Habits เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น
Tiny Changes, Remarkable Results บทพิสูจน์ที่เปลี่ยนชีวิตคุณให้ดีขึ้นอย่างถาวร
James Clear เขียน
ประพาฬรัตน์ ยงมานิตชัย แปล
สำนักพิมพ์ Change+ ในเครือซีเอ็ด

20200826

สนใจอ่านสรุปหนังสือแนวนี้ต่อ > https://www.summaread.net/category/behaviour-economics/

สั่งซื้อหนังสือ Atomic Habits ออนไลน์ > https://click.accesstrade.in.th/go/su2PcRRH

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/