“ความหวังเปรียบเสมืองพระเครื่องทางใจ” คุณหนุ่มเมืองจันท์เปรียบเทียบไว้ได้น่าสนใจ

สำหรับผม “ความหวัง” เป็นเหมือนการให้กำลังใจตัวเองนิดๆ หลอกตัวเองหน่อยๆ แต่เป็นการหลอกแบบ White lie คือหลอกตัวเองในแง่ดีว่าวันพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ หรือเรื่องดีๆกำลังจะตามมา

แต่พอกลับมาคิดย้อนดู “ความหวัง” ก็ไม่ใช่การหลอกตัวเองในแง่ดีเสมอไปซะทีเดียว และไม่ได้ถึงขั้น “โลกสวย” เหมือนที่ชอบแดกดันกัน

แต่ความหวัง ในแง่นึงก็เหมือนความจริง อย่างเวลาที่เราเจอเรื่องร้ายๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ร้ายแรงและหนักหนามากๆในชีวิตเรา เรามักจะคิดว่าเราคงผ่านมันไปไม่ได้ มันคงไม่หายไปไหน หรือที่แย่ที่สุดคือเราเผลอคิดไปว่านี่เรื่องร้ายนี่เป็นเรื่องถาวรของชีวิตแล้ว

แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่จะเป็นคนที่จะเจอแต่เรื่องร้ายๆได้ทั้งชีวิต เพราะร้ายและดีคือส่วนผสมของชีวิตที่สลับกันมาเสมอ เหมือนเมื่อมีกลางคืนที่มืดมิด ยังไงก็ต้องมีกลางวันที่เจิดจ้าตามมา

ถ้ากลางคืนคือความโชคร้ายในชีวิตเรา งั้นกลางวันที่กำลังจะมานั่นก็คือ “ความหวัง” ยังไงยังงั้น

ในทางมุมนึง “ความหวัง” ก็คือ “ทัศนคติ” ที่มาจากความคิดของเรานี่เอง ถ้าเราคิดว่าปัญหานี้มีหวัง การจะเจอทางแก้มันก็ง่ายขึ้น แต่ถ้าเราเริ่มจากคิดลบ คิดตั้งแต่แรกว่าไม่มีหวัง ต่อให้มีทางออกอยู่ตรงไหน เราก็จะไม่เห็นว่ามันเป็นทางออกได้ง่ายๆ

บางที “ทัศนคติ” ที่ว่า อาจหมายถึงการ “คิดไม่ติดกรอบ” โดยเฉพาะ “กรอบของปัญหา”

ครั้งนึงคุณชุมพล ณ ลำเลียง อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG ในสมัยที่ยังเป็นหัวเรือในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 อยู่นั้น เกิดปัญหาว่าอาคารสำนักงานมีพื้นที่ไม่พอให้รับคนใหม่ๆมาทำงานเพิ่ม ต้องมีการก่อสร้างอาคารใหม่เพื่อมีพื้นที่ให้คนทำงาน แต่ราคาที่ตามมาคือค่าใช้จ่ายหลักร้อยล้านบาทในช่วงต้มยำกุ้งนั้นช่างหนักหนาเสียเหลือเกิน

คุณชุมพลในตอนนั้นเลยเสนอทางแก้ใหม่ขึ้นมา เพิ่มพื้นที่ทำงานให้รับคนใหม่เพิ่มได้ โดยไม่ต้องสร้างตึกใหม่ ด้วยการ “ลดขนาดโต๊ะทำงานของพนักงานทุกคนลง” เพียงเท่านี้ก็ได้พื้นที่ใหม่เพิ่มขึ้นมากมายในอาคารเดิม อาจเสียค่าสั่งโต๊ะใหม่เป็นสิบล้าน แต่ก็ยังดีกว่าการลงทุนสร้างตึกใหม่หลายร้อยล้านบาทในช่วงเวลานั้น

นี่คือความคิดที่มาจากทัศนคติที่มาจากคนที่มีความหวัง หวังว่าจะแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องสร้างปัญหาเพิ่ม

ถ้าเปรียบกับสารอาหาร ความหวังก็เปรียบได้กับโปรตีนของหัวใจ ในวันที่ใจอ่อนแอ ขอให้มีความหวังเข้าไว้ หัวใจจะได้มีแรงสู้กับปัญหา เกิดความหวังใหม่ๆจนกลายเป็นความคิดใหม่ๆขึ้นมา

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือ “เกมคิดบวก” จากคุณธนา อดีตผู้บริหารดีแทค ที่พบว่าทีมภาคสนามของดีแทคที่งานหนักกว่าคนอื่นเพราะต้องออกแดดตากฝน รายได้สูงมากนักเมื่อเทียบกับหลายๆคนในองค์กร แต่ทีมนี้กลับมีแรงใจที่สู้ไม่เหมือนใคร เพราะอะไรคุณธนาสงสัย

จนพบคำตอบว่า ทีมนี้เค้ามีเกมคิดบวก ที่คอยเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อปัญหา เปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นโอกาส เมื่อเห็นโอกาสก็มีความหวังแม้ในตอนที่คนอื่นหมดหวังไปแล้ว

เช่น แดดแรง ดียังไง ดีตรงที่ชาวบ้านจะออกมาตลาด มาพบเจอกัน ทำให้ได้เจอลูกค้าใหม่ๆเยอะแยะ

ฝนตก ดียังไง ดีตรงที่จะได้มีเวลาพูดคุยกับลูกค้า ชาวบ้านนานๆ

หมาเห่า ดียังไง ดีตรงที่ไม่ต้องตะโกนเรียกเจ้าของบ้านให้ออกมาหน้าบ้าน เพราะถ้าหมาเห่าเจ้าของบ้านก็จะเดินออกมาดูเอง

นี่ครับ เกมคิดบวก ที่ผมจะเอาไปก๊อปปี้ใช้ในชีวิตประจำวันให้บ่อยขึ้นและมากขึ้นบ้างแล้ว

เต็มไปด้วยความหวังจริงๆครับเล่มนี้ ถ้าใครคิดว่าชีวิตช่วงนี้ไม่ค่อยมีความหวัง หรือคิดว่าหนักหนาจนไม่เหลืออะไรให้หวังแล้ว อยากให้ลองอ่านเล่มนี้ดู แล้วคุณจะรู้ว่าความหวังมันมีเสมอ แค่เปลี่ยนมุมที่มองซักนิด ปรับความคิดซักหน่อย แล้วคุณจะเจอกับความหวัง ที่ลงมือทำก็จะกลายเป็นความจริง

ส่วนผมก็มีความหวังเหมือนกันครับ หวังว่าจะอ่านหนังสือได้ทันที่ซื้อมาซักที

อ่านเมื่อ 20180101

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/