สรุปหนังสือ Move Heaven And Earth ต่อให้ฟ้าลิขิต ถ้าคุณทุ่มสุดชีวิตก็สำเร็จได้ กระทิง พูนผล เขียน สำนักพิมพ์ KOOB

สรุปหนังสือ Move Heaven And Earth ต่อให้ฟ้าลิขิตถ้าคุณทุ่มสุดชีวิตก็สำเร็จได้ หนังสือเล่มนี้เขียนโดยคุณกระทิง พูนผล Group Chairman แห่ง KBTG ถ้าจะนิยามว่าเป็นเจ้าพ่อวงการ Startup เมืองไทยก็ได้ เพราะเขาคือคนที่ผลักดันสิ่งนี้เป็นคนแรกๆ ก่อนที่ใครๆ จะหยิบคำนี้ไปพูดถึงกันมากมายทุกวันนี้

หนังสือเล่มนี้พูดถึงชีวประวัติของคุณกระทิง พูนผล เด็กชายธรรมดาจากกำแพงเพชร ที่สามารถก้าวข้ามความธรรมดาด้วยความอุตสาหะขั้นสุด จนได้ไปทำบริษัท Google ที่อเมริกา จนกลับมาเป็นผู้บริหารธนาคารอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาจริงๆ

คำหนึ่งที่คุณกระทิง ชอบพูดจนติดปาก คือคำว่า “ผมโชคดีที่ไม่มีโชค”

ผมโชคดีที่ไม่มีโชค

คำนี้เป็นคำที่ผมชอบมาก เพราะมันบอกให้รู้ว่าถ้าเราเกิดมาโชคดีแต่แรก เกิดมาบ้านรวยมีทุกอย่างเพียบพร้อม บางทีมันอาจเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราไม่ไขว่คว้า ไม่พยายามเพื่อให้ชีวิตดีกว่าที่เกิด

แต่ในขณะเดียวกันคนที่จะคิดแบบนี้ได้ก็ไม่ง่าย ต้องเป็นคนที่มีพลังใจสูงมาก บวกกับต้องผ่านอะไรมามากจนประสบความสำเร็จมาแล้ว จึงจะสามารถพูดคำนี้ได้อย่างเต็มปากเช่นกัน

ดังนั้นใครที่คิดว่าตัวเองเกิดมาโชคไม่ดี บ้านไม่รวย นามสกุลไม่ดัง ไม่มีแต้มต่อใดๆ ทางสังคม ผมอยากให้คุณรู้ว่าถ้าคุณพยายามให้มากกว่าคนอื่น พยายามจนมาถึงจุดที่เริ่มมีอะไรๆ มากขึ้น จุดที่คนรอบตัวเริ่มบอกว่าคุณช่างประสบความสำเร็จจริงๆ

เมื่อนั้นเมื่อคุณมองย้อนกลับไป คุณจะพบว่ามันช่างโชคดีจริงๆ ที่คุณเกิดมาไม่มีโชคแบบคนอื่น

ส่วนตัวผมก็มีคำติดปากคล้ายๆ กัน แต่เป็นคำว่า “โชคดีที่โชคร้าย” เพราะถ้าผมเกิดมาบ้านรวย พ่อแม่มีเงินมีทองให้ ผมก็คงไม่ขวนขวายพยายามจนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ถึงทุกวันนี้แน่ๆ ครับ

Micro Achievement สำเร็จทีละน้อย

คุณกระทิงเล่าบอก สมัยเป็นเด็กตัวเองไม่ใช่คนเรียนดีอะไรมาก สอบก็ได้อันดับที่ 6 จากท้ายตาราง แต่โชคดีได้คุณครูที่ช่วยสร้างความมั่นใจจนกลายเป็นพื้นฐานให้คุณกระทิงสำเร็จจนถึงทุกวันนี้

คุณครูคนนั้นชื่อคุณจันทร์ ผู้มองเห็นจุดเด่นของคุณกระทิง นั่นก็คือการออกเสียง ร เรือ ควบกล้ำได้ดีมากๆ จนครูจันทร์เริ่มผลักดันให้คุณกระทิงอ่านบทกลอนต่างๆ แล้วก็พาไปประกวดอ่านร้อยแก้วระดับจังหวัด จนสามารถชนะได้ที่ 2 ของจังหวัดกำแพงเพชร

คุณกระทิงบอกว่านั่นคือจุดเปลี่ยนในชีวิต ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นมา จนกลายเป็นรากฐานไปสู่ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ จนสะสมเป็นผลที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตครับ

ดังนั้นใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองเป็นคนไม่เก่ง ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรโดดเด่น ผมอยากให้คุณลองสำรวจตัวเอง หรือถามคนใกล้ตัวก็ได้ ว่าคุณพอจะมีอะไรเก่งกว่าคนอื่นบ้าง เมื่อรู้แล้วก็เน้นจุดนั้นให้แหลมคมขึ้น และความแหลมคมนั้นก็จะทำให้คุณค่อยๆ ชนะ ค่อยๆ สะสมความมั่นใจ จนค่อยๆ ปูทางไปสู่การประสบความสำเร็จในชีวิต

อย่างตัวผมก็เคยไม่รู้ว่าตัวเองมีดีอะไร เก่งอะไร แถมยังคิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนไม่เก่งด้วยซ้ำ แค่ทำงานให้ดีจบวัน สิ้นเดือนรับเงินเดือนไป เท่านั้นก็พอแล้ว

จนกระทั่งได้มาเจอว่าตัวเองเป็นคนชอบอ่าน อ่านนั่นโน่นนี่ไปเรื่อย อ่านไปอ่านมาอ่านได้ปีละร้อยกว่าเล่ม ไปไหนก็มีหนังสือติดมือไปอ่าน จนกระทั่งใครถามอะไรก็พอตอบได้อยู่เรื่อยๆ และจากที่มีวัตถุดิบในหัวมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้สามารถคิดงานได้ตลอดแม้กระทั่งเวลาที่คนรอบตัวคิดไม่ออกแล้ว

จากความมั่นใจเล็กๆ ในจุดนั้นก็ค่อยๆ ปูทางให้ผมทำเพจการตลาดวันละตอน ที่แชร์สิ่งที่รู้ ที่เล่าสิ่งที่อ่าน จนพอจะให้เป็นที่รู้จักในหมู่นักการตลาดบ้างในวันนี้

ความสำเร็จชั่วข้ามคืน แท้จริงแล้วเกิดจากความทุ่มเทเป็นเวลา 2,190 วัน

คุณกระทิงเล่าว่าตอนที่เขาได้เหรียญทองฟิสิกส์โอลิมปิกระดับประเทศ กับเหรียญทองแดงคณิตศาสตร์โอลิมปิกระดับประเทศ และรางวัลจากสมาคมคณิตศาสตร์แห่งประเทศไทย ไปจนถึงรางวัลต่างๆ อีกมากมาย ความสำเร็จที่ดูเหมือนสำเร็จได้ง่ายๆ แท้จริงแล้วมาจากการอ่านหนังสือหนักสะสมกันนานถึง 2,190 วัน

ผมชอบช่วงนี้ในหนังสือ Move Heaven and Earth ก็เพราะว่าหลายครั้งคนจำนวนมากชอบมองคนที่ประสบความสำเร็จว่าโชคดี หยิบจับอะไรก็ง่าย แตะอะไรนิดหน่อยก็เป็นเงินเป็นทอง หรือผมเองมักถูกมองว่า “เป็นเพจดังนี่มันดีจัง” หรือ “พอดังแล้วทำอะไรก็ง่าย”

ใช่ครับ เมื่อคุณประสบความสำเร็จแล้วการจะทำอะไรต่อยอดมันก็ง่าย แต่ทุกคนลืมคิดไปว่ากว่าจะดังหรือประสบความสำเร็จได้นั้นไม่ง่ายเลยสักนิด

เราต้องอ่านให้มากกว่าคนอื่น ทำให้มากกว่าคนอื่น ปรับปรุงให้มากกว่าคนอื่น และไม่ได้ทำแบบนั้นแค่หลักสิบหรือร้อยวัน แต่ต้อทำไม่น้อยกว่าพันๆ วัน อย่างตอนที่ผมเริ่มต้นทำเพจการตลาดวันละตอน ทำไปแรกไปก็ไม่มีใครรู้จัก ต้องโพสแบบไม่มีคนสนใจร่วมปี กว่าจะมีคนกดแชร์หรือไลก์สักร้อยคนขึ้นไปแต่ละที ดีใจน้ำตาแทบไหล

กว่าจะได้เงินบาทแรกจากการทำเพจ ก็ทำไปนานถึงปีครึ่ง ปีครึ่งที่ทำคอนเทนต์ลงเพจทุกวันแต่ไม่ได้เงินสักบาท นั่นแหละครับคือเส้นทางกว่าจะมาถึงทุกวันนี้

แค่ทำคอนเทนต์ลงเพจไม่พอ สักพักก็ต้องหัดทำเว็บ ทำเว็บก็งมๆ แบบโง่ๆ ด้วยตัวเองเพราะไม่มีใครช่วย ไม่มีเงินไปจ้างคนมาทำให้ ทำผิดทำถูกไปเรื่อย ทำสะสม SEO ทีละนิดๆ จำได้ว่าทำเพจนานเกือบ 3 ปีกว่า กว่าจะเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่นักการตลาดได้ พอเข้าปีที่ 5 เพจเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ผลงานหนังสือเริ่มมีและขายได้ ก็ค่อยเข้าจุดที่หลายคนเข้าใจว่าสบาย และก็ชอบคิดไปว่า “เป็นเพจดังนี่ดีจัง”

ใช่ครับ พอมันสำเร็จแล้วดี แต่กว่าจะทำให้สำเร็จได้นั้นไม่ง่ายและต้องใช้ความอดทนอย่างสูง

ซึ่งตอนที่ทำไปก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันจะสำเร็จไหม ไม่ได้คิดว่ามันจะมาได้ไกลขนาดนี้ด้วยซ้ำ เรื่องนี้ก็จะสอดคล้องกับเรื่อง Micro Archivement ก่อนหน้า ตอนเริ่มต้นทำอะไรอย่ารีบวาดฝันหวังเป้าใหญ่เกินไป เอาเป้าเล็กๆ ที่ทำได้ และก็ค่อยๆ สะสมความสำเร็จไปเรื่อยๆ จนมันเริ่มใหญ่ตอนหันกลับมามองอีกที

10X CEO แนวคิดการทำธุรกิจให้โตทีละ 10 เท่า

บทนี้คุณกระทิงพูดถึงแนวคิดของ CEO หรือเจ้าขอธุรกิจ ว่าจะทำอย่างไรให้โตทีละ 10 เท่า เช่น จาก 0 ไป 1 CEO ต้องทำอะไรบ้าง พอ 1 ไป 10 CEO ต้องเปลี่ยนมาทำอะไร แต่ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเลขการโตจะเปลี่ยนให้เป็นตัวเงินที่บริษัทต้องทำให้ถึงก็ได้ ลองมาดูครับว่าแนวคิดนี้น่าสนใจอย่างไร และผมขอหยิบมาบิดใช้งานต่อแบบไหนกับบริบทของตัวเอง

0 ไป 1 CEO = Chief Everything Officer ทำทุกอย่างให้มีคนยอมจ่ายเงินให้ได้ก่อน

นี่คือจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจ เจ้าของธุรกิจ หรือ CEO ในตำแหน่งเลยเท่ากับ Chief of Everything เพราะคุณต้องทำทุกอย่างจริงๆ สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้สมบัติเก่ามาจ้างใครให้เริ่มต้นธุรกิจไปด้วยกันได้

สำคัญคือคุณต้องมีสินค้าหรือบริการที่เป็นที่ต้องการจริงๆ ต้องสามารถทำให้มันขายได้ ถ้าเปรียบตัวเลขเป็นเงินยอดขาย ก็เหมือนกับว่าต้องสามารถตีล้านแรกให้แตกเสียก่อน เพราะมันจะเป็นการพิสูจน์ว่าตกลงไอเดียที่คุณคิดไว้มีคนยอมจ่ายเงินให้จริงหรือเปล่า

1 ไป 10 CEO = Chief Architect Officer หากลุ่มคนมาทำงานแทนเรา

เมื่อคุณผ่าน Stage แรกมาคือการพิสูจน์ว่าไอเดียที่คิดมานั้นขายได้จริง มาถึงตอนนี้คุณเริ่มมีเงินพอที่จะจ้างคนอื่นมาช่วยทำงานได้ คุณต้องผันตัวจากคนที่ทำทุกอย่าง มาเริ่มออกแบบกระบวนการทำงานของบริษัทให้สามารถทำงานและทำเงินให้คุณต่อได้

คุณจะต้องเริ่มจ้างคนมาทำหน้าที่ส่วนต่างๆ แทนคุณมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตัวคุณก็ยังคงต้องทำงานอยู่ไม่น้อย และที่สำคัญคืออย่าพยายามคิดว่าจะหาคนแบบเรามาทำงานแทนเรา แต่จงคิดว่าจะหาคนมาทำงานแทนเราทีละด้าน เช่น ด้านการขาย ก็ต้องหาคนนึงที่ทำแบบเราได้ หรือทำได้ดีกว่าเรา ด้านการดูแลลูกค้า ก็หาแยกมาอีกคนนึง ด้านการพัฒนาสินค้า ก็หามาอีกคนนึง

แล้วทีมทั้งหมดจะประกอบเป็นกลุ่มคนที่มาเริ่มทำงานในแบบที่เราต้องการ แล้วเราจะสามารถขยายธุรกิจให้โตได้ง่ายขึ้น จากยอดขายหลักล้าน คุณจะแตะสิบล้านได้ไม่ยากครับ

จำไว้ว่า แบ่งงานออกมาเป็นส่วนๆ ไม่มีใครทำแทนเราได้ทุกอย่างในตัวคนเดียว เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็จะไปเป็นเจ้าของธุรกิจหรือ CEO เหมือนเราแล้ว

10 ไป 100 CEO = Chief Strategy & Culture Officer ผู้นำวัฒนธรรมและวางกลยุทธ์องค์กร

พอยอดขายมาถึงหลักสิบล้าน การจะไปถึงร้อยล้านได้คุณจะมีพนักงานเกิน 10 คนแล้ว ส่วนจะกี่สิบก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง แต่ทีนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นคือในบริษัทคุณจะเริ่มมีลำดับชั้นของพนักงาน เริ่มมีหัวหน้า เริ่มมีลูกน้อง เริ่มมีซีเนียร์ เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น

สิ่งที่เจ้าของธุรกิจหรือ CEO ต้องทำคือการพยายามสร้าง Culture องค์กร เพราะองค์กรหนึ่งจะเดินหน้าได้ไวในทิศทางที่เราต้องการได้ ก็ต้องมาจากการที่เรามีกลุ่มคนที่เข้าใจเป้าหมายเดียวกัน เข้าใจแนวทางเดียวกัน มีวัฒนธรรมหรือความเชื่อบางอย่างต่องานร่วมกัน ทุกคนจึงจะสามารถเดินไปทางเดียวกันได้ แม้จะไม่ 100% แม้จะไม่ได้เดินไปด้วยความเร็วเท่ากัน

แต่อย่างน้อยก็ไม่เดินอย่างสะเปะสะปะ เหมือนฝูงช้างที่เดินไปด้วยกัน แม้จะมีแวะกินพืชผลตามทางบ้าง แต่ทั้งฝูงก็ยังทรงพลังเมื่อเจอศัตรูอยู่ดี ผิดกับช้างหลงฝูงที่พออยู่ตัวเดียวก็อันตราย ครั้นพอหลงฝูงไปก็ทำให้ฝูงที่เคยใหญ่นั้นอ่อนแรงลง

การจะสร้างวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยผู้นำทำซ้ำๆ พูดย้ำๆ ไปเรื่อยๆ พูดจนเข้าหัว พูดจนลูกน้องเริ่มทำเองบ้าง นั่นแหละครับจะทำให้องค์กรเราสามารถไปถึงเป้าหลักร้อยล้านได้ในที่สุด

100 ไป 1,000 CEO = Chief Visionary Officer กำหนดวิสัยทัศน์ระยะยาว และมองหา New S Curve ใหม่

นี่คือ Stage ที่องค์กรคุณกำลังจะกลายเป็น Enterprise ใหญ่ระดับมหาชน หน้าที่ของ CEO อย่างคุณจะไม่ใช่การทำงาน การบริหารงาน เพราะคุณจะมีลูกน้องหลักหลายร้อยไปจนถึงพันคนแล้ว แต่หน้าที่หลักของเจ้าของธุรกิจเวลานี้คือการให้วิสัยทัศน์กับเหล่าผู้บริหารตัวตายตัวแทนคุณทั้งหลาย

ให้เค้ารู้ว่าคุณมีเป้าหมายในฝันที่อยากทำให้เป็นจริงคืออะไร และก็สร้างนวัตกรรมหรือธุรกิจใหม่ที่จะกลายเป็น New S Curve พาองค์กรเติบโตขึ้นมาอีกที

ในตอนนี้คุณอาจแตกไปสร้างบริษัทใหม่ย่อยขึ้นมา เพราะบริษัทหลักเดิมประสบความสำเร็จและอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว

นี่คือช่วงเวลาแห่งยอดขายหลักพันล้าน ช่วงเวลาที่คุณจะได้มองภาพรวมทั้งเกมจากบนกระดาน ไม่ใช่เม็ดหมากในกระดานหรือเป็นแค่คนเล่นเกมกระดานอีกต่อไป

สรุปหนังสือ Move Heaven And Earth กระทิง พูนผล

หนังสือเล่มนี้ให้แง่คิดกับคนที่กำลังทำงานหนักเพื่อไขว่คว้าความสำเร็จในชีวิตได้ดี ทำให้รู้ว่าเส้นทางการจะประสบความสำเร็จโดยเฉพาะจากคนธรรมดา เด็กคนหนึ่งที่เกิดในต่างจังหวัดนั้นต้องพบเจออะไรบ้าง

และหลายเรื่องก็เป็นเรื่องที่คนประสบความสำเร็จล้วนผ่านมา จะว่าไปหนังสือเล่มนี้ก็เหมือนสัจธรรมชีวิตเล่มหนึ่ง ที่อ่านไวก็รู้ไว ปรับตัวไว ได้เปรียบกว่าคนที่ไม่ได้อ่านมา

อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วคุณจะเข้าใจว่า ต่อให้เกิดมาธรรมดาแต่ถ้าทุ่มเทสุดชีวิตก็ประสบความสำเร็จได้แบบนี้ครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 22 ของปี

สรุปหนังสือ Move Heaven And Earth ต่อให้ฟ้าลิขิต ถ้าคุณทุ่มสุดชีวิตก็สำเร็จได้ กระทิง พูนผล เขียน สำนักพิมพ์ KOOB

สรุปหนังสือ Move Heaven And Earth
ต่อให้ฟ้าไม่ลิขิตถ้าทุ่มสุดชีวิตก็สำเร็จได้
กระทิง พูนผล เขียน
สำนักพิมพ์ KOOB

อ่านสรุปหนังสือแนวนี้ต่อ : คลิ๊ก

สั่งซื้อออนไลน์
https://shope.ee/9Ub6sTRGdk
https://shope.ee/601Ei40356
https://shope.ee/9euX4oltNp
https://shope.ee/8UiZggyjGj

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/