สรุปหนังสือความลับของความสุข Secrets of Happiness 100 ความลับที่ทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น นิ้วกลม เขียน สำนักพิมพ์ KOOB

สรุปหนังสือความลับของความสุข Secrets of Happiness ของคุณเอ๋ นิ้วกลม สารภาพตามตรงก่อนหน้านี้ผมแทบไม่เคยอ่านหนังสือแนวนี้เลย แต่พอได้รู้จักคุณเอ๋ไปสักพัก บวกกับมีน้องที่รู้จักเอามาให้อ่าน ก็เลยคิดว่าลองเปิดอ่านดูสักหน่อยดีกว่า และอีกอย่างหน้าปกก็ออกแบบได้อย่างสวยงาม จากทั้งหมดที่พูดมาจึงทำให้ผมได้รู้จักจักรวาลนิ้วกลม จักรวาลแห่งความชีวิต แง่คิด และความสุข

ผมเลยจะถือเอาโอกาสนี้ที่ได้อ่านจบ มาแอบเผยความลับของความสุขให้ฟังกัน

เรื่องร้ายก็กลายเป็นของขวัญได้

เริ่มต้นที่บทนำก็ชวนหยุดคิดอยู่นาน เมื่อหนังสือเล่มนี้บอกว่าเรื่องร้ายก็เป็นของขวัญได้ แต่เป็นของขวัญที่ดูน่าเกลียด และเมื่อเปิดออกมาเจอครั้งแรกอาจน่ากลัว แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานพอเราอาจจะดีใจที่เคยได้รับของขวัญแสนน่าเกลียดกล่องนี้มา

เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงชีวิตตัวเอง ตอนเคยได้ของขวัญแสนอัปลักษณ์ ได้รับคำนินทาว่าร้ายครั้งใหญ่ วันนั้นทุกข์ทรมานมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน เครียดแบบไม่รู้จะเครียดยังไงได้อีก แต่ท้ายที่สุดเมื่อเวลาเริ่มผ่านไป เรื่องต่างๆ เริ่มชัด สติเริ่มมา มองเห็นทางแก้มากขึ้นเรื่อยๆ

ท้ายที่สุดผ่านมันมาได้ จากร้ายกลับกลายเป็นดี ทำให้เราได้รู้ว่าใครคือมิตรแท้ ใครคือมิตรเทียม ใครคือปลิงที่แอบเกาะกินเรา ใครคือคนที่เกลียดเราแม้ไม่เคยเจอหน้าคร่าตากันมาก่อน และใครที่รักเราแม้จะไม่เคยได้เจอหน้าคร่าตามาก่อนเช่นกัน

ทุกวันนี้ผมพูดเรื่องของขวัญแสนอัปลักษณ์นี้อย่างภูมิใจ เพราะมันทำให้ผมเติบโตและแกร่งขึ้นมาจากวันนั้น รู้ว่าจะรับมือกับเรื่องแบบนี้อย่างไร ขอบคุณเรื่องร้ายที่ผ่านเข้ามาในเวลาที่ดี ขอบคุณที่ผ่านเข้ามาตั้งแต่วันนั้น เลยทำให้ผมมีภูมิคุ้มกันในวันนี้

จากบนนำคำเกริ่น มาลองดูความลับของความสุขแรกที่ผมรู้สึกประทับใจ จนอยากหยิบมาแอบเผยความลับนี้กันดีกว่าครับ

รู้ว่าต้องการความสุขเท่าไหร่

ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีเขียนถึงคำนี้ตรงๆ หรืออาจจะมีแต่ผมเองจำไม่ได้ แต่เป็นการสรุปจากหลายๆ ส่วนที่มาจากหลายๆ บท จนทำให้ค้นพบว่า Pattern ของความสุขที่คุณเอ๋พยายามบอกคือ การจะมีความสุขในชีวิตได้ ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเราต้อการความสุขเท่าไหร่กัน

คุณอาจสงสัยว่า “ทำไมต้องรู้ว่าต้องการมีความสุขเท่าไหร่ ? มันไม่ใช่ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีความสุขหรอกหรอ ?”

ผมอยากบอกแบบนี้ครับ ความสุขทางโลกที่เรามักอยากได้ใคร่มีกัน ไม่ว่าจะบ้าน รถ เงิน นาฬิกา สร้อยเพชร กระเป๋า หรือของประดับอื่นใด หรือแม้แต่การได้บินหรูนอนโรงแรมหรูสบายๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องแลกไปเพื่อให้ได้มากซึ่งความสุขเหล่านี้

อยากมีเงินร้อยล้านหรอ ไม่ยาก คุณพร้อมทำงานหนักเท่ากับคนที่ทำธุรกิจมีเงินร้อยล้านหรือเปล่า และคุณพร้อมจะทำงานหนักด้วยความอดทนมากๆ ในระยะเวลาหลายปีหรือไม่ ?

คุณอยากมีรถสปอร์ตเอาไว้จอดช่อง Super Car เพื่อเวลาไปช้อปปิ้งซื้อของในห้างสรรสินค้าจะได้หาที่จอดง่ายๆ ไม่ต้องวนหลายชั้น ถ้าใช่ คุณพร้อมทำงานหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินค่างวดรถหรูเหล่านั้นหรือไม่ ?

คุณอยากบินหรู First Class มีเบาะนั่งที่สามารถปรับเป็นที่นอนสบายๆ ยิ่งถ้าคุณต้องบินไฟท์ไกลๆ อย่างไปยุโรบหรืออเมริกา คุณก็จะไม่เหนื่อยมาก แถมบางสายการบินยังมีห้องอาบน้ำให้คุณได้ใช้บนเครื่องอีกด้วย ค่าตั๋วก็ไม่มาก แค่ 4-7 แสน ก็แล้วแต่สายการบิน ว่าแต่คุณพร้อมทำงานหนักเพื่อแลกมาซึ่งสิ่งนั้นมั้ย

บางคนบอกไม่จริงๆ เห็นผู้บริหารหลายคน หรือเจ้าของธุรกิจมากมายไม่เห็นจะทำงานหนักอะไรเลยทุกวันนี้ ก็จริงครับคุณพูดถูก แต่คุณเชื่อจริงๆ หรือว่าเขาไม่ได้ทำงานหนักมากๆ มาก่อนที่จะสบายอย่างทุกวันนี้ หรือคุณแน่ใจหรอครับว่าทุกวันนี้เขาไม่เครียดกับเรื่องต่างๆ ที่ต้องรอให้ตัดสินใจ และหลายเรื่องก็สามารถชี้เป็นชี้ตายธุรกิจได้สบายๆ ถ้าตัดสินใจผิดพลาดอีกด้วย

ตัดสินใจบางอย่างไปอาจสูญเสียหลายสิบหรือหลายร้อยล้าน ตัดสินใจบางอย่างดีอาจได้กลับมาแค่สิบหรือไม่กี่ล้านก็เป็นได้

ฉะนั้นจะเห็นว่าความสุขมีราคาของมันที่เราต้องจ่าย จ่ายด้วยเวลา จ่ายด้วยความเหนื่อยยาก หรือจ่ายด้วยความเสี่ยงล้มเหลวเมื่อต้องตัดสินใจ เลยทำให้ตระหนักได้ว่าถามตัวเองกันให้ดีว่าจริงๆ แล้วเราต้องการมีความสุขเท่าไหร่ หรือเราพร้อมจะจ่ายเพื่อความสุขนั้นได้มากแค่ไหน

เมื่อเราเข้าใจความลับของความสุขข้อนี้ เราก็จะเริ่มประเมินความสุขที่เราต้องการหรือต้องมีได้อย่างฉลาดขึ้น เพราะสิ่งที่ต้องการตามมาด้วยสิ่งที่ต้องทำ เพราะลำพังแค่อ่านหรือฟังคำใดๆ มาล้วนไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ การจะเปลี่ยนชีวิตได้ล้วนต้องอาศัยการลงมือทำ อ่าน ฟัง แล้วทำ ชีวิตจึงเปลี่ยน

ทำทุกวันเพื่อสะสมความเปลี่ยนแปลง

ถ้าการประสบความสำเร็จคือความสุข แล้วความลับของการประสบความสำเร็จหละคืออะไร ?

หลายคนชอบคิดว่าการจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญได้ ต้องอาศัยการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนเกิดความเปลี่ยนแปลง แต่จากความลับของความสำเร็จหรือคนที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่เลยครับ พวกเขาไม่ได้ทำแค่งานใหญ่ไม่กี่งาน แต่พวกเขาอาศัยการทำสะสมงานเล็กงานน้อยเพื่อไต่เต้าเข้าสู่งานใหญ่โอกาสสำคัญต่างหาก

คนทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ล้วนเริ่มจากการจับปลาเล็กทั้งนั้น แน่นอนว่าอาจมีบ้างที่โชคดีได้จับปลาใหญ่แต่ต้นแล้วปังแล้ว แต่ผมอยากให้คุณลองถอยกลับมาตั้งสติคิดสักนิดดีๆ มีคนที่ประสบความสำเร็จกี่คนแล้วคิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของคนที่ประสบความสำเร็จทั้งหมด ที่โชคดีได้จับปลาใหญ่สร้างผลงานปังจนดังตั้งแต่ครั้งแรก ?

ดังนั้นความสม่ำเสมอคือรากฐานความสำเร็จในระยะยาว เหมือนกับการวิ่งมาราธอนในเส้นทางชีวิตหรือสายอาชีพต่างๆ จุดเริ่มต้นออกตัวเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ก็เหมือนกับในแต่ละปีมีคนจบใหม่ หรือคนที่เพิ่งเริ่มต้นการทำงานได้ไม่นาน แต่พอเวลาผ่านไปคนที่ยังเหลือวิ่งอยู่ในเส้นทางชีวิตสู่ความสำเร็จกลับเหลือน้อยลงทุกที

ไม่ต้องพูดถึงคนที่สามารถอดทนจนสามารถวิ่งเข้าเส้ยชัยในทางมาราธอนได้นั้นกลับมีน้อยนิดกว่านั้นมาก นั่นบอกให้รู้ว่าคนที่ออกตัวได้เร็วในตอนต้นไม่ได้จะเป็นผู้ชนะ หรือแม้แต่เป็นผู้เข้าเส้นชัยได้เสมอไป

แต่คนที่สามารถเข้าเส้นชัยได้คือคนที่ยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ ไม่หยุดยอมแพ้ระหว่างทางในช่วงเวลาที่เหนื่อยยากแสนทรมานจนเหมือนจะหายใจแทบไม่ออก เหมือนจะขาดใจตาย

ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม อยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้ การฝึกฝนอย่างอดทนและทำอย่างสม่ำเสมอคือหัวใจสำคัญ เหมือนกับช่วงเวลาของนักกีฬาที่คว้าเหรียญทองได้ชัยชนะ ในชั่วขณะที่ผู้คนทั้งสนามหรือทั้งโลกต่างปรบมือให้เขาพร้อมเพรียงกัน ส่งเสียงเฮร่วมกันดังกระหึ่ม ชั่วขณะนั้นเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีช่วงเวลามากมายที่นักกีฬาคนนั้นฝึกซ้อมอย่างหนักสะสมในมุมที่ไม่มีใครเห็น

ฉะนั้นเวลาคุณเห็นคนเก่ง คนประสบความสำเร็จในชีวิตมากๆ อย่ามองแค่เบื้องหน้าที่เราเห็น แต่ให้มองไปถึงเบื้องหลังที่เขาต้องแลกมาเพื่อให้มาถึงจุดนี้ แล้วทั้งหมดนี้จะทำให้เราตกผลึกคิดได้ว่า เราต้องมีแค่ไหน เราต้องการความสำเร็จสักเท่าไหร่ หรือเราต้องมีแค่ไหนจึงจะสามารถเป็นผู้มีความสุขในชีวิตแล้ว

สะสมเศษเวลาสู่ความสำเร็จ

เรื่องนี้ก็คล้ายกับหัวข้อก่อนหน้า การจะทำงานใหญ่ให้สำเร็จ ล้วนมาจากการสะสมงานเล็กที่ประสบความสำเร็จเป็นบันไดปูทาง การอ่านหนังสือเพื่อพัฒนาตนเองก็เช่นกัน หนึ่งในปณิธานที่คนเรามักตั้งใจว่าจะทำกันทุกปีใหม่ คือการอ่านหนังสือให้มากขึ้น หรืออย่างน้อยก็อยากเริ่มต้นอ่านหนังสือบ้าง

แต่หลายคนก็ชอบคิดว่าการจะอ่านหนังสือให้จบเล่มได้นั้นต้องมีเวลา ต้องมีบรรยากาศที่ดี ต้องมีโต๊ะ เก้าอี้ แสงไฟ ดนตรีที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วแค่เราพกหนังสือติดมือไปทุกที่ แล้วหยิบมาเปิดอ่านทุกครั้งที่ว่างแทนการเล่นมือถือ อ่านสะสมครั้งละ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง รวมกันทุกวันในสัปดาห์ แปบๆ คุณก็สามารถอ่านได้จบเล่มแล้ว

ในฐานะที่ผมเคยอ่านหนังสือได้ปีละร้อยกว่าเล่ม (ตอนนี้เหลือแค่ 40-50 เล่ม) เคล็ดลับเดียวที่มักถูกถามว่าทำยังไงถึงอ่านหนังสือได้เร็ว ผมตอบตามตรงว่าไม่รู้ คนถามแปลกใจว่าถ้าผมไม่อ่านหนังสือได้เร็วแล้วไม่กี่วันผมอ่านจบเล่มได้อย่างไร ผมบอกว่าผมเป็นคนอ่านหนังสือช้า แต่ผมมีหนังสือติดมือไปทุกที่ ว่างเมื่อไหร่ก็หยิบขึ้นมาอ่าน

อ่านสะสมทีละ 4-5 หน้า บางครั้งก็ได้ 10-20 หน้าถ้าอยู่ระหว่างเดินทางด้วยรถไฟฟ้า แปบๆ ผมก็อ่านได้จบเล่ม เคล็ดลับการอ่านหนังสือมีแค่นี้ สะสมเศษเวลา เศษแต่ละหน้า จนหมดเล่มในที่สุด

อ่านเสร็จก็เอามาเขียนสรุปสักเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองได้ทบทวนความเข้าใจโดยรวมทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อให้สิ่งที่อ่านไปนั้นฝังเข้าหัวลึกขึ้นอีกสักหน่อย

การอ่านหนังสือก็เช่นเดียวกับความสำเร็จครับ อย่าหวังว่าจะอ่านรวดเดียวได้จบเล่ม อ่านเก็บทีละหน้า อ่านจบทีละบท สะสมไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จบเล่ม แล้วเมื่อผ่านหนึ่งปีไปคุณจะพบว่าเราก็สามารถอ่านหนังสือจบหลักร้อยเล่มได้สบายๆ

วันนี้แข่งกับเขา วันหน้าแข่งกับตัวเราเอง

การแข่งขันเป็นหนึ่งในวิถีชีวิตตามปกติ เพียงแต่เราชอบคิดว่าเราต้องใช้ชีวิตหรือทำงานแข่งกับคนอื่น แข่งกับคู่แข่ง เพื่อที่จะให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนสามารถตกผลึกกับชีวิตได้มากขึ้น เราจะพบว่าแท้จริงแล้วเราไม่ได้อยากแข่งกับใคร เราแค่อยากจะทำตัวเองในวันนี้ให้ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน ดังนั้นการแข่งกับตัวเองนั้นยากที่สุด

จะบอกว่ายากตั้งแต่จุดเริ่มต้นก็ได้ แข่งกับความขี้เกียจของตัวเองให้ลุกขึ้นมาวิ่ง ให้หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแทนการเล่นมือถือ แข่งกับความง่วง ความอยากดูซีรีส์แทนที่จะดูเอกสารตรวจทานงานอีกรอบ

เปรียบกับการวิ่งมาราธอน กิจกรรมยอดนิยมของคุณเอ๋ผู้เขียน ก็เหมือนกับการวิ่งไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วกำลังเหมาะ หรือความช้ากำลังดี ใครอยากแซงก็เชิญ ไม่ขวาง เพราะก็จะย้อนกลับไปข้อก่อนหน้าว่า วิ่งเร็วใช่ว่าจะเข้าถึงเส้นชัย หรือถึงเส้นชัยแล้วว่าจะเหลือแรงสำหรับการดีใจหลังจากนั้น

รู้ตัว รู้ตน หนึ่งในความลับของความสุข

ผมชอบประโยคหนึ่งจากหนังสือเล่มนี้ คนที่มีจุดมุ่งหมายจะไม่สนใจเรื่องคนอื่น คนที่สนใจเรื่องคนอื่นคือคนที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย

ก็จริงนะครับ จากที่รู้จักเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนที่ประสบความสำเร็จทางโลกในชีวิตมากๆ ดูจากฐานะ ดูจากชื่อเสียง พบว่าคนเหล่านี้มักไม่ค่อยมีเวลามาสนใจเรื่องชาวบ้านเท่าไหร่หรอก

คนพวกนี้ไม่ค่อยโพสถึงใคร ไม่แชร์เรื่องซุบซิบนินทาชาวบ้าน จะโพสถึงคนอื่นทีก็มักมีแต่เรื่องขอบคุณ หรือแสดงความยินดีกับคนนั้น ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนเหล่านี้ลำพังเรื่องธุรกิจการงานในชีวิตนี้ก็เยอะมากพอแล้ว เวลาที่เหลือก็อยากจะให้ตัวเองและคนสำคัญมากกว่าจะไปสนใจเรื่องชาวบ้าน

เมื่อรู้เป้าหมายตัวเองแล้วก็ต้องรู้ด้วยว่าตัวเองทำได้แค่ไหน ทำได้มากเท่าไหร่ สำคัญกว่านั้นคือต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราไม่อยากทำ เพราะในแง่กลยุทธ์แล้วการไม่ทำสำคัญกว่า

มันจะช่วยเราคัดกรองสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้เราโฟกัสทรัพยากรลงไปในสิ่งที่สำคัญได้มากขึ้น คุณอาจสงสัยว่าแล้วมันต่างกับการเลือกทำอย่างไร

ธรรมชาติของคนเรานั้นเมื่อถามว่าอยากทำอะไรมักมีลิสออกมาไม่รู้จบ ยาวเป็นหางว่าง ยากจะตัดข้อที่ไม่ต้องการออกได้ แต่พอกลับด้านคำถามว่าไม่อยากได้ หรือไม่อยากทำอะไร มันจะช่วยสกรีนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปได้ง่ายกว่า

เรื่องนี้สะท้อนถึงเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ถ้าเรามัวแต่คิดว่าต้องทำอะไรถึงจะทำให้อีกฝ่ายมีความสุข เราอาจมีเรื่องทำไม่รู้จบ แต่ถ้าเรารู้ว่าต้องไม่ทำอะไรถึงทำให้อีกฝ่ายมีความสุข ชีวิตเราก็จะรู้สึกเบาสบายขึ้นด้วย

เพิ่มอีกนิดของเรื่องการรู้ คือการรู้ว่าท่าไม้ตายของตัวเองคืออะไร

หัวข้อนี้น่าสนใจครับ เพราะผมเองไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน เรามักอยากรู้ว่าตัวเราเก่งอะไร มีท่าไม้ตายอะไร เพราะถ้าเรารู้เราก็จะเอามาใช้ให้บ่อย แต่หนังสือเล่มนี้สอนอีกแง่มุมนึง บอกว่าถ้าเราอยากรู้ว่าคนนั้นมีค่าไม้ตายอะไร ให้ดูว่าเวลาเจอปัญหาเฉพาะหน้า คนๆ นี้มักทำอย่างไรเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ในสถานการณ์นั้น

แล้วคุณหละ เวลาเจอปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่คาดคิด มักเอาตัวรอดจากปัญหานั้นได้อย่างไรครับ

ความลับของความสุขจากการทำงาน

งาน นับเป็นหนึ่งในองค์ประกอบชีวิตที่ไม่มีไม่ได้ ต่อให้คุณรวยล้นฟ้าก็ต้องหาอะไรทำ ไม่ทำงานเพื่อเอาเงิน ก็ทำงานอดิเรกเพื่อเอาสนุก หรือทำเพื่อฆ่าเวลาไปอย่างนั้น เคล็ดลับของความสุขอย่างหนึ่งในการทำงานคือการอย่างมองแต่ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินจากการทำงานเท่านั้น

หลายคนมัวแต่คิดว่าถ้าเราได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น เราจะต้องมีความสุขเพิ่มขึ้นแน่ ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป เพราะบางครั้งผลตอบแทนจากการทำงานนั้นก็ไม่ได้มีแค่ตัวเงิน แต่ยังมีมิติอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้เงิน หรือเอาเข้าจริงแล้วสำคัญกว่าเงินด้วยซ้ำ

อย่างผมเองก็จะทำงานอยู่สามประเภทหลัก

  1. งานที่ได้เงินดีจนรู้สึกดีที่ได้ทำงาน นี่คืองานประเภทหาเลี้ยงชีพ ทำให้มีค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากาแฟ ค่าหนังสือในชีวิตประจำวัน
  2. งานที่ได้ Connection งานประเภทนี้อาจได้เงินไม่เยอะ แต่เรารู้ว่าถ้าวันนี้ทำไปแล้วจะส่งผลดีกับเราในวันหน้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างงานสอนหนังสือ หรือการแชร์ความรู้ให้กับหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ งานพวกนี้ทำให้เราเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ทำให้เรามีโอกาสได้รับงานใหม่ๆ ที่จะกลายเป็นงานข้อ 1 ที่ทำให้เรากินอยู่สบายขึ้น
  3. งานที่ทำให้ยิ้มได้ งานประเภทนี้ลืมเรื่องเงินและเรื่อง Connection ไปได้เลย แต่ทุกวันนี้ผมชอบงานประเภทนี้มาก อย่างงานสอนหนังสือเด็กมหาวิทยาลัย หรือกับคนที่อยากเรียนรู้กับผมจริงๆ แต่ติดปัญหาเรื่องเงิน ผมรู้สึกว่าคนเหล่านี้สนใจฟังเราทุกคำ จดตามทุกอย่าง เราชอบเวลาสายตาเขาเป็นประกายที่ได้เรียนรู้จากเรามาก งานแบบนี้ทำให้ใจผมพองฟูที่สุดครับ

และสุดท้ายความลับของการทำงานที่หนังสือเล่มนี้คิดตรงกัน คือการทำงานให้ดีที่สุด

เพราะงานใดๆ ล้วนบอกต่อ งานดีลูกค้าก็บอกต่อ แนะนำคนอื่นมาให้ กลายเป็นเราสามารถหาลูกค้าใหม่ด้วยตัวเองได้ มันคือสิ่งที่คนเรียกว่างานต่องาน แล้วลูกค้าประเภทนี้ก็มักวางใจเรามาก ไว้ใจเราสูง ไม่ต้องถูกต่อราคา ดีไม่ดียังสามารถเรียกราคาได้มากกว่าเดิม เพราะคิวเราเริ่มฮอทแล้ว

แต่กับงานไม่ดีก็เช่นกัน ล้วนถูกบอกต่อ ถ้าเราทำงานออกมาไม่ดี หรือทำออกมาต่ำกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง ลูกค้าย่อมบอกต่อไม่รู้จบ กลายเป็นคุณก็เสียโอกาสในการได้งานใหม่โดยไม่รู้ตัว

ฉะนั้นจำไว้ให้แม่นว่า ผลงานที่คุณทำคือโฆษณางานถัดไปของคุณเอง ถ้าคุณทำให้ได้ดีเกินคาด หรือทำให้ได้ไม่น้อยกว่าที่เคยให้สัญญาลูกค้าไว้ ก็จะกลายเป็นการโฆษณาธุรกิจคุณเองไปในแต่ แต่ถ้าคุณทำไม่ดี ทำงานลวกๆ บอกเลยว่าอย่าคิดได้งานใหม่จากลูกค้าคนนี้หรือเพื่อนลูกค้าคนนี้โดยเด็ดขาดครับ

สรุปหนังสือความลับของความสุข Secrets of Happiness นิ้วกลม

สรุปหนังสือความลับของความสุข Secrets of Happiness 100 ความลับที่ทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น นิ้วกลม เขียน สำนักพิมพ์ KOOB

หนังสือเล่มนี้รวบรวมความลับของความสุขได้เป็นอย่างดี อ่านเข้าใจง่าย อ่านเพลิน อ่านลื่น แต่รู้ไหมว่ากลับเป็นหนังสือที่ผมต้องใช้เวลาในการอ่านนานมากกว่าหนังสือเล่มหนากว่านี้เยอะมาก

เพราะอ่านไปก็ทำให้ต้องหยุดคิด ทบทวนตัวเองอยู่เสมอว่าเราเป็นแบบนี้ไหม เราทำแบบนั้นหรือเปล่า เรื่องสุดท้ายที่ผมชอบที่สุดของหนังสือเล่มนี้คือ แม้จะเบาแต่ยิ่งถือนานยิ่งหนัก

เรื่องราวของน้ำแก้วหนึ่งที่ไม่หนักอะไรเมื่อยกขึ้น ถือขึ้น แล้ววาง แต่แก้วน้ำไม่หนักแก้วนั้นจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นทรมานมาก ถ้าเราถือมันไว้ตลอดเวลาโดยไม่วางหรือปล่อยมันออกไปเลย

ฉะนั้นความหนักของแก้วจึงไม่ได้มาจากแค่น้ำหนักของตัวแก้วและน้ำข้างใน แต่มาจากระยะเวลาในการถือของเรา

เปรียบได้กับความทุกข์ ความโกรธ และความเกลียด ถ้าเรายังคงถือมันตลอดเวลาในใจ ต่อให้มันจะเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็จะค่อยๆ หนักขึ้นในใจจนกลายเป็นความทุกข์ขนาดใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์

ก็เหมือนกับเพลงก้อนหินก้อนนั้น ของคุณโรส ศิรินทิพย์ ที่บอกให้รู้ว่าก้อนหินก้อนนั้นจะหนักก็เมื่อเราถือ แต่ถ้าเราขว้างมันออกไป โยนมันออกไป เราก็จะไม่หนักกับมันอีก

ความทุกข์ก็เช่นกัน ทุกข์ได้แต่ต้องรู้ตัวให้ไว ปล่อยไปให้เร็ว เราหนีความทุกข์ในชีวิตไม่ได้ แต่เราปล่อยมันทิ้งไปให้ไวได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลากับทุกข์ให้น้อยลง และมีเวลาอยู่กับความสุขนานขึ้นครับ

อ่านแล้วเล่า สรุปหนังสือ เล่มที่ 1 ของปี 2024

สรุปหนังสือความลับของความสุข Secrets of Happiness
100 ความลับที่ทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น
นิ้วกลม เขียน
สำนักพิมพ์ KOOB

อ่านสรุปหนังสือสำนักพิมพ์นี้ต่อ
https://www.summaread.net/category/%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b8%a1%e0%b8%9e%e0%b9%8c-koob/

สั่งซื้อออนไลน์
https://shope.ee/g1oFYSM1H
https://shope.ee/4VEWodUgo2

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/