สรุปหนังสือ The Average Tribe วิธีคนปานกลาง เป็นคนปานกลางที่ภูมิใจตัวเองได้ ธนา เธียรอัจฉริยะ เจ้าของเพจ เขียนไว้ให้เธอ สำนักพิมพ์ KOOB

สรุปหนังสือวิถีคนปานกลาง The Average Tribe หนังสือเล่มนี้เขียนโดยพี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ หนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของคนที่อยู่ในระดับกลางๆ แต่แอบค่อนไปทางดี แต่ก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวาแบบคนอื่น แต่ก็ยังสามารถกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในชีวิต กลายเป็นคนที่ถูกยอมรับในระดับประเทศแบบพี่โจ้​ ธนา ต้องถือว่าหนังสือเล่มนี้ถือเป็นแนวทางให้คนกลางๆ ได้เรียนรู้และเดินตามหรือค้นหาเส้นทางตัวเองใหม่ เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในแบบของตัวเองครับ

ผมขอเลือกหยิบบางบทที่รู้สึกประทับใจให้ฟังเป็นพิเศษ และชวนคิดคุยต่อว่าคนที่อยู่ในระดับกลางๆ นั้นจะก้าวหน้าบวกกับมีความสุขในชีวิตได้อย่างไร

ในวิกฤตมีโอกาส

คนปานกลางจะโดดเด่นได้อย่างไร คำแนะนำของพี่โจ้​ ธนา ในหนังสือเล่มนี้คือ ทำงานที่ไม่มีใครทำ พี่โจ้บอกว่าตอนย้ายไปทำงานในตำแหน่งนักลงทุนสัมพันธ์ที่ดีแทค ได้พบว่ามันเป็นงานที่โหดหินมาก ต้องเจอกับคำถามยากๆ เจอนักลงทุนโหดๆ มากมาย ด้วยความยากในเนื้องานนั้นทำให้ไม่มีใครอยากทำ แต่พี่โจ้ต้องทำ และก็พยายามทำจนประสบความสำเร็ว

เรื่องนี้ทำให้คิดถึงตัวเองสมัยอยู่ทำงานอยู่เอเจนซี่โฆษณา ครั้งหนึ่งผมเคยได้รับข้อเสนอจาก 2 บริษัทพร้อมกัน ก็ปรึกษากับเพื่อนว่าควรไปทำงานที่ไหนดี

บริษัทแรกเป็นเอกชน สตาร์ทอัปด้านความรัก เงินเดือนดี ตำแหน่งดี ดูงานชิวๆ สบายๆ
บริษัทที่สองเป็นเอเจนซี่ข้ามชาติแห่งหนึ่ง ไม่ใหญ่มากในไทยแต่ก็ถือว่าใหญ่ในระดับโกบอล บริษัทนี้ขึ้นชื่อในหมู่คนทำงานเอเจนซี่ว่าโหดและหินมาก ด้วยความที่ต้องดูแลลูกค้าในระดับตำนานแบรนด์หนึ่ง ทำเอาหลายคนอยากหนีไม่อยากทำ แต่ตัวผมกลับรู้สึกว่า “นี่แหละคือโอกาสดีที่เราควรทำ”

ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าผมเข้าไปทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหรือผลงานขึ้นไม่ได้ ก็เท่าตัวไม่มีเจ๊ง มีแต่เจ๊า เพราะคนก่อนหน้ายังทำไม่ได้ แล้วผมไปวิเศษมาจากไหนถึงจะทำได้

อีกความคิดนึงก็คิดว่าถ้าโชคดีทำได้ ก็เท่ากับว่าผมได้ผลงานที่ดีในอนาคตที่จะพาตัวเองให้ไปต่อ ก็เลยตอบตกลงไปทำงานกับเอเจนซี่แห่งนั้น ผลคือด้วยระยะเวลาสั้นๆ แค่ปีหน่อยๆ แต่ผมกลับได้พัฒนาตัวเองแบบก้าวกระโดด ได้สร้างผลงานไว้มากมาย

ได้ทำคลิปวิดีโอล้านวิวแรกเมื่อเกือบ 7 ปีก่อน (สมัยนั้นล้านวิวยากมากเลยครับ) ได้พิชชนะเอเจนซี่ใหญ่ๆ ในโปรเจคใหญ่ๆ ที่ไม่มีใครคิดว่าจะทำได้

ดังนั้นบทเรียนข้อที่ว่า “ทำงานที่ไม่มีใครอยากทำ” จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น เพราะเราจะได้เรียนรู้แบบก้าวกระโดด ต่อให้เราทำไม่สำเร็จก็ไม่มีใครด่ามากกว่านั้น แถมถ้าเราทำให้มันสำเร็จได้จะกลายเป็นคำชมไปอีกนาน

ผมสรุปให้ง่ายๆ ว่า “ทำงานที่ไม่มีใครอยากเลือก เพื่อที่เราจะสามารถเลือกเฉพาะงานที่อยากทำได้”

อยากก้าวหน้าต้องกล้าทำเกิน

ยังคงอยู่ในบทแรกของหนังสือวิถีคนปานกลาง The Average Tribe เล่มนี้ ว่าด้วยเรื่องของวิชาทำเกิน เป็นหนึ่งในเรื่องที่พี่โจ้ ธนา แชร์อยู่เสมอ พี่โจ้เล่าว่าสมัยทำงานบริษัทเอกธำรง ตัวแกเองก็ทำงานเกินหน้าที่ เกินสิ่งที่หัวหน้าหรือผ้ใหญ่มอบหมายมาตลอด ทำงานหนักเกินเวลายันตีหนึ่งตีสองเป็นปกติ เพื่อให้ผลงานตัวเองออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

เรื่องนี้ก็คิดย้อนถึงตัวเอง(อีกแล้ว) สมัยทำงานอยู่เอเจนซี่ตอนช่วงสามสิบต้นๆ ผมเริ่มเสพติดการทำงานหนัก ผมมีคอมติดตัวไปด้วยทุกที่ มีเวลาว่างนิดก็หยิบคอมขึ้นมาเปิดทำงาน ขัดเกลา Research & Presentation ไปเรื่อยๆ

หรือผมจะมีหนังสือติดมือไปอ่านทุกที่ระหว่างเดินทาง ถ้าเปิดคอมไม่ได้ก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ทำให้แต่ละปีผมอ่านหนังสือจบเป็นร้อยเล่มได้สบายๆ (เลยเป็นที่มาของเพจอ่านแล้วเล่านี่แหละครับ)

ที่ต้องอ่านเยอะเพราะรู้สึกว่าเรายังรู้น้อย และเราอยากฉลาดมากกว่านี้ เราอยากรู้มากกว่านี้ โดยเฉพาะถ้าช่วงไหนมีโจทย์ลูกค้าแบบไหน ผมก็จะไปหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนั้นมาอ่าน ถ้าไม่มีก็จะอ่านหนังสือทั้งการตลาด ธุรกิจ และประวัติศาสตร์ไปเรื่อยๆ

แถมเมื่อไหร่คิดไอเดียใหม่ที่ดีกว่าเดิมออกก็พร้อมรื้อสไลด์ทันที เพราะเรารู้สึกว่าถ้ามันดีกว่านี้ได้แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่ไม่ทำ แรกๆ เพื่อนร่วมงานรอบตัวบอกว่าบ้า จะไปทำงานหนักให้เกินเงินเดือนหน้าหน้าที่ทำไม แต่ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำเกินไปจะย้อนกลับมาในอนาคต และในที่สุดก็เป็นแบบนั้น

แม้จะออกมาทำบริษัทของตัวเอง ที่ไม่จำเป็นต้องทำงานเอง แต่ก็ยังไม่ลดลามาตรฐานการทำเกิน แต่คราวนี้ไม่ได้ทำเกินเงินเดือน แต่เป็นการทำให้เกินความคาดหวังของลูกค้า

หนึ่งในงานที่ผมรับทำคือการทำ Data Research จาก Social Listening ผมเป็นหนึ่งในเจ้าที่คิดค่าทำน่าจะแพงที่สุด หรือแพงอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ก็ยังคงมีลูกค้ามาต่อคิวให้ทำอยู่เสมอ ล่าสุดมีลูกค้า FMCG แบรนด์ใหญ่แบรนด์หนึ่งบอกว่า “ราคาของหนุ่ยแพงที่สุด แต่พอหนุ่ยมาพรีเซนต์พี่ก็รู้แล้วว่ามันดีที่สุดจริงๆ คุ้มเงินทุกบาทที่จ่ายไป”

และลูกค้าแบรนด์นั้นก็ให้อีกงานผมมาทำ แต่ผมก็ปฏิเสธไปอย่างสุภาพด้วยเงื่อนไขของเวลาที่ไม่อาจทำงานให้ดีได้ในเวลาที่น้อยไป

สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้ในชีวิตการทำงานคือ ถ้าทำได้ไม่ดี สู้ปฏิเสธไม่ทำแต่แรกดีกว่าครับ

ดังนั้นจงทำเกินเงินเดือน เงินค่าจ้างเข้าไว้ ถึงเวลานึงคุณจะสามารถเลือกตัวเลขที่ต้องการได้ เพราะผลงานที่ผ่านมามันพิสูจน์แล้วว่าคุณทำงานได้คุ้มค่าเงินทุกบาท ที่ลูกค้ายอมจ่ายให้คุณจริงๆ

ทำงานให้นายเป็นง่อย

อีกหนึ่งเรื่องที่พี่โจ้ก็พูดถึงบ่อยๆ เรื่องนี้สอดคล้องกับข้อก่อนหน้า เรื่อง “อยากก้าวหน้าต้องกล้าทำเกิน” เพราะการทำงานเกินหน้าที่ ทำงานมากเกินที่นายหรือหัวหน้าสั่ง ส่งผลให้หัวหน้าเราแทบไม่ต้องทำงาน บางคนอาจคิดว่า แล้วจะมีหัวหน้าไปทำไม แล้วเราจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นหรือไร

ตอนแรกยังไม่เห็นผลหรอกครับ ชีวิตคนเรามันคือการวัดผลในระยะยาว แต่พอทำไปสักพักหัวหน้าจะเริ่มติดเรา การที่เราจะขอหรือต่อรองอะไรเพิ่มเติมก็ง่าย จะขอเงินเดือนขึ้นนี่เรื่องเล็กเลย เพราะหัวหน้าจะชั่งใจว่าการจะหาคนใหม่ที่ทำงานได้ดีขนาดไหน ด้วยตัวเลขเท่านี้ บวกกับในระยะเวลาไม่นานจะสามารถหาคนที่ทำงานได้เกินแบบเราหรือเปล่า

ตอนอายุยี่สิบปลายๆ ผมเพิ่งย้ายไปทำงานที่เอเจนซี่เปิดใหม่แห่งหนึ่ง ตอนนั้นย้ายไปด้วยเงินเดือน 50,000 พอเข้าไปถึงผมก็ทำงานแบบจัดเต็ม คิดไอเดียแบบไม่หยุดพัก ขนาดเวลาเค้าไปนั่งกินเบียร์หลังเลิกงาน ผมยังคอยจดไอเดียที่น่าสนใจใส่กระดาษอยู่เสมอ

ย้ายไปอยู่ได้แค่ 2 เดือน ก็ไปรับงานฝิ่นเอเจนซี่ญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ก็เหมือนเดิมครับ ใช้วิชาทำเกินจัดเต็มเกิน 100 คิดยิ่งกว่าเจ้าของงาน จนบริษัทนั้นชวนไปทำงานด้วยเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นอีก 40%

ผมกลับมาคุยกับหัวหน้าปัจจุบันว่าได้ข้อเสนอใหม่ที่ดีมาก แต่ถ้าพี่ให้เท่ากันผมอยู่ หัวหน้าผมตัดสินใจทันทีว่าตกลงตามนั้น ผมเลยได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น 40% ทั้งที่ยังไม่ผ่านโปรด้วยซ้ำครับ

นี่แหละครับคือการทำเกินส่งผลให้นายเป็นง่อย พอนายเป็นง่อยก็ต้องพึ่งพาเรามากๆ ใครที่ยังมัวคิดว่าทำไปก็เป็นผลงานหัวหน้า ให้ลองคิดใหม่ เพราะแม้ดูเผินๆ จะเป็นผลงานหัวหน้า แต่สุดท้ายแล้วหัวหน้าก็จะขาดเราไม่ได้ และหัวหน้าที่ดีก็จะชมเชยต่อมาถึงเรา มันคือการที่ต่างฝ่ายต่างตอบแทน ฉะนั้นอย่ากังวลเรื่องการทำเกิน เพราะต่อให้ที่ตรงนั้นไม่เห็นค่า ก็จะมีคนอื่นพร้อมให้ค่าดึงคุณไปครับ

ทำสำเร็จ ไม่ใช่ทำเสร็จ

เรื่องนี้ก็สำคัญในชีวิตการทำงาน ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิต จำไว้ว่าอย่าทำแค่ตามที่นายสั่ง หัวหน้าบอก หรือลูกค้าแจ้ง แต่ทำให้จนเรื่องนั้นเรียบร้อยและลุล่วงด้วยดี เช่น ถ้าหัวหน้าบอกให้ติดต่อหาลูกค้ารายหนึ่งเพื่อพรีเซนต์งาน อย่าแค่ติดต่อไป แต่ให้ติดต่อประสานงานจนเรียบร้อย หาวันที่ลงตัวให้ เลือกร้านที่ดี ทำการบ้านเรื่องลูกค้าล่วงหน้า แนะหัวหน้าว่าควรคุยเรื่องไหนไม่ควรคุยเรื่องไหน

ทำแบบนี้แล้วมันจะวนกลับไปที่วิชาทำเกิน และทำให้หัวหน้าเป็นง่อย สุดท้ายแล้วความสามารถการจัดการคุณจะพัฒนาเร็วขึ้นมาก จนผลจะตกอยู่ที่ตัวคุณเองในระยะยาว แล้วคุณก็จะไม่ใช่แค่คนกลางๆ อีกต่อไป แต่คุณจะประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานได้มากกว่าคนส่วนใหญ่ครับ

สรุปหนังสือวิถีคนปานกลาง The Average Tribe

สรุปหนังสือ The Average Tribe วิธีคนปานกลาง เป็นคนปานกลางที่ภูมิใจตัวเองได้ ธนา เธียรอัจฉริยะ เจ้าของเพจ เขียนไว้ให้เธอ สำนักพิมพ์ KOOB

จริงๆ ยังมีอีกมากมายหลายส่วนในหนังสือเล่มนี้ที่ผมพับมุมล่างเอาเก็บไว้กลับมาอ่านส่วนตัว แต่ครั้นจะให้เอาทั้งหมดมาเขียนคงจะเยอะเกินไป เอาเป็นว่านี่เป็นหนังสือที่ผมกล้าแนะนำให้กับทุกคนได้อ่าน อ่านเพื่อเข้าใจชีวิต และเข้าใจว่าเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไรในการเกิดเป็นคนปานกลางที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นครับ

อ่านแล้วเล่า สรุปหนังสือเล่มที่ 20 ของปี

สรุปหนังสือวิถีคนปานกลาง The Average Tribe
เป็นคนปานกลางที่ภูมิใจกับตัวเองได้ สุขและสำเร็จในแบบเรา
โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ เขียน
สำนักพิมพ์ KOOB

สั่งสือหนังสือเล่มนี้ทางออนไลน์
https://shope.ee/2q48HuI8rz
https://shope.ee/7zmERQxSVh
https://shope.ee/6UxQehOtwl
https://shope.ee/30NYUI6Txg

อ่านสรุปหนังสือเล่มอื่นของพี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ ในอ่านแล้วเล่าต่อ : https://www.summaread.net/tag/%e0%b8%98%e0%b8%99%e0%b8%b2-%e0%b9%80%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%88%e0%b8%89%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a2%e0%b8%b0/

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/