สรุปรีวิวหนังสือ The People เรื่องเล่าคนเปลี่ยนโลก กับเรื่องราว 20 คนผู้เปลี่ยนโลกใบนี้ที่คุณอาจไม่รู้จักเป็นส่วนใหญ่ จากทีมเขียน The People

สรุปรีวิวหนังสือ The People เรื่องเล่าคนเปลี่ยนโลก เป็นหนังสือที่รวมเรื่องราว 20 คนตัวเล็กที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่เพื่อเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นจนควรค่าแก่การเรียนรู้ ที่ไม่ได้คัดแต่ความดัง เพราะมีหลายคนมากที่ผมเองก็ไม่คุ้น แต่พอได้อ่านผลงานเปลี่ยนโลกของพวกเขาต้องยอมรับว่ายิ่งใหญ่จริง และนั่นก็ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้นั้นยิ่งใหญ่กว่าตัวเรามากนัก เราไม่จำเป็นต้องเป็น Someone เพื่อจะเปลี่ยนโลก แต่จงเป็นคนที่ลงมือทำทุกวันเพื่อเปลี่ยนโลกรอบตัวให้ดีขึ้นจริงๆ

จาก 20 คนที่ทีมงาน The People เลือกมาเล่า ผมขอหยิบ 4 คนที่ประทับใจเป็นการส่วนตัวมาเล่าแบบสรุปให้ฟังนะครับ

Henry Ford เฮนรี ฟอร์ด ชายผู้ที่นอกจากจะปฏิวัติยานยนต์แล้ว ยังยกระดับมาตรฐานการทำงาน นำไปสู่การสร้างชนชั้นกลางขึ้นมาในสังคม

Photo: https://chobrod.com

ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือ The People เรื่องเล่าคนเปลี่ยนโลกเล่มนี้คงไม่รู้ว่า Henry Ford ชายผู้ที่เรารู้ว่าเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Ford Motor ขึ้นมา แล้วก็ปฏิวัติการเดินทางจากการขี่ม้ามาสู่รถยนต์จนเต็มท้องถนนทุกวันนี้ด้วยรถยนต์ฟอร์ด Model T ที่โด่งดัง จากคำพูดที่ว่า ลูกค้าจะเลือกรถสีไหนก็ได้ ตราบที่มันเป็นสีดำ

เพราะการที่ผลิตแต่รถยนต์สีดำทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงมาก ทำให้จากเดิมที่รถยนต์เป็นผลงานทำทีละคัน ด้วยคนทีละคน เปรียบได้กับงานคราฟดีๆ นั่นเอง มาสู่การคิดค้นระบบสายพานการผลิตขึ้นมา ให้หนึ่งคนทำงานแค่หนึ่งอย่าง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพจากความชำนานสูงสุด จากนั้นก็เอาผลงานของทุกคนเข้ามาประกอบเข้าไว้ด้วยกันเป็นรถยนต์หนึ่งคัน ซึ่งทำให้ราคารถยนต์ในวันนั้นถูกลงมากจนคนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

และนั่นเองก็ทำให้จากที่รถยนต์เคยเป็นแค่ของคนรวยเท่านั้นที่จะสามารถหาซื้อได้ กลายเป็นคนชนชั้นกลางทั่วไปก็สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ด้วยเช่นกัน

แต่นั่นคือเรื่องราวที่คนส่วนใหญ่รู้และได้ยินมาซ้ำแบบนับครั้งไม่ถ้วน แต่สิ่งที่ประทับใจผมจากการเปลี่ยนโลกของชายคนนี้คือเรายกระดับคุณภาพการทำงานของคนทำงาน ให้กลายเป็นชนชั้นกลางที่มีเวลาว่างจะขับรถออกไปเที่ยวใช้ชีวิตในวันว่างจากวันหยุด

ย้อนเวลากลับไปช่วงเวลาที่ Henry Ford สร้างบริษัทผลิตรถยนต์ฟอร์ดขึ้นมา โลกของการทำงานในวันนั้นโหดร้ายกว่าทุกวันนี้มาก พนักงานส่วนใหญ่ต้องทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน (เอาง่ายๆ คือทำงานทุกวันนั่นแหละครับ) อย่างดีก็มีวันหยุด 1 วันต่อสัปดาห์ นั่นก็คือวันอาทิตย์ แต่ที่โหดไปกว่านั้นคือต้องทำงานวันละ 10 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย แถมค่าแรงก็ได้แค่วันละ 2.34 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน จนก่อให้เกิดความไม่พอใจของแรงงานทั้งหลายต้องออกมาเรียกร้องให้ลดชั่วโมงการทำงานเหลือวันละ 8 ชั่วโมง และก็ขอวันหยุดเป็น 2 วันต่อสัปดาห์ครับ

ในระหว่างที่แรงงานออกมาเรียกร้อง ทางภาครัฐยังไม่ตัดสินใจ บริษัทต่างๆ ก็ยังดูเชิงอยู่ บริษัทของเฮนรี ฟอร์ด เองออกมาประกาศรับคำเรียกร้องนี้ของกลุ่มแรงงานก่อนบริษัทอื่น ส่งผลให้มีผู้คนมากมายอยากเข้าไปทำงานกับฟอร์ด และไม่ใช่เท่านั้น เฮนรี ฟอร์ด เองยังประกาศยกระดับค่าแรงให้สูงกว่าที่อื่นถึงสองเท่า จาก 2.34 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน เป็น 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน

เรียกได้ว่าทำเอาบริษัทอื่นหน้าชา ด้วยการยกระดับค่าแรงและสวัสดิการของบริษัทฟอร์ดมอเตอร์ในครั้งนี้ กลายเป็นการกดดันให้บริษัทอื่นต้องทำตาม เพราะไม่อย่างนั้นผู้คนก็จะแห่กันลาออกแล้วไปสมัครบริษัทฟอร์ดจนหมดแน่นอนครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับกับการเปลี่ยนโลกของการทำงานใหม่ ด้วยการนำหน้าประกาศรับเสียงเรียกร้องของชนชั้นแรงงาน แถมยังเพิ่มค่าแรงให้อีกเท่าตัว

การเปลี่ยนโลกไม่ต้องเริ่มจากไหนไกล เริ่มจากเราแล้วทำให้เป็นมาตรฐานใหม่ของโลกนี้ เหมือนที่เฮนรี่ ฟอร์ด ทำครับ

William Kamkwamba เด็กชายผู้สร้างกังหันลมในโลกที่สาม จากความต้องการแสงสว่างเพื่อน้อง สู่การเปลี่ยนโลกรอบตัวเขาให้เข้าถึงไฟฟ้าเพื่อยกระดับชีวิต

Photo: https://thepeople.co/william-kamkwamba-the-boy-who-harnessed-the-wind/

เรื่องราวของ William Kamkwamba วิลเลียม คัมแควมบา เด็กชายผู้สร้างกังหันลมจากขยะ ให้น้องสาวได้อ่านหนังสือตอนกลางคืนอย่างปลอดภัย จนกลายเป็นกังหันลมผลิตไฟฟ้าฟรีที่เปลี่ยนโลกของผู้คนในประเทศสาธารณรัฐมาลาวี

สาธารณรัฐมาลาวี เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา ประชากรจำนวนมากทำอาชีพเกษตรกรที่เพาะปลูกโดยพึ่งพาน้ำฝนธรรมชาติ ขาดเครื่องไม้เครื่องมือ โดยเฉพาะไฟฟ้าเอามาช่วยให้การเพาะปลูกและใช้ชีวิตดีขึ้นเหมือนประเทศอื่น

จุดเริ่มต้นจากการที่บ้านยากจนจนไม่สามารถจ่ายค่าเรียนในระดับชั้นมัธยมที่ต้องเสียเงินเรียนได้ เขาจึงต้องออกจากโรงเรียนมากลางคันตอนอายุ 14 ปี แทนที่จะใช้เวลาแบบวัยรุ่นทั่วไป เขากลับเลือกใช้เวลาที่ว่างส่วนใหญ่ไปกับการหาความรู้ในห้องสมุดชุมชนแทน

แล้วเขาก็ได้เจอหนังสือเปลี่ยนชีวิตเล่มหนึ่ง ที่จะนำให้เขาไปใช้เปลี่ยนโลกของเกษตรกรคนจนในสาธารณรัฐมาลาวีต่อไป นั่นก็คือหนังสือสอนการสร้างกังหันลมเพื่อนำไปใช้ต่อยอดสิ่งต่างๆ ได้มากมาย ตั้งแต่การสร้างไฟฟ้าให้แสงสว่าง หรือการนำไปใช้กับการสูบน้ำมาเพื่อใช้กับการเพาะปลูกให้ดีขึ้น

แม้เด็กชาย วิลเลียม คัมแควมบา จะอยากสร้างกังหันลมขึ้นมามาก แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายหรือต้องใช้คำว่ายากลำบากเสียมากกว่า เพราะในชุมชนที่เขาอยู่นั้นไม่ได้มีอุปกรณ์ที่ต้องการพร้อมแต่อย่างไร เขาต้องไปหาเศษชิ้นส่วนต่างๆ จากซากกองขยะเป็นส่วนใหญ่ แต่ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็สามารถสร้างกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ามาใช้กับครอบครัวและคนในชุมชนได้ และนั่นก็คือการเปลี่ยนโลกด้วยกังหันลมที่สร้างจากขยะของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคระหว่างทาง

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ปัญหาที่เข้ามาเหมือนพยายามขัดขวางไม่ให้เราทำอะไรได้สำเร็จ มันคือเรื่องปกติที่เราต้องฝ่าฟันผ่านมันไปให้ได้ ซึ่งทุกคนที่ประสบความสำเร็จล้วนผ่านปัญหามามากมาย แต่ไม่มีใครยอมแพ้ต่อปัญหาตรงหน้า เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่มีทางประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้

ดังนั้นจำไว้ว่า ถ้าอยากจะเปลี่ยนโลก จงเริ่มจากการเปลี่ยนทัศนคติต่อปัญหาตรงหน้าก่อน จำไว้ว่าปัญหาคือสิ่งที่มีไว้ให้เราแก้ และปัญหาก็ไม่เคยหมดไป เพราะเมื่อไหร่ที่เราแก้ปัญหานั้นได้ ก็จะมีปัญหาใหม่ผุดขึ้นมาท้าทายเราเสมอครับ

ถ้าอยากประสบความสำเร็จจงวิ่งเข้าชนปัญหา เหมือนกับทุกคนที่เคยประสบความสำเร็จมาครับ

Ann Makosinski สาวลูกครึ่งฟิลิปปินส์-โปแลนด์ เปลี่ยนโลกด้วยไฟฉายพลังมือหมุนที่เธอสร้าง

Photo: https://hackaday.com/2018/07/05/a-flashlight-powered-by-your-hot-little-hands/

ผมชอบเรื่องราวของเธอคนนี้เพราะ แอน มาโคชินสกี เธอเป็นคนที่อยู่ในประเทศที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างแคนาดา แถมยังเต็มไปด้วยรางวัลความสำเร็จมากมาย แต่กลับไปใส่ใจเพื่อนอีกฝากโลกที่ประเทศบ้านเกิดอย่างฟิลิปปินส์ ที่พบว่ากำลังจะเรียนไม่จบสอบไม่ผ่าน เพราะไม่มีแสงไฟใช้อ่านหนังสือในเวลาค่ำคืนครับ

เธอจึงสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่เรียบง่ายไม่เซ็กซี่ที่จะเติบใหญ่กลายเป็น Unicorn อย่างไฟฉายที่ใช้พลังงานจากความร้อยของร่างกายมนุษย์ขึ้นมา แล้วก็ส่งไปประกวดในงาน google Science Fair 2013 จนติด 1 ใน 15 ผลงานทั่วโลกรอบสุดทา้ย

และนั่นก็ทำให้เธอได้รับรางวัลมากมายจากสิ่งประดิษฐ์ที่เริ่มต้นจากความตั้งใจช่วยเพื่อนให้อ่านหนังสือสอบทำคะแนนได้ดีขึ้นนี้ แต่นั่นก้ไม่ใช่สิ่งที่เธอดีใจที่สุด เพราะสิ่งที่เธอดีใจที่สุดคือการได้ใช้ไฟฉายจากพลังความร้อนจากมือนี้ ฉายปัญหาเล็กๆ ของเพื่อนเธอให้คนทั่วโลกเห็น และก็ทำให้ได้พบว่ายังมีคนอีกกว่า 1,200 ล้านคนบนโลกที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ยามค่ำคืน ดูเหมือนว่าไฟฉายพลังความร้อนจากมือจะกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์เปลี่ยนโลกจริงๆ นะครับ

และเจ้าไฟฉายนี้ก็มีชื่อว่า Hollow Flashlight ลองดูเรื่องราวในคลิปวิดีโอนี้ได้เลยครับ

สาระสำคัญที่ผมชอบเรื่องราวของเด็กสาวผู้เปลี่ยนโลกคนนี้คือ รางวัลไม่สำคัญเท่าการใช้จริง ถ้าเราอยากเปลี่ยนโลกจริงๆ อย่ามุ่งเป้าไปที่รางวัลหรือชื่อเสียงใดเป็นประเด็นหลัก แต่ให้โฟกัสกับการแก้ปัญหานั้นจริงๆ เพื่อเปลี่ยนโลกใครสักคนให้ดีขึ้น เพราะอาจมีคนอีกหลายล้านคนที่มีปัญหาเดียวกันนี้ เพียงแต่ปัญหานั้นอาจดูเล็กเกินสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ปัญหานั้นกลับใหญ่เกินไปสำหรับคนตัวเล็กเหมือนเพื่อนเธอคนนี้ และอีก 1,200 ล้านคนครับ

หวง หย่ง-ฟู่ ชายผู้รักษาหมู่บ้านด้วยสีและปลายพู่กัน

Photo: https://thepeople.co/huang-yung-fu-rainbow-village/

หมู่บ้านศิลปะในประเทศใต้หวัน เชื่อว่าใครที่ได้ไปเที่ยวประเทศนี้ต่างต้องเคยไปหมู่บ้านแห่งนี้ทั้งนั้น ผมคนหนึ่งก็เคยไปตอนเอาท์ติ้งบริษัทเก่า ตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านแห่งนี้น่าสนใจอย่างไร ก็เป็นหมู่บ้านที่มีลายขีดๆ เขียนๆ เท่านั้นเอง

จนกระทั่งได้มารู้เรื่องราวจากหนังสือ The People เรื่องเล่าคนเปลี่ยนโลกเล่มนี้ ถึงได้รู้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้สวยงามเพื่อกันการถูกทำลายจากกองทัพและปลายกระบอกปืน ทำให้ความรู้สึกที่เคยมองข้ามสีสันทั้งหมู่บ้านในวันนั้น กลายเป็นทึ่งและตะลึงงันในความประทับใจอย่างหาคำพูดไม่ได้

ไม่น่าเชื่อว่าชายคนเดียวจะสามารถเปลี่ยนโลกปลายกระบอกปืนของกองทัพให้หยุดยั้งการทำลายล้างหมู่บ้านเก่าแห่งนี้ได้ แถมไม่ใช่ว่าป้องกันได้ด้วยกำลังรบพุ่งกัน แต่เป็นการใช้สีและปลายพู่กันสร้างสรรค์ความงามขึ้นมาทับ เพื่อทำให้ทหารและกองทัพตระหนักว่าหมู่บ้านนี้นั้นช่างสวยงามจนน่าเสียดาย ถ้าจะต้องทำลายมันลงไปจริงๆ

สรุปรีวิวหนังสือ The People เรื่องเล่าคนเปลี่ยนโลก

และนี่ก็เป็น 4 ใน 20 ของเรื่องเล่าคนเปลี่ยนโลกในหนังสือเล่มนี้ ที่ทีมงาน The People คัดเลือกมาเล่าให้เราฟัง ให้เราได้รู้จักการเปลี่ยนโลกของคนที่เราไม่คุ้นหู และเรื่องราวใหม่ของคนที่เราคุ้นเคยดี ว่าเขาเปลี่ยนโลกใบนี้ไปมากขนาดไหน

ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า การจะเปลี่ยนโลกนั้นไม่จำเป็นต้องเริ่มจากอะไรที่ยิ่งใหญ่ หรือเริ่มจากที่ไหนไกล แค่เริ่มจากสิ่งที่เราทำได้ แล้วก็เริ่มจากเปลี่ยนโลกใบเล็กของเราแทนที่จะเป็นโลกทั้งใบ แล้วคุณจะพบว่าคนธรรมดาอย่างเราก็สามารถเปลี่ยนโลกได้ ถ้าเรามุ่งมั่นตั้งใจและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่จะผ่านเข้ามา

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 10 ของปี 2022

ได้รับจากมือ The People เองเลยครับ

สรุปรีวิวหนังสือ The People เรื่องเล่าคนเปลี่ยนโลก
ทีมนักเขียน The People
สำนักพิมพ์ Loupe

สั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ > https://click.accesstrade.in.th/go/O2PxhVsg

อ่านสรุปหนังสือแนวนี้ในอ่านแล้วเล่าต่อ > https://www.summaread.net/category/moltivation/

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/