51 วิธีคิดของลูกน้องที่หัวหน้าอยากสนับสนุน

เขียนจากประสบการณ์ตรงของพนักงานระดับล่างธรรมดาๆตัวจริงที่ไม่ได้มีเส้นสายหรือนามสกุลอะไร จนสามารถไต่เต้าเป็น CEO ของบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ และยังได้เป็น CEO ของสองแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Starbucks และ The Body Shop ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย Matsuo Iwata คือชายคนที่ผมพูดถึง เค้าได้เป็น CEO บริษัทแรกด้วยวัยเลข 4 ต้นๆ ก่อนหน้านี้เค้าเคยเขียนหนังสือขายดีชื่อ “51 วิธีคิดของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากสนับสนุน” เพื่อแนะนำให้บรรดาหัวหน้าทั้งหลายรู้ว่าควรปรับตัวและรับมือกับลูกน้องหรือแม้แต่หัวหน้าที่อยู่ระดับสูงขึ้นไปอย่างไร หลังจากเขียนเล่มที่ว่าจนขายดิบขายดีที่ญี่ปุ่น และก็แปลออกไปอีกหลายภาษาทั่วโลก เค้าเลยโดนรบเร้าว่า “แล้วหนังสือของลูกน้องล่ะ ไม่มีบ้างหรือ?”…

The Lucky Lay Off โชคดีที่ตกงาน

จากสาวคอนซัลท์ไฟแรงสูงบริษัทข้ามชาติหลายสาขาทั่วโลก ต้องพลิกผันถูกเลย์ออฟกลางคันตอนทำงานอยู่ลอนดอน ชีวิตกำลังสนุกไปด้วยแสงสีเสียงและสิทธิพิเศษจากบริษัท ต้องถูกลิดรอนหายไปแม้แต่วีซ่าก็ด้วย จนต้องเที่ยวทิ้งทวนครั้งสุดท้ายและหาแพลนบีให้ชีวิต จากเงินเดือนสองแสนเหลือหมื่นนิดๆ จากคอนซัลท์สาวออฟฟิศหรูในมหานครโลก ได้ลองมาเป็นสาว NGO ไปลุยถิ่นทุรกันดารที่พม่า จนทำให้เธอได้พบโลกกว้าที่ถ้าเธอไม่ถูกเลย์ออฟในวันนั้นก็คงไม่มีวันนี้ จนเธอได้ทำตามฝันไปเรียนต่อที่มหาลัยชั้นนำของโลกที่อเมริกา ด้วยความพยายามและความฝืนใจมองโลกในแง่ดีของเธอ และโลกใหม่ที่กำลังรอเธออยู่ ทำให้เธอได้กลับมาขอบคุณการเลย์ออฟครั้งนั้นที่ทำให้เธอมีวันนี้ครับ ว่าไปชีวิตผมก็เคยตกงานเพราะถูกเลย์ออฟตอนบริษัทที่ดูรุ่งโรจน์ประกาศปิดตัวกระทันหันเหมือน “กระเป๋า” ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ถ้าถามว่าตอนที่ออฟฟิศประกาศเลย์ออฟตอนนั้นรู้สึกยังไงบอกตรงๆใครๆก็บอกว่าผมดูนิ่งมากครับ แทบไม่มีอาการตระหนก ตกใจ โวยวาย ร้องให้ใดๆเลย แถมยังช่วยสามารถปลอบใครต่อใครอีกหลายคนด้วยซ้ำ แต่พอไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป กลับมาถึงงบ้าน สมองเริ่มทำงานไปเรื่อยๆหลังจากแยกย้ายกัน โอโห ประมวลผลไม่ทันทั้งอดีตเมื่อไม่กี่ชั่วโมงหรือในใบสัญญาจ้างงานที่ใครๆก็อิจฉาต้องกลายเป็นเศษกระดาษไร้ค่า ทั้งเงินกองทุนนสมทบ…

วิธีเดินทางกับแซลมอน

วิธีเดินทางกับแซลมอน เป็นหนังสือเล่มเล็กแต่กลับได้อะไรไม่น้อยกว่าหนังสือเล่มใหญ่หลายเล่มเลยในความคิดผม เพราะเต็มไปด้วยเรื่องเล่าจากเรื่องราวมากมายที่ Umberto Eco นักเขียนนักคิดชาวอิตาลีที่น่าจะเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน (น่าเสียดายมากครับ) ถ่ายทอดผ่านภาษาที่จิกกัด เสียดสีจนสุดจะแดกดัน แต่กลับไม่รู้สึกโกรธหรือน่ารังเกียจ แถมยังทำให้เราหัวเราะชอบใจในความจริงที่แสนจะเสียดแทงความจริงที่เรามองข้ามกันไปด้วยซ้ำ ถ้าเป็นคนในบ้านเราที่ผมนึกถึงก็คงเป็นน้าเน็ก ในตอนสมัยที่ผมยังหนุ่มๆและเด็กกว่านี้ น้าเน็กเป็นดีเจหรือนักพูดที่มีฝีปากกล้ามาก กล้าด่าในเรื่องจริงที่คนไม่กล้าหรือมัวแต่เกรงใจกัน แต่ก็กลับไม่ค่อยมีใครโกรธน้าเน็กเลย กลายเป็นคนส่วนใหญ่อยากให้น้าเน็กด่าด้วยซ้ำ เพราะทุกครั้งที่ด่ากลับได้ข้อคิดกลับไปเสมอ ดังนั้นถ้าใครที่อยากได้มุมมองใหม่ๆในการมองโลกรอบตัวชีวิตประจำวันที่สนุกขึ้น หนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือที่แนะนำอย่างยิ่งในความคิดผม สารภาพตามตรงตอนที่เลือกซื้อเล่มนี้มาจากงานหนังสือเมื่อปลายปี 2560 ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้คงเต็มไปด้วยเรื่องตลกขบขันชวนให้เบาสมองจากหนังสือเล่มอื่นๆที่ผมอ่านเพื่อเอาความรู้ แต่ที่ไหนได้หนังสือเล่มนี้กลับทำให้ผมได้ทั้งหัวเราะเหมือนคนบ้านิดๆตอนขับรถ จนพี่คนขับมอไซค์ข้างๆที่จอดติดไฟแดงด้วยกันยังหันมามอง และหลายตอนก็ทำให้ผมได้ฉุกคิดต่อจนกลับมาทนทวนอะไรหลายอย่างอีกที วิธีเดินทางกับแซลมอน พาผมเดินทางไปสู่เส้นทางใหม่ๆที่น่าสนใจ และเดินทางกลับไปสู่เส้นทางเดิมในมุมมองใหม่ๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ ลองอ่านเพื่อเดินทางไปกับ…

Write Your Dream ฝันตื่นลงมือทำจึงสำเร็จ

เป็นเรื่องของหญิงสาวชาวบ้านที่ยากจนชาวเกาหลีคนนึง ที่มีช่วงชีวิตวัยรุ่นที่ย่ำแย่ แต่เธอสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆอีกมากมาย เธอตั้งความฝันไว้มากมาย แล้วก็พยายามทำมันให้สำเร็จ เธอบอกว่าที่ไม่สามารถไปให้ถึงฝันได้ ส่วนใหญ่เพราะเอาแต่โทษโชคชะตาและสิ่งรอบข้าง แต่กลับลืมไปว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้ฝันนั้นเป็นจริงได้คือตัวเราเอง หลายคนลดขนาดความฝันลงเพราะบอกว่ามันดูเพ้อฝัน และเป็นไปไม่ได้ แต่เธอบอกว่าอย่าลดขนาดความฝัน แต่ให้เพิ่มขนาดความพยายามเข้าไปแทน เธอบอกว่าชีวิตคนเราคือการวิ่งมาราธอน ถ้าเราหยุดวิ่งคนอื่นก็นำ ถ้าเรามัวแต่โทษว่ารองเท้าเราไม่ดีเท่าคนอื่น หรือเราเริ่มวิ่งช้ากว่าคนอื่นชีวิตก็คงไม่ไปไหน แล้วก็ได้อิจฉาเค้าต่อไป จงวิ่งและพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ มีความสุขและเรียนรู้กับสองข้างทางชีวิต ส่วนตัวผมชอบหนังสือเรื่องราวประวัติของคนแบบนี้ เพราะดูเป็นไปได้และไกล้ตัว มากกว่ามหาเศรษฐีพันล้านแสนล้านเสียอีก อ่านเมื่อปี 2016

TWO BE CONTINUED โปรดติดตามตอนแต่งไป

คลี่ชีวิตคู่ของมนุษย์เจเนอเรชั่นวาย โดยนิดนก เป็นเรื่องเล่าจากเรื่องราวของชีวิคหลังแต่งงานของหญิงชายเจนวายในเมืองหลวงผู้เป็นพนักงานเงินเดือนชนชั้นกลาง ที่ต้องปรับตัวการใช้ชีวิตจากแฟนเป็นผัวเมียเรื่องราวการใช้ชีวิตในหลายแง่มุม ตั้งแต่การจดทะเบียนสมรสการฮันนีมูนการเซ็ตค่าใช้จ่ายร่วมกันการปรับตัวเข้าสู่ครอบครัวของกันและกัน และอีกหลายเรื่องที่ไม่อาจจดจำได้ทั้งหมด เรื่องราวจริงประสบการณ์จริงของคู่นี้(นิดนกและเอกชัย)เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจแบบไม่มีนิยายใดๆให้อ้างอิง และไม่มีละครเรื่องไหนเคยตีแผ่ความจริงออกมาแบบนี้ เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจที่ควรส่วนใหญ่อย่างน้อยก็คนที่ทำงานเงินเดือนชนชั้นกลาง(อย่างผม)ควรอ่านศึกษาไว้เพื่อเตรียมตัวรับมือรู้เท่าทันปัจจุบันโลก เพราะโลกรุ่นพ่อแม่และโลกรุ่นเรานั้นกลายเป็นคนละโลกกันแล้วโดยสิ้นเชิง เราเติบโตมาคนละคัลเจอร์ พ่อแม่ก็ไม่เข้าใจคนรุ่นเราและคนรุ่นเราก็ไม่เข้าใจพ่อแม่ เพราะโลกนั้นเปลี่ยนไปทุกวันๆนึงข้างหน้าเราก็คงไม่เข้าใจคนรุ่นลูกหลานเราเช่นกัน ขอบคุณนิดนกและเอกชัยที่ถ่ายทอดประสบการณ์อ่านสนุกมาให้ผมได้อ่านเป็นความรู้ครับ อ่านเมื่อปี 2016

เรื่องที่ Google ไม่มีคำตอบให้เรา

โดย ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ อ่านมาซักพักเลยรู้ว่าคนเขียนเป็นคนทำงานโฆษณาเหมือนกัน เป็นคนที่ถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ตัวเองได้ออกมาอร่อยและน่าสนใจดี หลายตอนในเล่มก็สามารถเขียนสรุปใจความจนออกมาเป็น Quote คำคมดีๆสะกิดใจคนอ่านได้ไม่น้อย เช่น.. ..กูเกิลมีแทบทุกอย่างที่เราต้องการค้นหา เราจะพบในสิ่งที่คนอื่นหาไว้แล้วมากมาย แต่บทเรียนในชีวิตของเรานั้นเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถหาคำตอบในกูเกิล.. หรือ.. ..สิ่งที่เราเห็นในโซเชียลมีเดียก็เป็นแบบนั้น มันคือการตัดตอนความจริงมาไว้ในบริบทหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมดของความจริง ซึ่งเมื่อตัดเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งมาก็ทำให้เราไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด เหมือนกรอบรูปที่บังคับการมองเห็นของเราว่ามองเห็นได้แค่ภายในกรอบ.. และ ในตอนที่พูดถึงเจ้าตัวได้ไปงานแต่งแล้วเห็นพรีเซ็นเทชั่นงานแต่งงานมามากมาย เธอก็เขียนประโยคนึงที่น่าสนใจมาว่า.. ..พรีเซ็นเทชั่นงานแต่งงานมักจะให้เราเห็นภาพว่าคนทั้งคู่ “พบกัน” ได้อย่างไร มากกว่าจะบอกเราว่าคนทั้งคู่ “คบกัน” อย่างไรจึงรอดมาถึงวันนี้ได้ เนี่ยแหละครับคือมุมมองของนักเขียนคนนี้ที่ผมชอบ ทำให้ผมรู้สึกคิดผิดจริงๆที่ไม่ยอมซื้อมาอ่านตั้งนาน ต้องรอจนกว่าค่าย…

วิชาสุดท้าย ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน

จากนักเขียนนักแปลคนโปรดคนนึงของผม คุณสฤณี อาชวานันทกุล ได้ยินมาว่าเป็นหนังสือที่บัณฑิตนิยมมอบให้กับบัณฑิตด้วยกันเมื่อสำเร็จการศึกษา.. นี่เป็นการสร้างจุดขายที่ทำให้กลายเป็นธรรมเนียมไม่เหมือนหนังสือเล่มอื่นเสียจริง ยอมรับว่าการตลาดฉลาดมาก เรื่องในเล่มเป็นเรื่องราวของคนเก่ง คนสำคัญ คนดัง หลายสิบคนที่เคยไปกล่าวปาถกฐาในวันสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกมากมาย เช่น Steve Job, JK Rolling และอีกหลายคนมากมายที่ผมเองก็จำไม่ได้เช่นกัน หนังสือเล่มนี้ดูเหมือนหนา..แต่ก็หนาจริงเพราะตั้งกว่า 500 หน้า แต่กลับไม่รู้สึกต้องใช้เวลาอ่านมากเลย เพราะเรื่องราวมาจากประสบการณ์จริงของบุคคลสำคัญจึงทำให้เวลาอ่านนั้นเข้าใจและคิดตามได้ไม่ยาก หลายเรื่องเป็นเรื่องราวที่เราพบเจอแต่ไม่เคยมองในแง่มุมของผู้พูดมาก่อน ก็ทำให้เราสะดุดคิดตามได้ ได้มุมมองใหม่ๆขึ้นมาได้ สุดท้ายแล้วหนังสือเล่มนี้ แม้คุณเลยวัยบัณฑิตมาแล้ว ก็ควรค่าแก่การหามาอ่านครับ เพราะวิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน คือวิชาชีวิตนอกห้องเรียน วิชาที่คุณต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง…

Life is a lottery คุณคือผู้โชคดี

เป็นหนังสือที่เลือกหยิบมาเพราะถูกใจหน้าปกในตอนงานหนังสือแห่งชาติเมื่อต้นปี 2560 ที่ผ่านมา สารภาพว่าไม่ได้อ่านอะไรข้างในหรอกตอนจะซื้อ แต่อีกสิ่งที่ทำให้ซื้อก็คือชื่อหนังสือที่พูดถึงเรื่อง “ล็อตเตอรี่” ผมก็เลยคาดเดาไปเองว่า “อ๋อ มันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องคนที่ถูกหวยแน่ๆ เออๆ น่าสนใจดีๆ ลองหยิบติดกลับไปเก็บไว้ที่บ้านเผื่อวันไหนจะหยิบมาอ่านดีกว่า” นั่นแหละครับ จากงานหนังสือผ่านไปเกือบครึ่งปี เพิ่งจะได้หยิบมาอ่าน ทีนี้ถึงได้รู้ว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องคนขายหวยหรือถูกล็อตเตอรี่อะไรเลย กลับเป็นเรื่องของ “ล็อตเตอรี่ชีวิตมากกว่า” ล็อตเตอรี่ชีวิตนี้คือการที่ผู้เขียนเลือกเสี่ยงดวงออกจากงานประจำ มาทำงานเป็นนักเขียน ก็ต้องยอมรับว่าเสี่ยงเหมือนซื้อหวยนะ เพราะงานประจำยังไงก็อิ่มท้องทุกสิ้นเดือน แต่ออกมาทำฟรีแลนซ์นี่เหมือนซื้อหวยจริงๆ โดยเฉพาะฟรีแลนซ์ที่ยังไม่โด่งดังมีชื่อเสียงก็ไม่รู้ว่าจะมีหวย หรือโชคดีเป็นงานเข้ามาให้ตัวเองเมื่อไหร่ ผู้เขียนเองถูกหวยจากการเขียนหนังสือเล่มนึง เป็นหนังสือขายดีมากที่ใครก็ต้องคุ้นหูแม้จะไม่เคยซื้ออ่าน หนังสือชื่อว่า “การลาออกครั้งสุดท้าย” ขนาดตอนนั้นผมยังเป็นพวกไม่อ่านหนังสืออะไรเลยเวลาไปร้านหนังสือเพื่อหาซื้อการ์ตูนหรือแมกกาซีนก็ต้องเห็นมีป้าย…

เหลี่ยมคุก

ถ้าพูดถึงชื่อชูวิทย์ ผมเชื่อว่าคงมีน้อยคนในประเทศที่ไม่รู้จัก ตั้งแต่เจ้าพ่ออ่างทองคำถึง 6 แห่ง ตามมาด้วยนักแฉในตำนานเรื่องข้าวผัดกล่องละ 5,000 บาท ต่อมาด้วยการลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพจนได้คะแนนหลักแสน แล้วก็กลายมาเป็น ส.ส. ในสภาผู้ทรงเกรียติ์ สุดท้ายมาเป็นนักโทษเด็ดขาดชายชูวิทย์ และก็เพิ่งได้รับอิสรภาพเมื่อไม่นานมานี้เอง ชูวิทย์ เป็นคนที่ใครหลายคนติดตามในเรื่องของฝีปาก กับเรื่องราวด้านมืดมากมายในสังคมที่แฉมาทีทำเอาคนใหญ่โตสะเทือนกันเป็นแถบ แต่ถูกใจชาวบ้านหรือคนที่ไม่ชอบคนใหญ่โตเหล่านั้นมากมาย เล่มนี้ชูวิทย์ไม่ได้แค่แฉ แต่ยังเป็นการตีแผ่จากชีวิตจริงหลังประตูเหล็กกำแพงหินของคุก คุก ชีวิทย์ ให้นิยามว่าเป็นสถานที่พระเจ้าไม่คาดคิด แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อกักขังกันเอง เพราะชีวิตหลังกำแพงคุกนั้นเหมือนกับถูกขโมยเวลาหายไปจากชีวิต เพราะหลายคนที่ติดอยู่หลายปีพอออกจากคุกมาก็ไม่เหลือชีวิตนอกคุกอีกต่อไป ส่วนใหญ่ก็พ่อตาย เมียหาย ครอบครัวพี่น้องไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะคนที่ติดคุกเกินสิบปีขึ้นไปเหมือนตัวตนในสังคมเค้าไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว…

I Cancel my Cancer

เขียนจากประสบการณ์ตรงจากผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Hodgkin’s Lymphoma) เพียง 1% ในโลกที่มะเร็งลามเข้าสู่หัวใจ จนแทบเอาชีวิตไม่รอด.. ..ต้องบอกก่อนเลยว่าผู้เขียนหรือคุณเบลล์นั้นแทบจะเรียกว่าซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยสามชั้นที่แม้แต่ฝาอิชิตันก็ให้ขนาดนี้ไม่ได้ เริ่มจากพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จากนั้นก็พบว่าตัวเองเป็นวัณโรค แล้วก็พบว่าตัวเองมีก้อนมะเร็งในหัวใจ โอ้โห..อะไรจะขนาดนั้นครับ ..จากสาว 26 กำลังจะจบโทจากนอก เตรียมจะใช้ชีวิตแบบคนยุคใหม่เต็มที่แต่ทุกสิ่งที่เคยคิดและแพลนเอาไว้ต้องมาสะดุดลงหมด เพราะจากอาการวูบสลบที่คิดว่าแค่ไม่สบายที่อังกฤษ ก็เลยคิดว่าจะบินกลับมาไทยเพื่อมาตรวจร่างกายเล็กน้อยและฉีดยานิดหน่อยแล้วก็บินกลับไปสอบ ป.โท กับทำวิทยานิพนธ์อีกนิดหน่อยให้จบ กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่ไม่มีวันย้อนกลับอีกต่อไป.. ..เพราะเธอได้พบเจอมะเร็งที่อยู่ในปอด และลามไปส่วนอื่นๆของร่างกาย จนครอบครัวถึงกับช็อคเพราะไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้ยังไง แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปต้องกลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต็มตัวที่หมอว่าเหลือเวลาไม่ถึง 6 เดือน ..เริ่มจากการตรวจร่างกายอย่างละเอียดทุกส่วน เพื่อค้นหาให้เจอว่าต้นเหตุของปัญหาอยู่ตรงไหน…