เขียนจากประสบการณ์ตรงของพนักงานระดับล่างธรรมดาๆตัวจริงที่ไม่ได้มีเส้นสายหรือนามสกุลอะไร จนสามารถไต่เต้าเป็น CEO ของบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ และยังได้เป็น CEO ของสองแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Starbucks และ The Body Shop ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย

Matsuo Iwata คือชายคนที่ผมพูดถึง เค้าได้เป็น CEO บริษัทแรกด้วยวัยเลข 4 ต้นๆ ก่อนหน้านี้เค้าเคยเขียนหนังสือขายดีชื่อ “51 วิธีคิดของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากสนับสนุน” เพื่อแนะนำให้บรรดาหัวหน้าทั้งหลายรู้ว่าควรปรับตัวและรับมือกับลูกน้องหรือแม้แต่หัวหน้าที่อยู่ระดับสูงขึ้นไปอย่างไร

หลังจากเขียนเล่มที่ว่าจนขายดิบขายดีที่ญี่ปุ่น และก็แปลออกไปอีกหลายภาษาทั่วโลก เค้าเลยโดนรบเร้าว่า “แล้วหนังสือของลูกน้องล่ะ ไม่มีบ้างหรือ?” จนทำให้เค้าเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา หนังสือที่จะบอกว่าถ้าวันนี้คุณเป็นลูกน้องแต่อยากก้าวหน้าในอาชีพจนกลายเป็นหัวหน้า ผู้นำ หรือผู้บริหาร หนังสือเล่มนี้คือคู่มือชั้นดีครับ

เพราะหนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วย 51 วิธีสั้นๆที่อ่านแล้วจะเอาไปทำจริงเลยก็ได้ไม่ยาก แถมทุกวิธีที่ผู้เขียนว่ามานั้นก็มาจากประสบการณ์ตรงที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ถ้าใครไม่อยากรอให้ถึงเวลาเกิดเรื่องแล้วค่อยเรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อเป็นประสบการณ์ การอ่านหรือศึกษาจากผู้มีประสบการณ์มาแล้วถือว่าเป็นวิธีที่ฉลาดกว่ามากครับ

แต่อ่านแล้วไม่ได้หมายความว่าคุณต้องยึดตามทุกตัวอักษรในหนังสือ แต่ให้อ่านแล้วคิดตามแล้วลองเอาไปประยุกต์กับสถานการณ์หน้างานดู

เพราะลูกน้องอย่างเราๆนี่แหละ คือตัวตัดสินว่าองค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะถ้ามีแต่หัวหน้าแล้วไม่มีลูกน้อง แล้วงานมากมายใครจะทำจริงมั้ยครับ

ผู้เขียนเล่าว่า หัวหน้าที่เคยประทับใจที่สุดตั้งแต่การทำงานมาคือ หัวหน้าที่บอกว่าทำให้เต็มที่ และให้อำนาจการตัดสินใจไปเต็มมือ แถมยังบอกอีกด้วยว่าถ้าผิดพลาดอะไรขึ้นมาจะรับผิดชอบเอง

หัวหน้าแบบนี้แหละครับที่ลูกน้องหลงรัก ทำให้ผมคิดถึงหัวหน้าในอดีตคนหนึ่งที่ชอบบอกผมแบบนี้เป็นประจำ หัวหน้าคนนั้นเป็นคนที่ปล่อยให้ผมทำงานอย่างมีอิสระ แต่ก็ยังคอยมาแนะแนวทางดีๆให้ผมอยู่เสมอ พร้อมกับย้ำให้ผมมั่นใจทุกครั้งที่ทำงานว่า “ถ้ามีอะไรไม่ดีพี่รับผิดชอบเอง”

หัวหน้าคนนี้ผมรักมาก เชื่อมั้ยครับว่าแนวทางที่เค้าให้ผม กลายเป็นแนวทางที่ผมเอาไปให้กับลูกน้องตอนที่ผมเป็นหัวหน้า ทุกครั้งที่ผมมอบหมายงานให้ไปทำ ผมก็จะมอบอำนาจให้ตัดสินใจอย่างสบายใจได้เต็มที่ด้วยประโยคที่ว่า “เดี๋ยวพี่รับผิดชอบเอง”

และถ้าน้องเกิดกังวลใจว่าถ้าเรื่องนั้นผิดพลาดไปจนอาจจะใหญ่จนผมต้องเดือดร้อนจริงๆ ผมก็จะใช้ประโยคที่สองตบให้น้องสบายใจว่า “ทำไปเถอะ บริษัทไม่เจ๊งเพราะเรื่องแค่นี้หรอก”

สำหรับคนที่เป็นลูกน้องอยู่ในวันนี้นั้น อยากให้รู้ไว้ว่าถ้าเมื่อไหร่หัวหน้ามอบความไว้ใจให้ ก็อย่าทำให้เค้าผิดหวังนะครับ และก็ถ้าเมื่อไหร่หัวหน้ามอบหมายงานยากๆให้ ก็อย่าคิดว่าเค้าไม่ชอบหรือจงใจแกล้งเรา แต่เค้ามอบหมายงานนั้นให้เพราะเค้าไว้ใจเรามากกว่าคนอื่นต่างหากครับ

เพราะอะไรรู้มั้ยครับ เพราะถ้างานนั้นผิดพลาดขึ้นมา คนที่ต้องรับผิดชอบคนสุดท้ายก็คือหัวหน้าไม่ใช่เรา ดังนั้นถ้าเค้าไม่มั่นใจเค้าก็จะไม่กล้าให้เรารับผิดชอบอะไรแทนเค้าหรอกครับ

จงมองความยากเป็นโอกาส โอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ได้โอกาสใหม่ที่ดีขึ้นจากหัวหน้าเพิ่มขึ้นครับ

และถ้าคุณอยากเป็นลูกน้องที่หัวหน้าอยากสนับสนุนในหน้าที่การงาน ก็จงทำให้มากกว่าที่ขอ ทำให้หัวหน้าต้องบอกว่า “ทำเยอะไปแล้ว ลดลงบ้างก็ได้ หรือเอาแค่นี้ก็พอ” เพราะมันดีกว่าการที่หัวหน้าต้องของานเพิ่มเยอะเลยครับ

แล้วอีกหน่อยคุณก็จะไม่ต้องทำให้มันเยอะเกินอีกต่อไป เพราะหัวหน้าเคยบอกไปแล้วว่าให้พอเท่าไหนไว้แล้ว

เห็นมั้ยครับว่าการทำงานเยอะกว่าคนอื่นไม่ได้ทำให้เราลำบากกว่าคนอื่น แต่ทำให้เราสบายกว่าคนอื่นอีกนะครับ

แล้วลูกน้องที่ดีก็ควรหัดมองจากมุมที่สูงขึ้นไป หรือถ้ามองจากมุมของหัวหน้าของหัวหน้าได้ยิ่งดี เพราะคุณจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วหัวหน้าคุณต้องเจอะไร มากกว่าแค่คุณต้องเจออะไร เมื่อคุณเข้าใจหัวหน้า คุณก็จะเห็นอกเห็นใจเค้า และความเห็นอกเห็นใจระหว่างหัวหน้าและลูกน้องนี่แหละครับ ที่จะพาองค์กรให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว

หรือถ้าบางคนเพิ่งได้หัวหน้าใหม่ ไม่รู้ว่าควรเข้าหาหัวหน้ายังไง หรือทำตัวแบบไหนกับหัวหน้า ก็ให้ศึกษาจากการที่หัวหน้าทำกับหัวหน้าของเค้าอีกทีนึง ถ้าเค้าทำแบบไหนกับหัวหน้าเค้า เค้าก็ต้องการให้ลูกน้องเค้าทำแบบเดียวกันนี่แหละครับ

แต่ถ้าคุณเจอหัวหน้าที่ชอบประจบประแจง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือสิ่งที่เค้าต้องการจากลูกน้องเหมือนกัน

หรืออย่างผม ผมชอบตั้งคำถามกับหัวหน้าเป็นประจำ ชอบที่จะแย้งแบบมีเหตุผล และตัดสินกันที่เหตุผลไม่ใช่ตำแหน่ง แต่ถ้าครั้งไหนหัวหน้าขอใช้สิทธิ์ความเป็นหัวหน้าผมก็จะเคารพการตัดสินใจนั้น เช่นเดียวกัน กับลูกน้องผมก็อยากให้เป็นแบบไหน อยากให้โต้แย้งกันด้วยเหตุผล ยินดีลบความคิดตัวเองและผลักดันความคิดลูกน้องด้วยครับถ้าเห็นว่าดีกว่า (นี่พูดจริงนะไม่ได้อวยตัวเอง)

คำล้อเล่นที่น่าคิด

รู้มั้ยครับว่าบางครั้งหัวหน้าก็ไม่อยากตำหนิเราตรงๆ แต่เค้าอาจใช้วิธีการพูดล้อเล่นขึ้นมาเพื่อตำหนิเราอ้อมๆก็ได้ ดังนั้นถ้าเมื่อไหร่หัวหน้าชอบล้อเล่นหรือแซวเราเรื่องไหนซ้ำสอง เราควรเก็บเรื่องนั้นมาคิดและปรับปรุงตัวเองได้แล้วล่ะครับ

เช่น ถ้าหัวหน้าชอบแซวว่ามาสายบ่อยๆ สิ่งที่ควรทำไม่ใช่เคยชินหรือแซวกลับ แต่เป็นควรปรับปรุงตัวเองให้เค้าแซวเรื่องนี้ไม่ได้

เป็น insight ที่น่าสนใจมากๆครับ

และสุดท้ายถ้าคุณอยากเป็นลูกน้องทีเก่งจนกลายเป็นหัวหน้า คุณก็ต้องหาความรู้เพิ่ม และสิ่งหนึ่งที่จะให้คุณมีความรู้เพิ่มก็คือการอ่านหนังสือ

เราอาจได้ยินคนไม่น้อยที่ชอบบอกว่า “ไม่มีเวลาอ่านหนังสือเลย” แต่ในความเป็นจริงแล้วการอ่านหนังสือนั้นไม่ต้องใช้เวลาอะไรเยอะเลยครับ แค่เอาหนังสือติดมือไปทุกที่เหมือนที่ผมทำ แล้วก็หยิบมาอ่านทุกครั้งที่มีเวลา

อย่างที่หลายคนชอบบอกว่าผมอ่านหนังสือเก่ง ผมอ่านหนังสือเร็ว หรือผมอ่านหนังสือเยอะ แท้จริงแล้วผมไม่ได้อ่านเร็วหรืออ่านเก่งอะไรเลยครับ ผมแค่หยิบมาอ่านทุกวันตอนที่อยู่บนรถไฟฟ้า และก็มีหนังสือติดมือไปทุกที่ ทำให้ผมค่อยๆอ่านเก็บทีละเล็กทีละน้อย จะห้านาทีสิบนาทีก็ว่าไป พอสะสมไปเรื่อยๆก็หลายสิบหน้า ไม่กี่วันก็จบเล่มได้ไม่ยากครับ

ผมอยากจะบอกว่าจริงๆผมอ่านหนังสือค่อนข้างช้าด้วยซ้ำ เคยจับเวลาจริงๆตกหน้าละสองนาทีหน่อยๆได้เลยครับ ดังนั้นถ้าใครบอกว่าผมอ่านหนังสือเก่งหรือเร็ว ผมก็จะปฏิเสธทุกครั้งและบอกว่า “ถ้าผมทำได้คุณก็ทำได้”

เพราะรู้มั้ยครับว่าเราส่วนใหญ่ใช้เวลากับหน้าจอเยอะเกินไป โดยเฉพาะหน้าจอมือถือ ที่เดินไปเล่นไป ผมอยากจะบอกว่าผมเป็นคนนึงที่เปลี่ยนการเดินไปแชตไปเล่นเฟซไป เป็นเดินไปอ่านไปตลอดเวลาครับ ดังนั้นถ้าคราวหน้าคุณเจอผู้ชายคนนึงเดินถือหนังสืออ่านไปตลอดทาง ก็เข้ามาทักทายกันได้นะครับเผื่อว่าเป็นผม

สุดท้ายแล้ววันนี้คุณอาจยังเป็นลูกน้อง แต่วันหนึ่งข้างหน้าคุณก็ต้องกลายเป็นหัวหน้าใครบางคนอยู่ดี เพียงแต่จะเห็นหัวหน้าคนหลักหน่วย หลักสิบ หรือหลักพันหลักหมื่นก็ตาม จำไว้ว่าทุกคนย่อมต้องโตขึ้น ไม่มีใครจะไม่ได้เป็นหัวหน้าใครซักคนในชีวิตหรอกครับ

คุณควรเรียนรู้ที่จะเป็นหัวหน้าตัวเองให้ได้ตั้งแต่วันหน้า และเรียนรู้ที่จะเป็น partner ของหัวหน้าในวันนี้ให้ได้ในบางครั้ง

ขอให้คุณได้เป็นหัวหน้าในเร็ววันครับ

สุดท้ายนี้ขอผมพูดถึงหัวหน้าคนสำคัญในชีวิต ที่ทั้งสอนเรื่องงาน และสอนการใช้ชีวิต ให้ผมมีชีวิตทุกวันนี้หน่อยนะครับ

พี่หึ่ง หัวหน้าคนแรกที่ผมรู้สึกเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ จนคนที่ทำงานเก่าเรียกเราว่าสองพ่อลูก
พี่ตี๋ หัวหน้าที่เคี่ยวกรำจนผมมีผลงานดีๆ จนกลายเป็นเส้นทางดีๆให้ผมมากมายนับไม่ถ้วนหลังจากนั้น แถมยังเป็นหัวหน้าที่ให้เกียรติเกินกว่าที่ลูกน้องตัวเล็กๆคนนึงควรได้รับอีกด้วยครับ
พี่บี หัวหน้าที่สอนให้ผมคิดอย่างมีเหตุมีผล สอนให้ผมขายงานเหนือไปอีกระดับ สอนให้ผมเข้าใจการตลาดมากขึ้น และปล่อยให้ผมมีอิสระโดยคอยเป็นพี่เลี้ยงผมตลอดเวลา ทำให้ผมเก่งขึ้นไปอีกระดับก็ว่าได้
พี่ยาร์ด แม้จะไม่ได้เป็นหัวหน้าลูกน้องกันโดยตรง แต่ก็เป็นพี่คนนึงที่ผมเคารพแบบหัวหน้า เป็นคนที่พูดภาษาเดียวกัน คุยงานกันไม่ต้องมากความ ใช่คือใช่ ไม่คือไม่ เรียกว่าเวลาซื้องานซื้อที่ตัวพี่มากกว่างานก็ว่าได้

ขอบคุณหัวหน้าทุกคนที่ทำให้ผมมีวันนี้ ขอบคุณที่อดทนกับผม ขอบคุณที่สั่งสอนและเคี่ยวกรำผม พวกพี่ไม่ได้สอนแค่เรื่องงาน แต่ยังสอนไปถึงการใช้ชีวิตให้อีกด้วย ผมจะเอาข้อดีของพวกพี่มายำๆผสมกันออกมาเป็นเวอร์ชั่นของผมครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 18 ของปี 2019

51 วิธีคิดของลูกน้องที่หัวหน้าอยากสนับสนุน
อิวะตะ มัตสึโอะ เขียน (อดีต CEO ของ Starbucks Coffee Japan)
สำนักพิมพ์ We Learn

20190322

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/