สรุปหนังสือ AI 2041 10 เรื่องเล่าเทคโนโลยี AI แห่งอนาคต Kai-Fu Lee และ Chen Qiufan เขียน สำนักพิมพ์ Bingo แล้วจะเข้าใจ AI Disruption

สรุปหนังสือ AI 2041 10 เรื่องเล่าเทคโนโลยี AI แห่งอนาคต ที่เขียนโดย Kai-Fu Lee และ Chen Qiufan หรือคนที่เขียนหนังสือ AI Super Powers อันโด่งดังก่อนหน้านั่นเองครับ

หนังสือเล่มนี้ออกไปทางนิยายวิทยาศาสตร์แบบที่เอาเทคโนโลยี AI ในปัจจุบันที่อยู่ในช่วง Research หรือเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาได้ไม่นาน มาเล่าให้เห็นภาพว่าโลกในอนาคต หรือสังคมมนุษย์ในปี 2041 นั้นจะเป็นอย่างไร เราจะใช้ชีวิตกันแบบไหนเมื่อเทคโนโลยี AI นั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตเราส่วนใหญ่บนโลกเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้นใครที่คาดหวังรายละเอียดของเทคโนโลยี AI แบบลึกๆ Use Case หรือ Case Study ที่เกิดขึ้นจริงแล้วแบบล้ำๆ ผมว่าหนังสือเล่มนี้อาจไม่เหมาะ แต่ถ้าใครอยากจะอ่านนิยาย AI & Technology ที่มีพื้นฐานจากเทคโนโลยี AI ในปัจจุบัน ผมว่าหนังสือเล่มนี้ฉายภาพนั้นได้ดีเลยทีเดียว

หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 10 บทหลักๆ ด้วยการเอาเทคโนโลยี AI มาเล่าให้เห็นทุกแง่มุมของชีวิตเราในอนาคตอีกแค่สิบกว่าปีข้างหน้า ว่าเราจะได้ใช้ชีวิตกันแบบไหน และมีอะไรที่ควรระวังไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อเทคโนโลยีมันก้าวล้ำ นั่นก็หมายความว่าย่อมมีคนไม่ประสงค์ดีเอาไปใช้ในทางที่ผิด หรือเพื่อหลอกล่อเรานั่นเองครับ

1. AI-Driven Health Tech

เป็นเรื่องราวของบริษัทประกันในอนาคต ที่สามารถคำนวนเบี้ยประกันให้เราอย่างแม่นยำ จาก Data ที่ได้มาจาก Behavior ของเราจริงๆ

และไม่ใช่แค่ Data ของเราเท่านั้น แต่ยังเอา Data จากผู้คนรอบตัวเรามาร่วมประมวลผลด้วย ไม่ว่าจะคนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูงคนรอบตัวก็ตาม

ธุรกิจประกันในวันหน้า จะไม่ได้คำนวนจากแค่อายุ น้ำหนัก เพศ หรือการตรวจสุขภาพรายปีทั่วไป แต่ยังมีการใช้เทคโนโลยีประเภท Sensor ที่จะถูกฝังเข้าไปในร่างกายเรา หรือผูกติดกับร่างกายเราตลอดเวลา เช่น Apple Watch ในวันนี้ แต่ยังถือว่ามีความละเอียดและชนิดดาต้าที่เก็บได้น้อยมาก

ดีไม่ดีเราอาจจะยินยอมที่จะฝังหรือกลืนสิ่งพวกนั้นลงไปในร่างกาย เพื่อแลกกับเบี้ยประกันที่ถูกลง หรือแลกกับการเข้าถึงสิทธิพิเศษบางอย่างที่บริษัทประกันจะมอบให้เรา

จากนั้นยังมีแง่มุมของการรักษาจาก DNA โดยตรง เราป่วยเป็นโรคอะไร เราอาจไม่ต้องกินยา ถ้าพบว่าโรคนั้นเกิดขึ้นจากพันธุกรรม เรียกได้ว่ายาวิเศษโดยแท้ที่เริ่มเกิดขึ้นบ้างแล้วในวันนี้ แต่การเข้าถึงยังต่ำมาก และก็ยังไม่ค่อยมีความแม่นยำเท่าไหร่

ลองเสิร์จคำว่า CRISPR9 แล้วคุณจะเข้าใจว่าอนาคตของสุขภาพมนุษยชาตินั้นจะล้ำกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มากครับ

2. Computer Vision, Deep Fake และ Biometric ต่าง ๆ

เป็นเรื่องราวของอนาคตที่เราจะรายล้อมไปด้วย Fake News และอีกมากมายหลาก Fakes ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราอาจเห็นคลิปที่ดูเหมือนจริงมากแต่กลับไม่ใช่เจ้าตัวจริงๆ เป็นคนพูดอยู่ในคลิป เพราะเทคโนโลยี AI สามาถรเลียนแบบได้ทั้งใบหน้าเรา น้ำเสียงเรา จนยากจะเชื่อได้ว่าอะไรจริงถ้าไม่ได้เห็นกับตาจริงๆ ในอนาคตปี 2041

แต่แน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้ก็มีประโยชน์เชิงพานิชย์ในปัจจุบันแล้ว เช่น นักแสดงดาราดังอาจไม่ต้องบินไปถ่ายทำภาพยนต์เอง อาจแค่ให้เช่าลิขสิทธิ์ใบหน้าและน้ำเสียงตัวเอง แล้วก็ปล่อยให้ตัวแสดงแทนเล่นเป็นตัวเองไป

ในต่างประเทศมีการทำโฆษณาที่ใช้เทคโนโลยี Deep Fakes ด้วยการเอา David Beckham อดีตนักฟุตบอลระดับโลกมาถ่ายครั้งเดียวแต่ถูกเอาไปปรับแต่งให้พูดได้มากมายหลายภาษา หรืออย่างร้านสะดวกซื้อ Amazon Go ที่อเมริกาเองก็แทบไม่ต้องมีพนักงานคอยดูแล อยากได้อะไรก็เข้าไปหยิบ แค่กล้องในร้านเห็นใบหน้าคุณ มันก็จะรู้ได้ว่าคุณคือสมาชิกคนไหน และต้องตัดเงินกับบัตรเครดิตใบไหนที่ผูกไว้

ส่วนคนที่ใบหน้ายังไม่ลงทะเบียน ก็จะไม่สามารถเข้าได้นั่นเองครับ

ซึ่งเทคโนโลยีนี้เป็นดาบสองคมแบบสุดๆ เราอาจถูก Fake News ที่ใช้เทคโนโลยี Deep Fakes ปั่นหัวได้ง่ายๆ ยิ่งเราอยู่ในยุคที่ทะลักไปด้วย Digital Content มากมาย เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าคลิปที่เห็นนั้นคือของจริง ไม่ได้ถูกใครจงใจสร้างเพื่อชักจูงเราไปทางผลประโยชน์ของเขากัน

3. NLP Natural Language Processing เมื่อ AI เข้าใจภาษาคน

NLP ย่อมาจาก natural language processing มันคือการที่ AI เข้าใจภาษาคน คุณอาจสงสัยว่าภาษาคนมันยากตรงไหน มันยากนะครับ ยากตรงที่คนเรามีบริบทในการพูดคุยเยอะมาก การจะเข้าใจคำหนึ่งว่าหมายความอย่างไร ต้องใช้การเชื่อมโยงความหมายซับซ้อนกว่าที่เราคิด

ทุกวันนี้ที่เวลาเราคุยกับ AI แล้วมันดูโง่ๆ ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเรา เพราะมันยังไม่ค่อยเข้าใจภาษาคนที่เราใช้พูดคุยกันในชีวิตประจำวันจริงๆ เท่าไหร่

เราเลยต้องใช้การพิมพ์เป็นคำๆ เพื่อให้มันเข้าใจได้ง่ายขึ้น ว่าเราต้องการอะไร เช่น “ร้านอาหารอร่อย หัวหิน ติดทะเล” AI ถึงจะไปวิ่งหาคำตอบหรือลิงก์มาให้ว่า มีบทความไหนที่ตรงกับร้านอร่อยในพื้นที่ที่เราต้องการบ้าง และต้องมีคำว่าติดทะเล หรือใกล้ทะเล อยู่ในบทความนั้นด้วยนะ

แต่เมื่อ AI เข้าใจภาษาคน เราก็อาจจะเปลี่ยนวิธีการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใหม่ เราอาจจะพิมพ์หรือพูดไปตรงๆ เหมือนเราคุยกับเพื่อนคนหนึ่งว่า “ช่วยแนะนำร้านอาหารติดทะเลหัวหินให้หน่อย” หรือ “ที่หัวหินมีร้านอาหารติดทะเลที่ไหนน่าไปบ้าง”

แล้วเราก็จะได้คำตอบออกมา ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วในวันนี้ นั่นก็คือเทคโนโลยี ChatGPT ของ OpenAI ครับ

กระแส ChatGPT บูมมากตอนปลายปี 2022 มันคือการปฏิวัติการทำงานใหม่ของมนุษย์เรา เราอยากรู้อะไรแค่พิมพ์ถาม หรือจะพูดถามก็ได้นะ และมันก็จะหาคำตอบมาให้เรา เปรียบเสมือนกับเรามีผู้ช่วยจริงๆ ที่พร้อมจะตอบทุกสิ่งที่เราอยากรู้ตลอด 24 ชั่วโมง

นั่นหมายความว่าเทคโนโลยี AI GPT จะเข้ามาแทนที่คนทำงานง่ายๆ แบบที่ไม่ต้องใช้ทักษะหรือการวิเคราะห์อะไรมาก ก็ในเมื่อ AI สามารถรวบรวมข้อมูลแล้วสรุปให้เราได้ทันที แล้วเราจะต้องจ้างคนมากมายไปทำไม

คิดถึงภาพยนต์เรื่อง HER ก็ได้ครับ นั่นคืออนาคตของ AI แบบ Personal Assistant Intelligence ที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด เราแค่ต้องมีหูฟัง เราแค่ต้องพูด เราแค่ต้องฟัง เราแค่ต้องมีหน้าจอเพื่อรับข้อมูลประเภทภาพ เราแค่ต้องมีกล้องสักอันให้ AI เห็นภาพตรงหน้าที่เราต้องการรู้ด้วย

มันก็คือโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งวันนี้ กับหูฟังบลูทูธดีๆ สักอัน

AI อาจไม่จำเป็นต้องมีร่างกาย ขอแค่เข้าใจสิ่งที่เราต้องการสื่อ และสามารถสื่อสารเราได้ เท่านี้ก็เพียงพอจะยกระดับชีวิตมนุษยชาติทั้งหมด ให้เราเข้าสู่ยุค AI-Driven Everything ที่แท้จริง

ถ้าถามว่าเทคโนโลยี AI เป็นเรื่องใหม่ไหม? ตอบได้เลยว่า “ไม่ครับ”

เพราะแนวคิดเทคโนโลยีนี้นั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ 60-70 ปีก่อนแล้ว

เพียงแต่ในอดีตตอนที่มีผู้คิดได้ วันนั้นเทคโนโลยีการเก็บข้อมูล จำนวนข้อมูล และความสามารถในการประมวลผลยังไม่ก้าวหน้า แต่ไม่ถึงสิบปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีทั้งสามอย่างที่เป็นหัวใจของ AI นั้นก้าวหน้าไปมากจนทำให้คอนเซปหรือแนวคิดเรื่อง AI เกิดขึ้นจริงและจับต้องได้ในชีวิตประจำวันเรามากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็น Deep Learning การป้อนข้อมูลเข้าไปเยอะๆ แล้วปล่อยให้ AI หรือ Machine เรียนรู้ด้วยตัวเอง จากเดิมต้องคอยเขียน Algorith หรือบอก AI ให้รู้ว่าอะไรคืออะไร และจะต้องทำงานยังไง ก็มาสู่การปล่อยให้มันเรียนรู้เอง และทำงานเอง มนุษย์มีหน้าที่เป็น Supervisor ให้ AI ทำงานได้ดีขึ้นเท่านั้นพอ

AI กับ Marketing และ Business

แนวคิดการตลาดแบบ Data-Driven Marketing หรือ Personalized Marketing ก็มีมานานแล้ว ส่วนหนึ่งมันก็คือแนวคิดแบบ Customer Centric ที่เอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ให้ความสำคัญลูกค้าที่สุด

ต้องรู้จักแบ่งกลุ่มลูกค้าออกมาเป็น Segment ต่างๆ หรือการวิเคราะห์หาลูกค้าชั้นดี ออกจากลูกค้าทั่วไปด้วย RFM model

แนวคิดเหล่านี้มีมานานมาก เพียงแต่เพิ่งจะใช้ได้จริงเข้าถึงได้ง่ายก็เมื่อไม่นานมานี้เท่านั้นเอง

เมื่อก่อนการจะดูแลลูกค้าให้ดี สร้าง Customer Experience ดีๆ ได้มีแต่ Luxury Brand เท่านั้น เพราะต้องใช้คนจำนวนมาก ใช้ความใส่ใจแบบสุดๆ แต่วันนี้เรามีเทคโนโลยี AI มาช่วยจดจำลูกค้า มาช่วยวิเคราะห์ลูกค้า และก็มาช่วยทำการตลาดให้เราแบบอัตโนมัติ Marketing Automation ตามที่เรากำหนดวิธีการและกลยุทธ์ไว้ก่อนหน้าครับ

Data & Privacy

อีกแง่มุมหนึ่งของหนังสือ AI 2041 เล่มนี้ที่น่าสนใจคือ Data ของเราเป็นของใคร? สิทธิในการเป็นเจ้าของข้อมูลอยู่ตรงไหน? แล้วถ้าเราไม่ยอมปล่อยให้บริษัทหรือองค์กรนั้นเข้าถึงดาต้าของเรา เราจะถูกตัดสิทธิ์หรือถูกปฏิเสธการให้บริการเลยหรือเปล่า?

หรือแม้แต่ถ้าเราเป็นเด็ก หรือผู้เยาว์ พ่อแม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจเรื่อง Personal Data ของเราจนถึงเมื่อไหร่? แล้วถ้าเราโตขึ้นหละ เราจะมีสิทธิ์กลับไปแก้ไขสิทธิ์ในดาต้าของเราจากการตัดสินใจของพ่อแม่ถ้าเราไม่เห็นด้วยได้หรือไม่?

และนี่ก็จะเป็นโจทย์ของนักการตลาดว่า เราจะทำอย่างไรให้ลูกค้าอยากมอบดาต้ากับเราด้วยความเต็มใจจริงๆ

Creativity-Driven Data ก่อนจะ Data-Driven Marketing

หรือแม้แต่การกำหนด AI ให้กระตุ้นเรามีพฤติกรรมที่ดีขึ้นได้ไหม?

จากเดิม AI จะทำการ Recommendation ตามผู้สร้าง ซึ่งก็หนีไม่พ้นนักการตลาด ฝั่งธุรกิจ หรือหน่วยงานองค์กรต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพวกเขามากกว่าเรา

เช่น ส่ง Notification กระตุ้นให้เราช้อปปิ้งเพิ่มเมื่อมีสินค้าใหม่มา กระตุ้นหลอกล่อเราด้วยคูปองส่วนลดแบบหลอกๆ ที่ทำเป็นบอกว่าถ้าไม่ใช้จะหมดสิทธิ์แล้วนะ

มันคงจะดีขึ้นถ้าเราสามารถกำหนดให้ AI ชี้นำเราไปในทางที่ดีต่อตัวเรา และเราสามารถกำหนดด้วยตัวเองได้ง่ายๆ

เช่น ถ้าผมรู้สึกว่าผมอยากอ่านหนังสือให้มากขึ้น อ่านบทความการตลาดให้มากขึ้น ผมสามารถสั่ง AI ให้ค่อยๆ ชักจูงให้ผมเป็นคนแบบนั้นได้ไหม ด้วยการคัดฟีดคอนเทนต์ประเภทเนื้อหาการตลาดเสริมเข้ามาแทน อะไรแบบนี้เป็นต้น

4. VR / AR / MR และ XR กับ AI Avatar เพื่อนสนิท

ในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะมี AI Avatar เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กจนโต ที่สำคัญคือเราน่าจะสามารถสร้างและออกแบบ AI Avatar ของเราได้เองดังใจ ส่วนพ่อแม่อาจเข้ามาร่วมกำหนดเป้าหมายว่าอยากให้เจ้า AI Avatar ตัวนั้นสร้างพฤติกรรมแบบไหนให้ลูก

ซึ่งเจ้า AI Avatar อาจทำหน้าที่เสมือนพี่เลี้ยง หรือแพทย์พัฒนาการเด็กไปในตัวพร้อมกัน เพราะมันจะเก็บข้อมูลเด็กคนนั้นตลอดเวลา สามารถบอกได้ว่าเด็กคนนี้มีความสนใจอะไร มีพัฒนาการไปในทิศทางไหน และสามารถแนะนำได้ว่าควรให้เพิ่มทักษะหรือสกิลอะไร ถ้าอยากมีอนาคตที่สดใสกว่าคนอื่น

ไม่ต้องรอคุณครูมาคอยสรุปให้เทอมละครั้ง ก็ให้ AI Avatar นี่แหละคอยอัพเดททุกวันแบบ Real-time มันไปเลย

5. Autonomous Car รถไร้คันขับ หรือมีคนขับให้ผ่านอินเทอร์เน็ต

Autonomous Car หรือรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ต้องใช้คนขับ หรือไม่ต้องให้คนขับ นั่นคือสิ่งที่เริ่มเกิดขึ้นแล้วในวันนี้ และจะถูกนำไปใช้งานเต็มที่ในอนาคตอันใกล้ ถ้าคิดไม่ออกก็คิดถึง Autopilot ใน Tesla ก็ได้ครับ ที่เป็นตัวจุดกระแสเรื่องนี้ในวงกว้าง ให้เห็นว่ารถยนต์ที่สามารถขับเองได้ระดับหนึ่งนั้นสามารถใช้งานบนถนนได้จริง

แต่ระบบ Autopilot ใน Tesla เอาเข้าจริงก็ยังไม่สามารถขับเคลื่อนเองได้อัตโนมัติอย่างเต็มที่ มันทำได้แค่ประคองรถยนต์ให้อยู่ในเลน จากนั้นก็รักษาความเร็วไว้ตามที่เราตั้งไว้ และรักษาระยะห่างให้ไม่ชนคันข้างหน้าด้วย

นั่นหมายความว่าถ้าคันหน้าขับช้ากว่าความเร็วที่เราตั้งไว้ มันก็จะลดระดับความเร็วให้สัมพันธ์กับคันหน้า และเผื่อระยะห่างในการเบรกจากคันหน้าอีกด้วย

แต่ถ้าเป็นระบบการขับเองที่เหนือกว่านี้ของ Tesla จะเรียกว่า Full Self Driving ระบบขับเคลื่อนเองอัตโนมัติ แต่เรายังไม่สามารถหลับได้นะครับ เพราะระบบยังต้องการให้เราพร้อมเข้าควบคุมในกรณีฉุกเฉินตลอดเวลา

แต่ระบบนี้จะแซงรถยนต์คันหน้าให้ถ้าขับช้าและมีจังหวะในการแซง ลองดูจากคลิปนี้ได้ครับ

แต่ในหนังสือ AI 2041 เล่มนี้ยังฉายอีกภาพหนึ่งของรถยนต์ขับเองได้ในอนาคตที่ผมคิดไม่ถึงเหมือนกัน

นั่นคือในสถานการณ์ฉุกเฉินมากๆ ที่ AI ไม่สามารถขับรถให้เราได้ และรถยนต์ก็ไม่มีพวงมาลัยไปเรียบร้อยแล้ว เราจำเป็นต้องให้มนุษย์อีกคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่บนรถ แต่อยู่ในห้องสักห้อง ตึกสักตึกของบริษัทหนึ่ง เข้ามาขับรถให้เราผ่านพวงมาลัยแบบจอยเกม ผ่านหน้าจอที่ครอบหัวแบบแว่น VR เพื่อให้เห็นภาพได้เสมือนกำลังขับรถคันนั้นจริงๆ

และการควบคุมก็จะเกิดขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ตแบบ Real-time ที่แทบไม่เกิดการ Delay ขึ้นแต่อย่างไร เหมือนกับการขับ Drone ทางการทหารในปัจจุบันที่เราเห็นในหนังสงครามล้ำๆ นั่นแหละครับ

ภายใต้รถยนต์ไร้คนขับ ก็จะเกิดอาชีพใหม่ที่เป็นคนขับรถไร้คนขับในสถานการณ์ฉุกเฉินให้กับลูกค้าทั่วโลกอีกทีนึง

แน่นอนว่าสถานการณ์พวกนั้นต้องเต็มไปด้วยความเครียด ความกดดันมหาศาล ไม่อย่างนั้น AI คงทำงานได้ตามปกติ และนั่นก็หมายถึงค่าตอบแทนที่ต้องไม่ธรรมดาจริงๆ

ดูเหมือนว่าอนาคตการทำงานยุค AI จะไม่ค่อยมีงานธรรมดาบ้านๆ เหลือให้คนทั่วไปสักเท่าไหร่ครับ

สรุปหนังสือ AI 2041 10 เรื่องเล่าเทคโนโลยี AI แห่งอนาคต

สรุปหนังสือ AI 2041 10 เรื่องเล่าเทคโนโลยี AI แห่งอนาคต Kai-Fu Lee และ Chen Qiufan เขียน สำนักพิมพ์ Bingo แล้วจะเข้าใจ AI Disruption

ถ้าอยากรู้ว่าอนาคตเราจะใช้ชีวิตอย่างไร AI จะก้าวเข้ามาในส่วนไหนของชีวิตเราบ้าง สังคมเราจะเปลี่ยนไปทิศทางไหน หนังสือเล่มนี้พอจะฉายภาพให้เห็นว่าเทคโนโลยี AI จะเข้ามา Disrupt อะไรมนุษยชาติบ้างครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 44 ของปี 2022

สรุปหนังสือ AI 2041
10 เรื่องเล่าเทคโนโลยี AI แห่งอนาคต
Kai-Fu Lee และ Chen Qiufan เขียน
สำนักพิมพ์ Bingo

อ่านสรุปหนังสือแนว AI ในอ่านแล้วเล่าต่อ > https://www.summaread.net/category/ai/

สั่งซื้อออนไลน์ > https://readery.co/9786168109373

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/