Big Data ดัดจริต

สรุปหนังสือ แบบสั้นๆเข้ากับสุภาษิตไทยว่า “ปากไม่ตรงกันใจ” เพราะคนเรามักถามอย่างตอบอย่าง ต่อให้เป็นการทำแบบสอบถามแบบปกปิดชื่อก็ยังไม่ค่อยอยากจะตอบความจริงกันเลย แต่สิ่งเดียวที่เรายอมบอกความจริงทุกอย่าง จนแม้แต่มันไม่ได้ถามเราก็อยากจะบอกเพื่อเอาคำตอบจากมัน นั่นก็คือ Google ตั้งแต่ Google ถือกำเนิดขึ้น มนุษย์ทุกผู้คนก็ไม่เคยปิดบังความจริงอะไรจากกูเกิลเลย และทั้งหมดที่เราบอกกับกูเกิลหรือช่องเสริชของเว็บต่างๆ ก็ถูกรวบรวมเอามาตีแผ่พฤติกรรมอีกด้านของมนุษย์ที่เราคาดไม่ถึง แน่นอนว่าคาดไม่ถึงเพราะโดยเฉพาะในเรื่องรสนิยมทางเพศ ที่คราวนี้จะถูกเอามาแฉผ่าน Big Data จะแค่ Data หรือ Big Data ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า Data นั้นบอกอะไรที่สำคัญหรือไม่ เพราะ Big Data…

Futuration เปลี่ยนปัจจุบันทันอนาคต

หนังสือเล่มนี้สรุปภาพอนาคตจากสิ่งที่เป็นในวันนี้ บวกกับการคาดการณ์จากความรู้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่หลากหลายของผู้เขียน ดร. สันติธาร เสถียรไทย ชายผู้ใช้คำว่า “อิจฉริยะ” ก็น่าจะน้อยไป แต่ขอโทษด้วยเพราะผมไม่สามารถหาคำไหนที่ดีกว่านี้ได้ในตอนนี้ ถ้าใครสนใจใคร่รู้ว่าในอนาคตอันใกล้จะเกิดอะไรขึ้น ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ และถ้าใครสนใจว่าอนาคตที่ไกลออกไปจะมีรูปร่างหน้าตาประมาณไหน ก็ไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้ หนังสือเล่มนี้ทำให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น รวมถึงจะมีอะไรบ้างที่จะดับสูญหายไปตามกาลเวลา เพราะสิ่งที่แน่นอนคือความไม่แน่นอน นี่ไม่ใช่แค่หลักธรรมของพุทธ แต่เป็นสัจธรรมของจักรวาล ขนาดดาวฤกษ์ดวงใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ยังดับสูญสลายหายไปเป็นหลุมดำได้ นับประสาอะไรกับเศษเสี้ยวฝุ่นธุลีเล็กๆเช่นมนุษย์เรา ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาบทสรุปของหนังสือเล่มนี้ ขอผมเล่าให้คุณฟังหน่อยว่า ดร. สันติธาร เสถียรไทย คนนี้เป็นใคร ทำไมเค้าถึงคาดการณ์อนาคตได้น่าสนใจขนาดนั้นครับ…

21 Lessons for the 21st Century 21 บทเรียนสำหรับศตวรรษที่ 21

ชีวิตในศตวรรษนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเลยนะครับ และถ้าคุณคิดว่ามันยากแล้วที่จะใช้ชีวิตในศตวรรษนี้ แต่เหมือนว่าความเป็นจริงที่น่าจะเกิดขึ้นนั้นกลับยากยิ่งกว่าจะจินตนาการไหว จนผมคิดว่าที่คิดๆกันว่า “ยาก” อยู่แล้วนั้นอาจจะกลายเป็น “ง่ายไปเลย” เมื่อเจอกับความน่าจะเป็นที่จะถาโถมเข้ามาดุจพายุทั้งหลายด้านพร้อมๆกัน หนังสือเล่มนี้บอกถึง 21 สิ่งสำคัญที่น่าจะเกิดขึ้นในศตวรรษนี้ ในศตวรรษที่เราส่วนใหญ่จะมีอายุยืนกว่าคนในวันนี้มาก หรือเอาง่ายๆว่าถ้าค่าเฉลี่ยของอายุคนในวันนี้อยู่ที่ 70 กว่าปี แต่เด็กที่เกิดตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นไปน่าจะอายุยืนกันถึง 100 ปีเป็นเรื่องปกติ แล้วเมื่อเราอายุยืนขึ้นแต่การใช้ชีวิตกลับยิ่งยากขึ้นอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ แต่หนังสือเล่มนี้ก็พอให้แนวทางที่น่าสนใจและก็มีความเป็นไปได้ไม่มากก็น้อยที่ให้เราได้เตรียมตัวรู้เพื่อจะรับมือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น หรือถ้าไม่เกิดขึ้นก็ถือว่าโชคดีเสียด้วยซ้ำ ผมว่าหนังสือเล่มนี้ถ้าคุณได้อ่านหนังสือ “ทางรอดในโลกใบใหม่ แห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ของ Klaus Schwab”…

Mostly Cloudy มีเมฆเป็นส่วนมาก

แม้จะผ่านมา 3 ปี หนังสือเล่มนี้ก็ยังไม่เก่า น่าแปลกใจทั้งๆที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ก็ยังคงความสดใหม่ในแก่นที่จะสื่อ หรือเพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพรียวๆ แต่เป็นการหยิบเทคโนโลยีใหม่ๆในตอนนั้นมาเล่าในมุมมองของมนุษย์ ในวิถีของพฤติกรรม หรือในชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไปและกำลังจะเปลี่ยนแปลงซะมากกว่า สารภาพตรงๆตอนเริ่มอ่านคำนำว่า หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2015 และเป็นเรื่องราวข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยี เพราะจากชื่อหนังสือที่ตั้งใจสื่อไปถึงระบบ cloud ที่กำลังมาในตอนนั้น ผมกลับใจเสียนิดๆว่า “นี่เรากำลังจะอ่านเรื่องเก่าๆหรอนี่ แล้วมันจะน่าสนใจหรือนั่น” แต่เมื่ออ่านจบก็อย่างที่บอกไปในย่อหน้าแรกว่า เออ น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ด้วยข่าวคราวหรือเนื้อหาที่ไม่เคยรู้ แต่ยังรวมถึงมุมมองในเรื่องเดิมๆที่เคยรู้ด้วย เช่น ในยุคที่ความไม่สวยคือความงามที่คนออนไลน์ยอมรับได้สมัยก่อนถ้าการ์ตูนอะไรซักอย่างจะดังได้ ต้องมีความสวยงามด้วยตาไม่น้อยเลย แต่กับทุกวันนี้สิ่งที่ไม่สวยงามอย่างลายเส้นเขี่ยๆ ก็กลายเป็นอะไรที่คนส่วนมากยอมรับกัน…

WAKE ME UP WHEN NOW ENDS ลืมตาในอนาคต

ชื่อหนังสืออาจฟังดูย้อนแย้ง แต่เนื้อหาในเล่มนั้นเข้าใจง่ายกว่านั้นเยอะ เป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยบทความเกี่ยวกับ เทคโนโลยี ที่ฟังดูเหมือนล้ำยุคหลุดมาจากหนัง Sci-fi แต่ในความเป็นจริงมันเกิดขึ้นแล้ววันนี้ ในโลกของเรา แค่มันยังมาไม่ถึงเราโดยตรง ไม่ได้หมายความว่ามันยังไม่เกิดขึ้นจริง ถ้าคนที่มาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ที่พอคุ้นกับหนังเรื่อง Minority Report หนังตำรวจล้ำยุคที่สามารถรู้ได้ว่าใครกำลังจะก่อคดีหรืออาชญากรรม แล้วสามารถจับกุมได้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริง ดูล้ำเหลือเชื่อเหมือนจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ เมื่อหลายสิบปีก่อนจนถึงตอนนี้ แต่ในวันนี้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นมานานนับสิบปีแล้วด้วย กรมตำรวจในบางรัฐในอเมริกามีโปรแกรมที่สามารถคาดเดาได้ว่าพื้นที่ไหนน่าจะเกิดอาชญากรรมขึ้น แล้วก็ส่งตำรวจเข้าไปดูแลพื้นที่นั้นทันที จนสามารถทำให้อัตราการเกิดอาชญากรรมลดต่ำลงอย่างมาก เห็นมั้ยครับว่าอนาคตที่ว่านั้นไม่ได้ไกลจากวันนี้เลย หลายๆเรื่องที่เราคิดว่าเป็นเรื่องในอนาคตนั้นปรากฏขึ้นมากมาย แค่มันยังไม่ได้อยู่ไกล้ตัวหรือให้เรารู้เท่านั้นเอง งั้นผมขอหยิบสองสามเรื่องในเล่มที่ผมเห็นว่าน่าสนใจเอามาเล่าแบบสรุปสู่กันฟัง เพื่อว่าคุณอยากจะไปหาซื้อมาอ่านเต็มๆดูเพื่อรู้จักอนาคตในปัจจุบันให้มากขึ้น Majority Illusion…

BIG DATA SERIES II คิดแบบนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล

สรุปอย่างย่อ เป็นหนังสือที่ให้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นกว่าเริ่มแรกมากในความคิดผม ว่าการจะทำโปรเจค Big data นั้นต้องทำอย่างไร และประกอบด้วยอะไรบ้าง โดยเฉพาะการเจาะลึกไปยังด้าน Data Scientist ตามชื่อหนังสือเลย เพราะในเล่มจะประกอบด้วยโมเดลการคิดและสมการแบบต่างๆ ที่ถ้าเป็นคนที่ไม่มีความรู้พื้นฐานด้านคณิตศาสตร์หรือการวิเคราะห์ข้อมูลมาอาจเมาได้(แบบผม) ดังนั้น ถ้าใครกำลังจะเริ่มทำโปรเจคเกี่ยวกับ Big Data แต่ยังไม่รู้ว่าต้องรู้อะไรบ้าง หรือทำไปแล้ว และอยากจะหาแนวทางเปรียบเทียบการทำงาน ผมกล้าแนะนำหนังสือเล่มนี้เลย แต่ถ้าคุณเป็นคนทั่วไป ที่พอรู้เรื่อง digital หรือ data มาบ้าง ผมไม่ค่อยกล้าแนะนำเล่มที่ 2 นี้เท่าไหร่…

รู้อะไรไม่สู้รู้ดาต้า DATA FOR THE PEOPLE

สรุปอย่างย่อ นี่คือหนังสือที่จะทำให้คุณเข้าใจ data มากขึ้นในหลายมิติ คุณจะพบว่า data มากมายรอบตัวนั้นเกี่ยวพันกับชีวิตเราอย่างแยกไม่ออกแล้ว และ data ในอดีตของเรานั้นกลับเป็นตัวชี้น้ำ data ในอนาคตเรามากขึ้นทุกที หรือจะอนุมานว่า data นั้นเปรียบเสมือนดาบสองคมก็ว่าได้ ขึ้นอยู่กับคนที่มีเอาไปใช้ยังไง แต่ส่วนใหญ่วันนี้มักเอาไปใช้ไม่ค่อยดี เช่น ปากบอกว่าเพื่อให้บริการเราได้ดียิ่งขึ้น แต่ความจริงแล้วกลับหลอกล่อให้เราคลิ๊กซื้ออะไรที่ไม่จำเป็นมากขึ้นต่างหาก ฉะนั้น ใครที่อยากรู้เท่าทัน data ไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้ ดีไม่ดีอ่านจบคุณอาจจะอยากลบข้อมูลทุกอย่างบนโซเชียล แล้วก็เลิกออนไลน์ไปออกธุดงเลยก็ได้ครับ สรุปแบบยาว ในยุคดิจิทัลที่ไม่ว่าใครก็ใช้สมาร์ทโฟนกันทั้งนั้น คนไทยเกือบ 50…

Rise of The Robots หุ่นยนต์ผงาด เทคโนโลยี และภัยแห่งอนาคตที่ไร้งาน

สรุปอย่างสั้น เมื่อเทคโนโลยีอย่างหุ่นยนต์ ไม่ว่าจะในรูปแบบที่มีตัวตนจริงๆที่จับต้องได้ หรืออาจจะเป็นแค่ระบบที่จับต้องไม่ได้อย่าง AI ก็ตาม กำลังจะเข้ามาปฏิวัติชีวิตเราทุกคนบนโลกที่เกี่ยวข้องกับระบบ “ตลาด” อย่างไม่อาจจะต้านทานได้ การเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีหุ่นยนต์ครั้งนี้จะรุ่นแรงยิ่งกว่าเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างคอมพิวเตอร์ หรือเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตไปอย่างเทียบกันไม่ได้ ลองคิดดูซิว่าตอนที่คอมพิวเตอร์เริ่มกลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำนักงาน ก็ทำเอาผู้ใหญ่หลายคนในตอนนั้นต้องปรับตัวเรียนรู้ใหม่มากขนาดไหนกว่าจะลงตัว หรืออย่างตอนที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึงทุกหย่อมหญ้าด้วยพลังของสมาร์ทโฟนราคาถูก ที่ทำให้การเข้าถึงข้อมูลบนออนไลน์นั้นเป็นเรื่องง่ายที่คนรุ่นปู่ย่าก็ทำได้ จนขาดไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ การปฏิวัติหุ่นยนต์นี้ถ้าจะเรียกว่าการปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่เป็นเรื่องของ Big Data, Machine Learning และ AI หรือที่เรียกรวมๆได้ว่า “ระบบอัตโนมัติ” ก็ได้ครับ แล้วเจ้าระบบอัตโนมัตินี่แหละที่จากที่เคยเอามาทดแทนแรงงานแบบทำซ้ำได้ เช่น การผลิตรถยนต์ทุกวันนี้แทบจะไม่ต้องใช้คนงานเท่าสมัยก่อนอย่างเทียบไม่ได้ เพราะสามารถใช้หุ่นยนต์ในการทำงานซ้ำๆที่แน่นอนเหล่านั้นได้รวดเร็วและแทบไม่มีความผิดพลาดเลย…

บิ๊กดาต้า มหาประลัย Weapons of Math Destruction

จะทำอย่างไรเมื่อชะตาชีวิตต้องถูกกำหนดโดยคณิตศาสตร์ หรือจะมองว่า Algorithm เป็นดั่งลิขิตสวรรค์ในยุคดิจิทัลก็ว่าได้ นี่คือหนังสือที่ไม่ได้ขู่ให้คุณกลัวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์สมัยนี้ แต่จะสอนให้คุณรู้เท่าทันและพยายามรวมตัวกันเรียกร้องให้เกิดความเป็นธรรมใน code โปรแกรมแต่ละบรรทัดที่กำลังกำกับวิถีชีวิตเราแทบทั้งหมดอยู่โดยไม่รู้ตัว คุณรู้มั้ยครับว่าเวลาเราเสริชหาคำซักคำบน Google แม้จะเป็นคำเดียวกันเป๊ะๆแต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะแตกต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ สมมติว่าคุณเป็นนักธุรกิจที่รักการลงทุน ส่วนผมเป็นนักกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ถ้าเราทั้งคู่เสริชหาคำว่า “บริษัทน้ำมัน” เหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ของคุณกับผมจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คุณน่าจะพบกับเว็บที่แนะนำการลงทุนในบริษัทน้ำมันที่น่าสนใจ และก็จะเจอกับข่าวคราวผลกำไรของบริษัทน้ำมันต่างๆ ส่วนผมที่เป็นนักกิจกรรมน่ะหรอครับ ก็จะเจอแต่ข่าวฉาวของบริษัทน้ำมันทั้งหลายว่าไปรั่วที่ไหน และทำให้สัตว์อะไรต้องสูญพันธ์ไปแล้วบ้าง นี่คือสิ่งทีเรียกว่าภาวะ “Filter Bubble” ในยุคดิจิทัลครับ นั่นหมายความว่าชะตาชีวิตเราในวันนี้ถูกกำหนดโดยโปรแกรมเมอร์และบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านข้อมูลเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะ facebook, google…