สรุปหนังสือ เมื่อโลกเสียงดังเกินไป Calm in the Chaos รวิศ หาญอุตสาหะ เขียน สำนักพิมพ์ Mission to the Moon บทเรียนแง่คิดการใช้ชีวิตและธุรกิจ

สรุปหนังสือเมื่อโลกเสียงดังเกินไป Calm in the Chaos เล่มล่าสุดของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ หนังสือที่ไม่ได้เน้นเรื่องการตลาดหรือธุรกิจอย่างเดิมแต่อย่างไร แต่เน้นกลับมาที่การเข้าใจชีวิตมากขึ้น ด้วยวิกฤตโควิด19 ทำให้โลกต้องหยุดชะงักลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนร่วมปี

พอจะกลับมาเดินเครื่องก็มีติด ๆ ดับ ๆ จากการระบาดของสายพันธุ์ใหม่อยู่หลายระลอก ผมเชื่อว่านั่นคงเป็นเหตุผลให้เราหลายคนรวมถึงคุณรวิศ หาญอุตสาหะ CEO แบรนด์ศรีจันทร์ ได้กลับมาตระหนักคิดทบทวนหลากหลายแง่มุมในชีวิตและธุรกิจขึ้นมา

ลองมาดูกันนะครับว่าจุดไหนในหนังสือเล่มนี้ที่ผมไฮไลท์เป็นพิเศษ จนอยากหยิบมาเล่าสู่กันฟัง

อย่าฟังให้มาก แต่ทำให้เยอะ

เป็นเรื่องราวในบทที่ 1 หากชีวิตคุณกำลังท่วมท้นล้นเกิน เป็นเรื่องราวที่คุณรวิศอยากลองวิ่งระยะมาราธอนโดยไม่ได้ลงแข่งมาราธอนว่าจะสามารถวิ่งได้ระยะนั้นด้วยแรงใจเป็นหลักได้ไหม

ในที่สุดก็ทำได้ ตอนที่วิ่งแตะ 42 กิโลเมตร ก็เหลืออีกแค่ 200 เมตร ถึงจะครบระยะวิ่งมาราธอน 42.2 กิโลเมตร

พอวิ่งเสร็จคุณรวิศโพสลงโซเชียลมีเดียของตัวเอง แรก ๆ ก็มีคนมาโพสยินดีร่วมดีใจ สักพักก็เริ่มเจอโพสที่ออกแนวติติงว่าไม่ควรทำแบบนี้เพราะมันอันตรายมาก

การจะวิ่งมาราธอนนั้นต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่นึกจะวิ่งก็วิ่ง เท่าที่อ่านจับใจความดูเจ้าตัวก็เหวอไม่น้อย

บทแรกเปิดหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมคิดว่า บางครั้งถ้าเราฟังมากไป เราอาจจะมัวแต่หยุดฟังจนไม่ได้ลงมือทำสักที แต่ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราเอาแต่ลงมือทำโดยไม่ได้ฟังอะไรบ้าง มันก็อาจเกิดผลเสียใหญ่หลวงมากในแบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน

แต่สำหรับผมคงเลือกลงมือทำดูก่อน ถ้าไม่ไหวก็หยุด ไม่รอให้ถึงขึ้นสาหัสแล้วค่อยหยุด ทั้งกับการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตควบคู่กัน

สำหรับธุรกิจถ้าคิดจะทำอะไร อยากทำอะไร ก็จะลองลงมือทำเลย แต่เริ่มจากการทำเล็ก ๆ เพื่อดูลู่ทางเก็บดาต้าว่าควรไปต่อหรือพอแค่นี้ กับการใช้ชีวิตก็เช่นกัน อะไรที่ดูเหมือนเสี่ยงสำหรับผมคือสิ่งที่ผมประเมินแล้วว่ารับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ถ้ารับไม่ได้จะไม่ทำ เรียกว่าต่อให้เสี่ยงก็เสี่ยงแบบเซฟ ๆ

ส่วนตัวก็เคยเป็นอยากลองวิ่งเกินลิมิตตัวเอง แต่ไม่ถึงขั้นวิ่งมาราธอนนะครับ สมัยก่อนวิ่งวันละ 10 กิโลเมตรเป็นประจำ วันนึงเกิดฟิตอยากลองไปให้สุด จนพบว่าไหวเจียนตายแค่ 15 กิโลเมตร ผลคือวันถัดมาไม่สบายไข้ขึ้น เหมือนกับใช้ร่างกายหนักไปหน่อย

แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่า เราควรขยับไปที่ 12 ก่อนรอบหน้า แล้วค่อยไล่ไป 13 14 15 หรือจนถึง 21.1 กิโลเมตร ที่เป็นระยะฮาร์ฟมาราธอนก็ได้

Art to Say No

เชื่อไหมครับว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าปฏิเสธ จะด้วยความเกรงใจหรือเกรงกลัวก็แล้วแต่ ส่งผลให้เราต้องเสียเวลากับเรื่องที่ไม่ใช่ หรือไม่สลักสำคัญในชีวิตไปเยอะเกินไป

ในบทที่ 3 ความหมายที่แท้จริงของความสนุก ในหนังสือเล่มนี้ก็มีข้อหนึ่งที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้ ถ้าไม่แน่ใจจริงอย่าตอบตกลง เพราะก่อนพูดเราเป็นนายมัน แต่ถ้าเราพูดไปแล้วมันกลายเป็นนายเรา

เพราะถ้าเราตกปากรับคำไปแต่ทำไม่ได้ มองเผิน ๆ อาจไม่เป็นไร แต่ถ้ามองไกล ๆ นั่นคือการลดทอนความน่าเชื่อถือของตัวเอง หรือต่อให้เราตกปากรับคำมาแล้วทำสำเร็จได้ตามที่ตกลงก็จริง แต่กลับไม่สามารถทำสิ่งนั้นให้ดีมากพอจนอีกฝ่ายประทับใจได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการรับปากแล้วทำไม่ได้ครับ

ส่วนตัวผมเองได้เรียนรู้เรื่องนี้ตอนเริ่มเข้าวัยสามสิบต้น ๆ ตอนที่เริ่มขยับมาเป็นเจ้าคนนายคน หรือตอนที่เป็นผู้บริหารหัวหน้าทีมหนึ่งในบริษัทสุดท้ายก่อนจะออกมาเปิดบริษัทตัวเอง ผมเริ่มปฏิเสธหัวหน้าทีมอื่นที่มาขอความช่วยเหลือบ่อยขึ้น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธแบบดื้อแพ่งนะครับ แต่ผมมีเหตุผลในการปฏิเสธด้วยการบอกว่าถ้าผมรับปากว่าจะช่วยแล้วทำออกมาได้ไม่ดี สุดท้ายก็ไม่มีใครเลยที่แฮปปี้ สู้รอให้ทำแล้วออกมาดีจะดีกับทุกฝ่ายมากกว่า

แม้อีกฝ่ายจะทำท่าไม่เต็มใจในการยอมรับคำปฏิเสธ แต่ก็ต้องยอมรับเพราะไม่มีเหตุผลที่ดีกว่ามาหักล้าง แม้แต่กับเจ้าของบริษัทในเวลานั้นผมก็ปฏิเสธบางงานด้วยเหตุผลเดียวกัน เพราะเวลาที่ให้มามันกระชั้นเกินไป จนถ้าดันทุรังออกไปขาย มีแต่จะเสียมากกว่าได้ สู้อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่า

แต่ศาสตร์ของการปฏิเสธของผมคือให้เค้าเลือก เช่น ผมจะบอกว่าผมทำให้ได้ในเวลาเท่านั้น แต่ผมไม่สามารถไปพรีเซนต์งานด้วยได้ เพราะผมรู้ว่ามันจะออกมาไม่ดี แต่ผมยินดีจะทำให้และบอกรายละเอียดทุกหน้าให้ไปขายเอง

ง่าย ๆ เท่านี้เลยครับไม่มีอะไรซับซ้อนเลย แค่ทำให้ปัญหาเราเป็นปัญหาเค้า แต่บอกด้วยความจริงใจ สุดท้ายจะเลือกแบบไหนก็มักจะเจอว่าไม่มีใครอยากเลือกอะไรที่ทำให้ตัวเองมีปัญหา

ดังนั้นถ้าอยากประสบความสำเร็จให้เร็วขึ้น ฝึกปฏิเสธให้เป็นนะครับ แรก ๆ จะยากและอึดอัดใจ แต่ผ่านไปสักพักจะง่าย เหมือนที่ผมทำได้สบายในตอนนี้

ไม่มีเวลา หรือยังไม่สำคัญพอจะจัดสรรเวลาให้

ประโยคเต็มที่ผมสกัดใจความออกมาอยู่ท้ายบทที่ 4 ไม่มีใครไม่มีเวลา “ตอนที่เราบอกว่าไม่มีเวลาทำเรื่องไหน แปลว่า เรายังไม่เห็นเรื่องนั้นสำคัญ พอต่างหาก”

จริงนะครับ ผมเองก็เคยเป็น ตอนที่รู้ว่าเรื่องไหนควรทำแต่ก็ยังไม่ลงมือทำมันสักที เช่น การออกกำลังกาย รู้มานานว่าดีและต้องทำ แต่กลับไม่เคยจัดสรรเวลาให้ สุดท้ายพอตัวเองนอนกรนหนัก ๆ จนทำให้ตัวเองนอนไม่ค่อยหลับ หรือแม้แต่กรนจนตัวเองต้องตื่นขึ้นมาก็ตาม ส่งผลต่อเนื่องให้เพลียตอนกลางวัน และก็ส่งผลกระทบต่อการทำงาน สุดท้ายเรื่องการอ้วนเกินเริ่มสำคัญจนทำให้ผมต้องออกกำลังกาย ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน แต่กลับให้ความสำคัญจนต้องลงมือกันเมื่อถึงบริบที่สำคัญจริง ๆ

อย่างตัวผมเองทำเพจการตลาดวันละตอน โพสทุกวัน วันละตอน มานานต่อเนื่อง ณ วันนี้ก็ผ่านปีที่ 6 มาแล้ว หลายคนบอกว่าอยากทำให้ได้แบบผมบ้าง ผมบอกไม่ยากเลย แค่เขียนสิ่งที่รู้แล้วก็แชร์ออกไป แปบ ๆ คุณก็จะเป็นเพจการตลาดที่ดังกว่าผมได้ไม่ยาก เพราะส่วนตัวผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเก่งกาจอะไรกว่าคนอื่นสักเท่าไหร่เลย

หรือเวลาผมโพสประกาศว่ารับนักเขียนเพิ่ม หลายคนส่งข้อความมาทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์ว่าอยากเป็นหนึ่งในนักเขียนของการตลาดวันละตอน พอผมให้โอกาสเขียนก็ทำได้ดีแค่ 3-4 บทความแรก ผ่านไปสักพักจนถึงบทความที่ 10 ก็ชัดเจนว่าร้อยละเกือบร้อยเปอร์เซนต์นั้นบอกว่าไม่มีเวลา หรือความจริงแล้วแค่ยังไม่เห็นว่าเรื่องนี้ที่ทำมันจะส่งผลสำคัญต่อชีวิตอย่างไรมากกว่าครับ

ส่วนตัวผมก็เข้าใจหลักการข้อนี้ดี เวลามีใครบอกผมควรทำโน่นทำนี่ เช่น การทำช่อง YouTube ผมจะไม่ใช้ข้ออ้างว่า ไม่มีเวลา แต่ผมจะใช้คำว่า ยังไม่อิน หรือ ยังไม่เจอแนวทางที่อยากทำในตอนนี้ มันคือการยอมรับตรง ๆ ว่าเรายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นมากพอ

ดังนั้นไม่มีใครหรอกครับที่จะไม่มีเวลาทำเรื่องที่สำคัญ เพียงแค่ว่าเขาคนนั้นยังไม่ได้เห็นว่าสิ่งนั้นสำคัญต่อชีวิตเขาจริง ๆ เท่านั้นเอง

สรุปหนังสือ เมื่อโลกเสียงดังเกินไป Calm in the Chaos รวิศ หาญอุตสาหะ

สรุปหนังสือ เมื่อโลกเสียงดังเกินไป Calm in the Chaos รวิศ หาญอุตสาหะ เขียน สำนักพิมพ์ Mission to the Moon บทเรียนแง่คิดการใช้ชีวิตและธุรกิจ

จริง ๆ ยังมีเนื้อหาดี ๆ ที่ผมพับมุมล่างเก็บไว้กลับมาอ่านอีกหลายหน้า แต่ผมขอเลือกหยิบแค่ 3 ประเด็นหลัก ๆ ที่ทำให้ผมได้หยุดฉุกคิดอ่านดีกว่า ส่วนที่เหลืออยากให้คุณได้ลองหามาอ่านเอง แล้วคุณจะรู้สึกดีที่ได้อ่าน ไม่ว่าจะได้รู้ว่า ก็มีคนคิดแบบนี้เหมือนเรานะ แล้วคนนั้นยังเป็นคนที่มีชื่อเสียงประสบความสำเร็จมากมายอย่างคุณรวิศ

หรือแม้แต่การรู้สึกโชคดีที่ได้อ่านเพื่อจะได้เตรียมพร้อมรับมือในอนาคต เพราะเรื่องเหล่านี้มักเกิดขึ้นกับเราทุกคน โดยเฉพาะคนที่กำลังไต่เต้าสู่เส้นทางความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือแม้แต่ธุรกิจ และใครที่อายุประมาณสามสิบต้น ๆ ผมยิ่งอยากบอกว่าคุณควรอ่านหนังสือเล่มนี้โดยไม่มีข้ออ้างครับ

ยกเว้นว่าคุณจะเห็นว่าชีวิตตัวเองยังไม่ค่อยสำคัญ ถ้าแบบนั้นยังไม่ต้องจัดสรรเวลาเพื่ออ่านหนังสือดีๆ อย่างเล่มนี้ก็ได้

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 14 ของปี 2023

สรุปหนังสือ เมื่อโลกเสียงดังเกินไป Calm in the Chaos รวิศ หาญอุตสาหะ เขียน สำนักพิมพ์ Mission to the Moon บทเรียนแง่คิดการใช้ชีวิตและธุรกิจ

สรุปหนังสือ เมื่อโลกเสียงดังเกินไป Calm in the Chaos
ค้นพบคววามสงบในความวุ่นวาย ค้นพบพลังในวิกฤตท้าทาย และไม่หมดหวังในความเป็นมนุษย์
รวิศ หาญอุตสาหะ เขียน
สำนักพิมพ์ Mission to the Moon

สั่งออนไลน์ที่ลิงก์นี้ : https://shope.ee/5KkUwaqDKM

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/