108 เรื่องที่หญิงไทยควรรู้

เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นอยู่รวมถึงสิทธิของหญิงไทยแต่อดีตให้เราเข้าใจ ว่าแต่ดั้งเดิมแล้วหญิงไทยนั้นมีสิทธิมากมายกว่าหญิงใดในโลก ไม่ว่าจะฝรั่ง จีน แขกชาติใดก็ตาม ที่รู้แล้วจะพาลอิจฉาว่าทำไมหญิงไทยถึงแลดูมีอภิสิทธิ์เหนือชายซะเหลือเกิน จนไม่แน่ใจว่าควรจะเป็นฝ่ายชายหรือไม่ที่ต้องออกมาเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศที่แท้จริง ก่อนจะสรุปต่อขอเล่าถึงผู้เขียนนิดนึงครับ ผู้เขียนคืออาจารย์ธาวิต สุขพานิช ท่านเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ครอบครัวที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นสิบๆปี ถ้าจะบอกว่าท่านเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ก็คงไม่ผิดนัก และนั่นก็เลยเป็นเหตุผลสำคัญที่ออกหนังสือเล่มนี้ เพราะต้องการให้คนทั่วไปได้รู้ว่าสิทธิสตรีที่เรียกร้องกันในวันนี้นั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นการเข้าใจผิดคิดตามฝรั่ง หลงตามราชสำนักจีน(ที่เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง) เพราะสตรีไทยแต่เดิมนั้นแทบจะเรียกได้ว่ามีอภิสิทธิ์จนหญิงทั่วโลกต้องอิจฉา ขนาดหมอฝรั่งบรัดเลย์ชื่อดังที่เคยมาอยู่บางกอกเมื่ออดีตยังอดพูดไม่ได้เลยว่าดีกว่าที่ยุโรปประเทศตนนัก ส่วนหญิงไทยนั้นมีอภิสิทธิ์ยังไง ต้องตกเป็นเสมือนทาสในเรือนเบี้ยถูกชายข่มเหงต่างๆนาๆจริงมั้ย มาครับมา ผมจะสรุปให้ฟังครับ ชางเท้าหน้าคือขี้ข้าช้างเท้าหลัง สุภาษิตแสนคลาสสิคประโยคนี้ที่เรามักเข้าใจกันว่า ผู้ชายคือผู้นำ ส่วนผู้หญิงคือผู้ตามนั้น ผู้เขียนบอกว่าแท้จริงแล้วเราอาจเข้าใจผิด เพราะสังคมไทยนั้นไม่ได้เป็นระบบผู้นำกับผู้ตาม แต่เป็นระบบการปกครองแบบบนลงล่าง…

เซ็กซ์ดึกดำบรรพ์ของบรรพชนไทย

อาจจะเป็นหนังสือที่ดูแปลกในสายตาของคนอื่น โดยเฉพาะคนไกล้ตัวที่สงสัยว่าทำไมผมถึงซื้อเล่มนี้มาอ่าน ก็แหม จะไม่ให้สงสัยได้ยังไงล่ะครับ กิน ขี้ ปี้ นอน มันเป็นเรื่องสามัญในชีวิตประจำวันเราทุกคน (แต่บางเรื่องก็คงทำกันไม่ได้ทุกวันหรอกเนอะ..มั้ง) ผมก็เลยอยากรู้ว่าในสมัยก่อนหรือสมัยโบราณนั้น เรื่องเซ็กซ์(แปลกดีใช้ ซ์ แทน ส์ อย่างที่คุ้นเคยกัน)ของเค้าเป็นอย่างไร และต่างกับคนสมัยนี้มากน้อยแค่ไหน พออ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ถึงกับตาสว่างและน่าประหลาดใจกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เพราะเรื่องเซ็กซ์ในสมัยก่อนย้อนหลังไปเป็นร้อยเป็นพันปีได้นั้น กลับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญออกจะสาธารณะนิดๆกว่าที่คิดเอาไว้ด้วย เช่น การอยู่กินหรือมีเซ็กซ์กันก่อนแต่งในสมัยโบราณนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ผิดกับค่านิยมหรือจารีตของคนสมัยนี้เลยและผู้ชายก็ต้องกลายไปเป็นบ่าวรับใช้ของบ้านฝ่ายหญิง เลยเป็นที่มาขอคำว่า “เจ้าบ่าว” ฝ่ายชายได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานไปเยี่ยงบ่าวรับใช้ จนกว่าพ่อแม่คนในครอบครัวฝ่ายหญิงจะพอใจยอมยกลูกสาวให้เป็นเมีย เรื่องที่ว่านี้ถึงขนาดเป็นกฏหมายในช่วงต้นอยุธยาเมื่อกว่า 500 ปีก่อนมาแล้ว…