สรุปหนังสืออ่านการเมืองไทย เล่ม 2 กัมมทายาโทของสังคมไทย นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียน สำนักพิมพ์ openbooks 14 ปีผ่านไปการเมืองไทยเปลี่ยนไปหรือไม่

สรุปหนังสือชุดอ่านการเมืองไทย เล่มที่ 2 กัมมทายาโทของสังคมไทย เขียนโดยอาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เกริ่นหน้าปกก่อนเข้าเนื้อหาในเล่มก็น่าสนใจ ที่บอกว่า “ทั้งหมดนี้ไม่โทษนักการเมืองสักคนเดียว แต่อยากโทษสังคมไทยทั้งหมด เราล้วนเป็นทายาทของกรรมที่เราก่อไว้เอง”

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 2553 หรือถ้านับเลขปีย้อนไปก็ไม่น้อยกว่า 14 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการเมืองไทยยังไม่ค่อยได้พัฒนาจากเดิมไปเท่าไหร่ ผมขอหยิบบางประเด็นในเล่มที่น่าสนใจมากๆ มาสรุปเล่าให้ฟังกันนะครับว่ามันน่าสนใจอย่างไร

ดูเหมือนชนชั้นนำจะไม่สามารถนำประชาชนคนชั้นกลาง และคนส่วนใหญ่ของประเทศได้อีกต่อไป

เดิมทีชนชั้นนำไม่ว่าจะในถิ่นฐานประเทศไหน ก็ล้วนแต่ใช้วิธีการต้องพยายามหล่อหลอมความคิดชนชั้นที่ต่ำกว่าตัวเองต้องเห็นด้วยคล้อยตาม จึงจะสามารถนำคนเหล่านั้นได้

ไม่ว่าจะใส่ความคิดเรื่องสมมติเทพเข้าไป ให้เชื่อว่านี่คือผู้วิเศษฟ้าประทานมาให้เป็นผู้นำ หรือการสร้างจารีตใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อกีดกันให้เห็นว่าชนชั้นที่ทำแบบนี้ได้เท่านั้นจึงจะพิเศษกว่าคนด้วยกัน

หรือการเก็บสิทธิการออกเสียงเลือกตั้งไว้เฉพาะกับแค่ผู้ชายผิวขาวในอดีต ด้วยการหล่อหลอมความคิดว่าเป็นมนุษย์ที่เหนือกว่าด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ แต่สักพักเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่คล้อยตามอำนาจนั้นก็ถูกกระจายออกไปยังคนผิวสี และก็ผู้หญิง

ดังนั้นจะเห็นว่าการนำไดๆ ในโลกนี้จะอยู่ได้ก็ต้องมีผู้ตาม เพราะถ้าไม่มีผู้หลงเชื่อคล้อยตามก็เท่ากับว่าไม่รู้จะไปนำใคร เพราะเขาไปคนละทางกันหมดแล้ว

เดิมทีการจะหล่อหลอมความคิดเหล่าผู้ตามเคยทำได้ง่าย ผ่านทีวีไม่กี่ช่อง วิทยุไม่กี่คลื่น แต่พอทุกวันนี้ที่เปิดกว้างในด้านการรับข้อมูลไม่ว่าจะผ่านอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียใดๆ ทำให้ไม่สามารถปิดตาปิดหูผู้คนได้อีกต่อไป เมื่อผู้คนได้รับข่าวสารที่กว้างขึ้น หรือสามารถคุ้นหาข้อมูลที่ตัวเองสนใจได้ลึกขึ้น

ผลคือไม่ค่อยมีคนอยากจะตามผู้นำแบบเดิมๆ ที่เอาแต่พูดเรื่องเดิมซ้ำๆ แต่ทำให้เกิดผลขึ้นจริงไม่ได้ แต่ข่าวสารที่ผู้คนได้รับจะจริงเท็จมากน้อยอย่างไร ก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับ Digital Literacy ของผู้รับสารที่แต่ละคนที่ต้องรู้จัก สังเคราะห์ วิเคราะห์ ด้วยตัวเอง ซึ่งก็พบว่ามีคนจำนวนน้อยมากที่จะมีทักษะเหล่านี้ดีพอเอาตัวรอดได้ในยุค Information Age จริงๆ

แต่ว่าไปทางชนชั้นนำหรือผู้ปกครองเองก็เป็นผู้ปล่อยข่าวหลอก ข่าวลวง ข่าวปลอม ออกมาให้ผู้ที่ยังตามอยู่ไม่น้อย เหตุผลหนึ่งก็เพราะหวังว่าพวกเขาจะยอมเป็นผู้ตามต่อไป ดูเหมือน 14 ปีผ่านไปเรื่องนี้จะยิ่งใหญ่แล้วก็ลึกขึ้นกว่าเดิมมาก

ประชานิยมที่ขาดวิสัยทัศน์

แจก แจก แจก แล้วก็แจก ดูเหมือนนโยบายการแจก โดยเฉพาะการแจกเงินจะเป็นอะไรที่ประชาชนคนไทยนิยมอย่างมาก ตั้งแต่แจกตอนเราชนะ 7,000 บาท มาถึงเงินดิจิทัล 10,000 บาท ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เป็นต้นตอปัญหาของค่าครองชีพสูงในไทยได้

จะมีก็แต่ชื่นชมตอนเราชนะนิดนึง ตรงที่สามารถขยันแจกได้มากพอและนานพอจนทำให้คนไทยจำนวนมากต้องโหลดและสมัครใช้แอป เป๋าตัง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้แอปเป๋าตังกลายเป็น Super App แห่งชาติไทยโดยไม่รู้ตัวไปเรียบร้อยแล้ว

แต่พอรัฐบาลใหม่เข้ามารู้สึกว่าจะยอมน้อยหน้าใช้ของซ้ำเขาไม่ได้ เลยต้องพยายามสร้าง Super App ใหม่ที่ไม่รู้จะเอาภาษีประชาชนของเราๆ ไปละลายเพื่อสร้าง Branding และ Marketing ให้กับพรรครัฐบาลอีกเท่าไหร่

ตัวอย่างประชานิยมในหลายๆ ประเทศเมื่อ 14 ปีก่อนก็เป็นประมาณนี้ แต่อาจจะไม่ได้แจ้งเงินแบบตรงๆ โจ้งๆ ทื่อๆ ดูไม่ค่อยใช้สติปัญญาเท่าไหร่ แต่ก็ไปแจกผ่านค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทางรถเมล์ฟรีอะไรพวกนี้ แต่ทั้งหมดนั้นจากบทเรียนของประเทศที่เคยเน้นประชานิยมมาก่อนก็พบว่าไม่รอดในระยะยาว สุดท้ายก็ต้องลงมาแก้ที่ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อลดต้นทุนค่าครองชีพของประชาชนลง ทำให้ประชาชนในประเทศลืมตาอ้าปากได้ดีขึ้นจริงๆ

14 ปีผ่านไปรัฐบาลเดิมกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ แต่เป็นรัฐบาลใหม่เชิงผสม ผสมกับฝ่ายที่เคยฆ่าแกงกันอย่างเลือดขึ้นหน้าได้อย่างหน้ามึนๆ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็ดูเหมือนจะคิดว่าประชานิยมการแจกแบบเดิมๆ จะยังได้ผล แถมยังเอาการแจกแบบฝ่ายตรงข้ามที่ตัวเองเกลียดมาเกทับด้วยการแจกก้อนใหญ่กว่าอีกด้วย

ว่าแต่กับสินค้าหรือบริการต่างๆ ถ้าโฆษณาไว้เกินจริง พูดไปแล้วทำไม่ได้ ยังมีหน่วยงานชื่อ สคบ คอยคุ้มครองดูแลฟ้องร้องให้ (แม้ในความเป็นจริงจะออกไปทางเสือกระดาษทำอะไรไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่) แต่กับการโฆษณาทางการเมืองเวลาหาเสียงนี่โกหกพกลมโม้ม้ายิ้มที่สุด แต่กลับไม่มีหน่วยงานไหนมากำกับดูแล ถ้าจะบอกว่า กกต เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแล ก็ดูเหมือนว่าจะเลือกทำงานกับเฉพาะบางแบรนด์ที่ไม่ชอบใจหรือถูกใบสั่งมาอย่างไรก็ไม่รู้

ทุกพรรคพูดเรื่องเดียวกัน แต่กลับมีไม่กี่พรรคที่โดนเล่นงานในเรื่องเดียวกันนี้

ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ข้ออ้างชอบธรรมเมื่อจะทำรัฐประหาร

อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ บอกว่าเคยมีรายงานหนึ่งที่ไปศึกษาเรื่องการซื้อสิทธิขายเสียงของประชาชนเมื่อจะเกิดการเลือกตั้งพบว่า มีการแจกเงินเยอะมากจริง แต่บรรดาคนที่ได้รับเงินซื้อเสียงส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เลือกตามเงินที่รับ แต่ยังคงเลือกตามใจที่รักชอบเหมือนเดิม

นั่นบอกให้รู้ว่าคนไทยโดยเฉพาะชาวบ้านที่เราชอบเรียกกันว่า “คนบ้านนอก” นั้นไม่ได้โง่ซื่อๆ แต่พวกเขาก็มีเล่ห์เหลี่ยมในแบบของเขา

รับเงินมาแต่ไม่จำเป็นต้องเลือก แต่กลายเป็นว่าทุกครั้งเมื่อเกิดปฏิวัติกลับยกเรื่องการซื้อสิทธิ์ขายเสียงเป็นประเด็นหลัก เป็นการอ้างข้างๆ คูๆ ว่าที่ผลเลือกตั้งออกมาเป็นแบบนี้ ที่พรรคนั้นถล่มทลายเพราะถูกจ้างให้มาเลือก จ่ายเงินให้ไปกา ดังนั้นเราต้องทำลายพวกมันด้วยรถถังและทหาร เพื่อผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมบลาๆ ตามระบอบบลาๆ วนซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้

ไม่รู้ว่าถ้ามีการรัฐประหารครั้งหน้า (ขอให้ไม่มีแต่คงจะเป็นไปไม่ได้) จะยังคงอ้างว่า สส ผู้ชนะจากพรรคส่วนใหญ่นั้นถูกซื้อเสียงได้มั้ย แต่คงยาก ข้ออ้างใหม่อาจเป็นมอมเมาด้วยข่าวปลอมหลอกหลอนประชาชนมากกว่า มุขใหม่แต่ใส้เดิม จากพวกชนชั้นนำเดิมๆ ที่ไม่ต้องการปันอำนาจในมือให้ใคร

สรุปหนังสืออ่านการเมืองไทย เล่มที่ 2 กัมมทายาโทของสังคมไทย

สรุปหนังสืออ่านการเมืองไทย เล่ม 2 กัมมทายาโทของสังคมไทย นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียน สำนักพิมพ์ openbooks 14 ปีผ่านไปการเมืองไทยเปลี่ยนไปหรือไม่

14 ปีผ่านไปดูเหมือนการเมืองไทยจะไม่ค่อยเดินหน้าจากเดิมเท่าไหร่ หลายเรื่องย่ำอยู่กับที่ และที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องที่ย่ำลงกับที่จนกลายเป็นขุดหลุมฝังตัวเองลึกลงไปทุกที แต่ข้อดีของการได้กลับมาอ่านหนังสือเก่าในเวลานี้มันทำให้เราเห็นภาพหลายเรื่องชัดขึ้น

เพราะสิ่งที่คิดไว้ในเวลานั้นว่าน่าจะเป็นเพราะแบบนั้นแบบนี้ มาวันนี้ล้วนถูกเฉลยแล้ว น่าติดตามว่าอีก 14 ปีหน้าการเมืองไทยจะเป็นอย่างไร เราจะได้เป็นประเทศประชาธิปไตยจริงๆ ไหม หรือเราแค่มีการเลือกตั้งเป็นพิธีเฉยๆ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 11 ของปี 2024

สรุปหนังสืออ่านการเมืองไทย เล่ม 2 กัมมทายาโทของสังคมไทย
นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียน
สำนักพิมพ์ openbooks

อ่านสรุปหนังสือแนวการเมืองในอ่านแล้วเล่าต่อ https://www.summaread.net/category/politics/

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/