“อัจฉริยะ หรือ ไม่ลดละ” ระหว่างที่อ่านมาได้ซักพักผมคิดถึงประโยคนี้เสมอ ผมเคยอ่านเจอจากหนังสือเล่มไหนผมจำไม่ได้แล้วที่เค้าบอกว่า David Beckham ที่ดูเป็นอัจฉริยะลูกหนัง หรือนักเตะมากพรสวรรค์นั้น ท่านเซอร์เฟอร์กี้บอกว่า พรสวรรค์ของ Beckham คือความขยันและอดทนฝึกซ้อมเตะฟรีคิกมากกว่าคนอื่นจะทำได้
จากประโยคนั้นทำให้ผมมีมุมมองใหม่ต่อคำว่าอัจฉริยะหรือพรสวรรค์ที่ต่างจากเดิมที่เคยเชื่อมาแต่เกิดโดยสิ้นเชิง
เพราะเบื้องหลังอัจฉริยะที่เราคิดว่าเค้ามีพรสวรรค์นั้น แท้จริงเค้าคือคนที่อาบเหงื่อต่างน้ำมากกว่าคนอื่น เพราะในบรรดาคนเก่งก็ต่างเต็มไปด้วยคนเก่งไม่แพ้กัน แต่คนที่อดทนมากกว่าคนอื่นต่างหากคืออัจฉริยะ
แล้วที่เล่ามาทั้งหมดนี้เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้อย่างไรล่ะ? คุณอาจกำลังสงสัย และผมก็กำลังจะบอกว่าเกี่ยวมาก เพราะ mindset หรือความคิดตั้งต้นนั้นเป็นตัวกำหนดให้เราเป็นคนรอคอยพรจากสวรรค์ หรือเป็นคนที่เรียนรู้และลงมือทำอย่างไม่ลดละกันแน่

แก่นหลักของหนังสือเล่มนี้บอกว่า “ความคิด” หรือ mindset ของคนเราแบ่งออกได้เป็นสองประเภท
- ความคิดติดกรอบแบบตายตัว หรือ Fixed Mindset
- กรอบความคิดแบบโตได้ หรือ Growth Mindset
ถ้าเปรียบเป็นภาพผมว่า Fixed Mindset เปรียบดังหินผาหรือเหล็กกล้า ที่เอาไว้วัดความแข็งแรง แข็งแกร่ง มีขอบเขตชัดเจนให้พิชิต เช่น ฉลาด หรือ โง่
ส่วน Growth Mindset เปรียบเสมือนของเหลว เหมือนน้ำ หรือเหมือนต้นไม้ ที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนรูปทรงรูปร่างตามสถานการณ์ หรือพร้อมจะก้าวข้ามขีดจำกัดไปเรื่อยๆแบบไม่ตายตัว ต้นไม้บางต้นสามารถเติบโตจากเศษซอกเล็กๆได้ หรือกิ่งก้านที่สามารถเลื้อยพันเกี่ยวไปตามกำแพงจนกลมกลืนสวยงาม
และที่สำคัญคือ mindset ทั้งสองแบบก็ไม่ได้ตายตัว หรือติดตัวมาแต่กำเนิด แต่สามารถปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ต่างๆได้ คนๆเดียวมีได้ทั้งสอง mindset ตามแต่สถานการณ์เป็นปกติ
แต่รู้มั้ยว่าสังคมรอบตัวเรามักสอนให้เรามีแต่ Fixed Mindset โดยไม่รู้ตัว เช่น การชมว่าเด็กคนนึงเก่งมากที่สอบได้คะแนนดี หรือชมพนักงานคนนึงเก่งมากที่สามารถทำผลงานได้ตามเป้า
คำชมที่ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์นั้นก่อให้เกิด Fixed Mindset คือถ้าไม่แพ้ก็ชนะ และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบแพ้ พอเริ่มแพ้มากๆเข้าก็เริ่มละความพยายามและยอมแพ้ไปในที่สุด หรือแม้แต่กระทั่งไม่เริ่มตั้งแต่พยายามเลยด้วยซ้ำ เพราะจะได้มีข้ออ้างว่าไม่แพ้
แต่เรื่องนี้แก้ไขได้ไม่ยากครับ เพียงแค่เราหันมาให้คำชมกับ “ความพยายาม” หรือ “กระบวนการ” มากกว่าผลลัพธ์ เท่านี้ก็เป็นการค่อยๆสร้าง Growth Mindset ในคนที่เราต้องการได้แล้ว
เช่น ถ้าลูกเราเรียนได้คะแนนดี คำชมที่เราควรให้ไม่ใช่ว่าลูกเราฉลาดจัง หรือมีพรสวรรค์อะไรมาแต่เกิด แต่ควรชมไปทางที่ว่า “เพราะลูกมีความพยายามและตั้งใจเรียน เลยทำให้คะแนนนั้นออกมาดี”
เห็นมั้ยครับว่าแค่เปลี่ยนจุดในการชมนิดเดียว ก็ทำให้ mindset เปลี่ยนแล้ว แล้วยิ่งถ้าเราทำไปเรื่อยๆเค้าก็จะยิ่งให้ค่ากับความพยายามมากกว่าผลลัพธ์ ทำให้ถ้าเมื่อไหร่เค้าล้มเหลวเค้าก็จะไม่เลิก แต่เค้าจะหาหนทางใหม่ๆและใช้เวลากับมันมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่แปลกใจที่เราส่วนใหญ่กลัวผิดพลาด กลัวล้มเหลว กลัวถูกมองว่าไม่เก่งไม่ฉลาด เพราะอย่างที่บอกครับว่าสังคมเราให้ค่ากับผลลัพธ์มานานโดยไม่รู้ตัว เวลาเราพยายามทำอะไรให้สำเร็จแล้วทำไม่ได้ซักทีเราอาจจะทำซ้ำหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง หรือสิบครั้ง แต่หลังจากนั้นเราก็จะเริมท้อแท้และยอมแพ้ในที่สุด
แต่กับคนที่มี Growth Mindset นั้นต่างไป เค้าจะเห็นสิ่งใหม่ๆให้เรียนรู้อยู่ตลอด ทุกครั้งที่ผิดพลาดจะมีอะไรให้เรียนรู้เสมอ และยิ่งทำต่อไปก็จะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ คนที่สามารถเปิดใจเรียนรู้กับข้อผิดพลาดได้นี่คือว่าที่อัจฉริยะก็ว่าได้ครับ
อย่างที่ เซมโยโนดา ครูสอนบัลเลต์ชื่อดังระดับโลกชาวรัสเซีย เวลาเค้าจะคัดใครเข้าร่วมทีมเค้าจะมองหาคนที่มี Growth Mindset ด้วยการให้ทั้งคำชม และให้ทั้งคำติแนะนำ แล้วเค้าก็จะดูว่านักบัลเลต์คนไหนที่เปิดใจให้กับคำแนะนำนั้นเพื่อเอาไปปรับปรุงตัวเองที่แท้จริง
หรือนักกีฬาเก่งๆที่มี Growth Mindset บางคนบอกว่า คุณต้องหัดแยกแยะคำวิจารณ์ออกจากคำด่า เวลาที่คุณเล่นได้ไม่ดีแล้วโค้ชลากคอคุณออกมาด่า ตอนที่โค้ชบอกว่าคุณโง่ คุณอย่าไปฟัง แต่ถ้าเมื่อไหร่โค้ชบอกว่าทำไมคุณถึงโง่ เมื่อนั้นแหละตั้งใจฟังให้ดี
เรื่องนี้เอามาปรับใช้กับการทำงานก็ได้นะครับ เพราะในการทำงานเราต้องเจอคำวิจารณ์เป็นประจำ ทั้งจากหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หรือคู่ค้า สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักแยกแยะเพชรออกจากกรวดให้เป็น แล้วคุณจะทำได้ดียิ่งขึ้นกว่าที่เค้าคิดในครั้งหน้า
บางครั้งการชี้นำง่ายๆก็ทำให้เกิด Fixed Mind หรือ Growth Mindset ได้
อย่างการสอบวิชาคอมพิวเตอร์ครั้งหนึ่ง ผู้เข้าทดลองถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับการสอนว่าทักษะคอมพิวเตอร์นั้นเป็นเรื่องของพรสวรรค์ เป็นเรื่องของวัย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งได้รับการสอนว่าทักษะคอมพิวเตอร์นั้นเป็นเรื่องที่สามารถฝึกฝนได้
ผลที่ออกมาคะแนนสอบของทั้งสองกลุ่มต่างกันชัดเจนครับ
มีเรื่องเล่าว่า ครูคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนโรงเรียนที่นักเรียนทำคะแนนคณิตศาสตร์ได้ลำดับท้ายๆของประเทศ ให้กลายเป็นได้คะแนนลำดับท็อปๆของประเทศในเวลาไม่นาน เพราะเค้าตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันจะสอนให้เค้าเก่งเลขได้ยังไง?” ไม่ใช่ “ฉันจะสอบพวกเค้าได้มั้ย?”
เห็นมั้ยครับว่าแค่คำถามเปลี่ยน ผลลัพธ์นั้นเปลี่ยนไปมหาศาล คำถามแรกมีคำตอบเป็นร้อยพัน ส่วนคำถามหลังนั้นมีแค่ได้กับไม่ได้
ทำให้ผมคิดถึงคุณหนุ่มเมืองจันท์ ที่ชอบบอกว่า “คำถามสำคัญกว่าคำตอบ” และก็เป็นสิ่งที่ผมยึดเป็นแนวทางทั้งชีวิตและการทำงานเลยครับ
คิดดูว่าขนาดนักกีฬาที่เล่นคนเดียวยังไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์ส่วนตัวเลย
คุณรู้มั้ยครับว่ากว่านักเทนนิสหรือนักกอล์ฟคนนึงจะเป็นแชมป์โลกได้ เค้ามีทีม support เป็นสิบเป็นร้อยชีวิตเบื้องหลังมากมาย ดังนั้นคำว่าพรสวรรค์นั้นเป็นเรื่องของคนธรรมดาสามัญ แต่การจะก้าวไปให้สุดนั้นต้องใช้มากกว่าแค่พรสรรค์ของตัวเองครับ
แม้กระทั่งเรื่องความรักความสัมพันธ์ Growth Mindset ก็สำคัญมากนะครับ
คุณเคยคิดแบบนี้มั้ยครับ คิดว่าถ้าเราเกิดมาคู่กันจริงเราก็จะไม่ต้องพยายามเข้าหากัน ทุกอย่างมันจะคลิ๊กด้วยตัวของมันเอง นั่นแหละเนื้อคู่ของฉัน ฉันต้องหามันให้เจอให้ได้ และถ้าเมื่อไหร่ที่ต้องใช้ความพยายาม นั่นไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ดี หรือเค้าไม่ใช่เนื้อคู่ของฉันแน่
นั่นคือ Fixed Mindset ด้านความสัมพันธ์ครับ
ผมเจอคนไม่น้อยที่มักคิดและบ่นแบบนี้เป็นประจำ บอกว่าเมื่อไหร่นะจะเจอคนที่ใช่ เมื่อไหร่นะจะเจอคนที่เข้ากันได้โดยไม่ต้องพยายาม ถ้าเปรียบเป็นนิทานก็เหมือนพล็อตเรื่องที่เราคุ้นเคยทำนองว่า เจ้าชายเข้ามาปราบมังกรร้าย และเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ครองรักกันชั่วนิรันดร์
แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตคู่นั้นไม่ได้มีแค่มังกรร้ายตัวเดียวให้เราปราบ แต่ในทุกๆวันนั้นจะมีมังกรใหม่ๆเกิดขึ้นมาเสมอ และมังกรส่วนใหญ่ก็มักจะเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าเราหยุดฟ่าฝันสู้มังกร ความสัมพันธ์ก็มักจะจบลงอย่างที่เราเห็นอยู่บ่อยๆแหละครับ
Growth Mindset ของความรักความสัมพันธ์คือการเข้าใจว่าเราจะเรียนรู้กันและกันเพื่อจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ถ้าเค้าทำอะไรให้เราไม่พอใจเราก็ต้องสื่อสารออกไปให้ชัด พร้อมกับหาทางทำให้มันดีขึ้นในครั้งหน้า หาจุดร่วมที่ลงตัวของทั้งสองฝ่ายให้ได้ อย่ายอมแพ้กับปัญหา เพราะถ้าเมื่อไหร่คุณหยุดสู้ มังกรร้ายก็จะฟื้นคืนมาเอาความรักคุณไปครับ
จำไว้ว่าไม่มีรักไหนหรือความสัมพันธ์ใดที่ Perfect เวลาเราเลือกใครซักคนเข้ามาในชีวิต ก็คือการเอาปัญหาเข้ามาด้วยเสมอ รับข้อนี้ให้ได้ และจะอยู่ด้วยกันได้ยาวๆครับ
และก็อย่าคิดว่าคนรักของคุณจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จงเรียนรู้ที่จะเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นพร้อมๆกันนะครับ
สุดท้ายแล้วผมอยากจะบอกว่า เราทุกคนเคยมี Growth Mindset สุดๆกันช่วงหนึ่งในชีวิต คุณรู้มั้ยครับว่าช่วงไหน? ก็คือช่วงที่เราทุกคนยังเป็นเด็กแบเบาะยังไงล่ะครับ
เด็กทุกคนเกิดมาพูดก็ยังไม่ได้ เดินก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เราเคยเห็นเด็กคนไหนยอมแพ้ที่จะไม่พูด หรือยอมแพ้ที่จะไม่เดินบ้างมั้ยครับ?
เด็กทุกคนล้วนอยากจะพูด พยายามอ้อแอ้อะไรบางอย่างเสมอ ยิ่งพูดไม่ได้ก็ยิ่งอยากพูด ยิ่งเดินไม่ได้ก็ยิ่งอยากเดิน เดินไปล้มไปร้องให้ไปก็ยิ่งทำ เราต่างล้มกันเป็นพันๆครั้งกว่าจะเดินคล่องจนลืมตัวแบบนี้
แล้ววันนี้ในวันที่ชีวิตเจอปัญหาที่ยังไม่อาจแก้ได้ ลองถามตัวเองว่าเราพยายามเท่ากับตอนเที่เราเคยพยายามเดินให้ได้ตอนเป็นทารกแล้วหรือยัง ถ้ายังก็จงรู้ไว้นะครับว่า คุณทำมันได้เสมอ แค่คุณพยายามมันมากพอแล้ว หรือทำมันอย่างถูกวิธีแล้วหรือยัง
สมองก็เหมือนกับกล้ามเนื้อ ที่ยิ่งใช้ก็ยิ่งเก่งยิ่งแกร่ง ไม่มีใครเกิดมาแล้วฉลาดแต่กำเนิดได้ตลอดไปโดยไม่ทำอะไรเพิ่มครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 19 ของปี 2019
Mindset
ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา
Carol S. Dweck เขียน
พรรณี ชูจิรวงศ์ แปล
สำนักพิมพ์ We Learn
20190323
2 Comments
ขอบคุณครับ
ด้วยความยินดีครับ ^^