Tag

Microsoft

Browsing

สรุปหนังสือ Hit Refresh พลิกธุรกิจด้วยวิถีไมโครซอฟท์ เล่มนี้ถ้าให้สรุปสั้นๆ นี่คือบันทึกเรื่องราวของ CEO คนล่าสุดของ Microsoft นั่นก็คือ Satya Nadella คนที่ขึ้นมารับตำแหน่ง CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกแห่งนี้เป็นคนที่ 3 ในตอนที่บริษัทมีอายุ 40 ปีพอดี ที่เล่าถึงเรื่องราวของตัวเขาเล็กน้อยว่าต้องผ่านอะไรมาบ้างจากที่เป็นเด็กอินเดียมีฐานะค่อนข้างดีคนหนึ่ง จนถึงตอนที่ได้คอมพิวเตอร์เครื่องแรก แล้วก็ต้องตระเวนย้ายที่อยู่ไปทั่วตามพ่อของเขาที่เป็นข้าราชการระดับสูงของอินเดีย

จนมาถึงช่วงที่เขาเลือกเส้นทางเดินชีวิตเพื่อเรียนต่อ โดนต้องเลือกว่าจะเรียนต่อที่อินเดีย หรือจะหนีกรอบความคิดของครอบครัวแล้วมาที่อเมริกา แน่นอนว่าเขาเลือกที่จะเรียนต่อที่อิเมริกาจนสามารถเข้าทำงานที่ Microsoft ได้ในที่สุด

จากนั้นเนื้อหาก็จะเกริ่นอีกเล็กน้อยในช่วงแรกของการทำงานของเขาที่ Microsoft จนมาถึงในช่วงที่เป็นเนื้อหาหลักนั่นก็คือในช่วงก่อนที่เขาจะเข้ามารับตำแหน่ง ที่ได้รับมอบหมายงานที่ท้าทายขององค์กรอย่างมาก นั่นก็คือการสร้างธุรกิจใหม่ให้ Microsoft ที่เป็นธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตเมื่อสิบกว่าปีก่อน

ที่บอกว่าท้าทายมากก็เพราะในตอนนั้นรายได้หลักของ Microsoft ยังมาจากการขาย Software โปรแกรมแบบลิขสิทธิ์ขาดให้ลูกค้าอยู่เลย ดังนั้นการสร้างธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตเท่ากับเป็นการทำร้ายธุรกิจเดิมไม่น้อยในแง่ของรายได้ เพราะถ้า Software ถูกเปลี่ยนจากการซื้อขาดมาเป็นการให้ใช้งานในรูปแบบรายเดือนเหมือน Office 365 อย่างวันนี้นั่นย่อมส่งผลต่อไมโครซอร์ฟอย่างมาก

เพราะคุณรู้มั้ยครับว่าจริงๆ แล้วค่าลิขสิทธิ์ของโปรแกรมอย่าง Windows หรือ Microsoft นั้นมีราคาแพงกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปเสียอีก แต่ก่อนถึงได้มีการจับลิขสิทธิ์ Windows เถื่อนกันอย่างมากมาย เพราะค่าโปรแกรมแผ่นนึงราคาหลายหมื่นบาทครับ

แต่ในช่วงแรก Satya Nadella ยังไม่ได้ถูกให้คิดค้นอะไรแบบนั้น แต่โจทย์ที่ได้นั้นท้าทายยิ่งกว่ามาก นั่นก็คือให้สร้างระบบสืบค้นบนอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า Search engine ที่จะเอามาแข่งกับ Google นั่นเองครับ

เมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่ Microsoft จะเริ่มสร้าง Bing ขึ้นมา แน่นอน Google กลายเป็นเจ้าตลาดในแบบที่ไม่เหลือที่ว่างให้คู่แข่งแต่อย่างไร แล้วไหนจะต้องสร้างธุรกิจใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Cloud ตอนปี 2008 แบบเริ่มต้นใหม่หมดจรดสำหรับ Microsoft แต่ตอนที่ Amazon Web Service เป็นเจ้าตลาดให้บริการ Cloud service แบบมีกำไรไปแล้ว

หรือบอกได้ว่า Microsoft เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่อุ้ยอ้ายเสียเหลือเกิน เพราะจะเริ่มอะไรก็ช้ากว่าชาวบ้านไปหมด เพราะเริ่มตอนที่ตลาดแทบจะเรียกว่าถูกผูกขาดไปแล้วก็ว่าได้

แต่ก็นั่นแหละครับ อย่างที่เรารู้กัน Bing ก็พอแย่งส่วนแบ่งจากตลาดการเสริชหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตมาได้บ้าง ส่วน Microsoft Azure ก็ทำรายได้ในระดับหนึ่งจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจเดิมของ Microsoft ไม่น้อยเหมือนกัน

แต่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่หมากสุดท้ายของ CEO คนที่ 3 ของ Microsoft อย่าง Satya Nadella เพราะทั้งหมดที่เขามองคือการเข้าไปยังธุรกิจ 3 ส่วนที่จะกลายเป็นหัวใจหลักอันใหม่ขององค์กร นั่นก็คือ

  1. Cloud service
  2. AI
  3. Quantum computer

ซึ่งทั้งสามส่วนนี้จะเข้ามาปรับพื้นฐานของสังคมทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่ในแง่ของธุรกิจหรือผลกำไร แต่เป็นแง่ของชีวิตมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้

ขอย้อนกลับไปที่ก่อนหน้านี้อีกหน่อย ก่อนที่ Sayta Nadella จะได้ขึ้นเป็น CEO ของ Microsoft เขาเคยได้ Green Card ที่คนต่างด้าวในอเมริกาอยากได้มาก แต่เขาก็ยอมยกเลิกสถานะพลเมืองถาวรจาก Green Card เพราะความรักที่ต้องการให้แฟนสาวมาอยู่ด้วย

จากสถานะพลเมืองถาวรกลายเป็นวีซ่าทำงานในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่สามารถพาคู่สมรสมาอยู่ด้วยได้

Satya Nadella ก็เรียนรู้จากการเล่นกีฬาคริกเก็ตตอนเด็กว่า เราสามารถนับถือคู่แข่งที่เก่งกว่าเราได้ แต่อย่าเอาแต่มัวยืนตะลึกจนไม่ทำอะไรเลย เราต้องออกไปแข่งกับเขาต่อ และเขาก็เรียนรู้จากการเล่นกีฬาชนิดนี้อีกว่า คนเก่งที่ไม่ให้ความสำคัญกับทีมจะสามารถทำลายได้ทั้งทีม

และเข้าก็เรียนรู้จากกัปตันทีมที่เก่งกาจที่ยังเป็นบทเรียนมาถึงทุกวันนี้ว่า ผู้นำต้องดึงสิ่งที่ดีที่สุดในตัวทุกคนออกมาให้ได้ และผู้นำที่หลักแหลมต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรเข้าแทรกแซง และเมื่อไหร่ที่ควรจะสร้างความมั่นใจให้กับทีม หรือให้กับใครในทีมเป็นพิเศษ เพราะสิ่งสำคัญคือผู้นำต้องเพิ่มความมั่นใจให้ทีมที่ตัวเองกำลังนำอยู่

และนี่ก็คือบทเรียนชีวิตจากกัปตันที่เป็นผู้นำทีมคริกเก็ตของเขาในตอนนั้น

และจากการที่ Satya Nadella ได้รับผิดชอบให้เป็นหัวหน้าทีมธุรกิจใหม่ที่หาโอกาสจากอินเทอร์เน็ตในช่วงปี 2008 ก่อนหน้านี้ผลงานของ Satya Nadella คือการทำระบบ Window NT ที่เป็นรากฐานหัวใจการทำงานของระบบปฏิบัติการ Windows เกือบทั้งหมดตั้งแต่ Windows 98 หรือ Windows XP ที่โด่งดัง แต่เมื่อเขาต้องเข้ามาดูธุรกิจใหม่ที่เป็นออนไลน์ก็พบว่าทุกสิ่งที่เคยรู้มาแทบใช้การอะไรไม่ได้ ต้องเรียนรู้ใหม่เกือบหมดเพื่อสร้าง Bing และ Azure ให้เกิดขึ้นจริงให้ได้

เพราะมันคือการรื้อโครงสร้างและการทำงานทั้งหมดที่จากเคยตั้งโต๊ะกลายเป็นอยู่ในมือถือ และจากที่เคย Stand alone ด้วยโปรแกรมบรรจุแผ่น กลายเป็นต้องทำงานบน Cloud ที่ต้องทำให้สามารถทำงานข้ามอุปกรณ์กันอย่างลื่นไหลสำหรับผู้ใช้อีกด้วย

Satya Nadella ต้องเรียนรู้การสร้างธุรกิจแบบมีคู่ค้าสองด้านตอนทำ Bing นั่นก็คือเรียนรู้ว่าทำอย่างไรให้คนเข้ามาเสริชหาข้อมูลบน Bing และทำอย่างไรที่จะทำให้มีคนมาลงโฆษณากับ Bing ไปพร้อมกัน

เพราะถ้ามีโฆษณามากเกินไปคนก็จะไม่เข้ามาใช้ แต่ถ้ามีโฆษณายากเกินไปฝ่ายธุรกิจร้านค้าก็จะไม่มาลงโฆษณาด้วย เรียกได้ว่าเป็นงานที่ท้าทายมากเพราะใหม่หมดจรดสำหรับ Microsoft นั่นเอง

รวมไปถึงการเรียนรู้เรื่อง Machine learning เพื่อนำไปสู่การสร้าง AI ของ Microsoft เองในอนาคต และ Machine learning ของ Microsoft ก็มีค่ามาก เพราะอย่างบริษัทที่เป็นลูกค้าของ Microsoft อย่าง Thyssenkrupp บริษัทที่ผลิตบันไดเลื่อนและลิฟต์ชั้นนำของโลกที่ใช้บริษัท Machine learning บน Windows Azure อยู่ บริษัทนี้สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าลิฟต์ตัวไหนกำลังจะมีปัญหา แล้วส่งช่างเข้าไปซ่อมแซมแก้ไขหรือเปลี่ยนอะไหร่ก่อนที่จะเกิดปัญหาร้ายแรงจนต้องหยุดให้บริการได้

เป็นอย่างไรครับกับ Machine learning ของ Microsoft ที่สามารถบอกให้ช่างเข้าไปซ่อมก่อนจะเสียได้อย่างแม่นยำ

หรือ Skype ของ Microsoft ที่พัฒนาไปอย่างล้ำมากแต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เพราะไม่ค่อยได้ใช้ ที่บอกว่าล้ำมากเพราะเราสามารถคุยกับคนต่างชาติผ่าน Skype แล้ว AI จะแปลภาษาอีกฝ่ายให้กลายเป็นภาษาของเราอัตโนมัติในแบบ Real time เลยครับ

นั่นหมายความว่าคนจีนสามารถพูดกับคนอเมริกาที่ไม่รู้ภาษาจีนซักนิดแบบที่เข้าใจกันได้สนิทไร้ช่องว่างทางภาษา เรียกได้ว่า Skype สามารถทลายกำแพงของภาษาลงได้อย่างสิ้นเชิงจริงๆ

แต่แน่นอนว่าเทคโนโลยี AI ของ Microsoft และทั่วโลกยังต้องพัฒนากันไปอีกเยอะ เพราะที่เราดูเหมือนว้าวกันวันนี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่การเดินทางไม่กี่ไมล์แรก ในระยะทางยาวนานกว่าล้านไมล์

นั่นหมายความว่าถ้าเราเดินทางไปถึงไมล์ที่ล้านเมื่อไหร่ สังคมและโลกที่เรารู้จักในวันนี้ก็คงจะไม่เหลือเค้าโครงเดิมแน่นอน

และ Satya Nadella ก็บอกอีกว่าโลกออนไลน์ในอนาคตจะสะท้องโลกจริงมากขึ้นจนแทบจะเรียกว่าโลกเสมือนจริงคู่ขนาน ที่เรียกอีกชื่อว่า Digital Twin นั่นก็เพราะเกิดจากการเก็บสะสม Data ไว้ตลอดเวลาจนมีมากมายมหาศาล ตัวอย่างง่ายๆ ก็ย้อนกลับไปที่ Machine learning ของ Microsoft สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าลิฟต์ของลูกค้าตัวไหนใกล้จะเสีย ก็ด้วยการจำลองข้อมูลที่มีถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดล่วงหน้า แล้วก็ทำการป้อนกันก่อนจะเกิดขึ้นจริงอย่างไรล่ะครับ

แต่ถ้าย้อนกลับมาอีกซักหน่อย Vision ใหม่ของ CEO คนนี้ไม่ได้มาจากไหนไกล แต่นั่นเพราะ Satya Nadella เลือกที่จะกลับไปหาแก่นของ Microsoft ตั้งแต่ตอนตั้งต้นบริษัทเมื่อ 40 ปีก่อนจนทำให้เข้าใจว่า Bill Gates และ Paul Allen ตั้งบริษัทนี้ขึ้นมาเพราะอะไร นั่นก็เพราะเขาอยากให้ทุกคนและทุกองค์การทั่วทุกมุมโลกสามารถทำงานได้ดีขึ้น หรือถ้าให้สรุปให้สั้นกว่านั้นอีก นั่นก็คือพวกเขาอยากให้ทุกคนบรรลุผลสำเร็จได้มากขึ้นครับ

และนั่นก็คือสิ่งที่ Satya Nadella ปัดฝุ่นมาใช้เป็นเข็มทิศนำทางให้ Microsoft อีกครั้ง ดังนั้น Microsoft จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้คนบนโลกสามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้มากขึ้น นั่นหมายถึงแม้จะต้องร่วมมือกับคู่แข่งยาวนานอย่าง Apple และคู่แข่งใหม่ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ครับ

เพราะ Microsoft ทำงานกับ Apple หนักมากในการทำให้โปรแกรมยอดนิยมอย่าง Microsoft Office สามารถทำงานบน iPad ได้อย่างไรที่ติ ถึงขนาดขึ้นเวทีเปิดตัว iOS ใหม่ร่วมกับ Apple ด้วยกันก็ทำมาแล้ว

หรือกับ Google ก็เหมือนกัน ที่ Microsoft พยายามทำโปรแกรม Office ของตัวเองให้ใช้งานบน Andriod ได้ดีที่สุด โดยไม่มีการกั๊กโปรแกรมเก็บไว้รันบน Windows Phone ที่ดูไม่มีอนาคตอีกต่อไปครับ

สำหรับการเป็นผู้นำที่ Microsoft ทาง Satya Nadella ก็มีแนวคิดที่น่าสนใจ นั่นก็คือเค้าบอกว่าถ้าใครก็ตามที่ได้ขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับ VP ต้องเลิกบ่นโน่นนี่นั่นและต้องลงมือทำเพื่อแก้ไขมันให้ดีขึ้น

เพราะคนเป็นผู้บริหารระดับนั้นแล้วจะมัวมาบ่นว่าลูกทีมไม่เก่ง อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีไม่พร้อม โทษโน่นนี่นั่นไม่ได้ เพราะเค้าบอกว่า “การจะเป็นผู้นำที่ Microsoft คือคุณต้องมาหากลีบกุหลาบในทุ่งที่เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลให้เจอ” แน่นอนครับ ไม่มีใครอยากทำงานกับผู้บริหารขี้บ่นหรอกจริงมั้ย

และนี่ก็เป็นหลักการ 3 ข้อของผู้นำที่ Microsoft ครับ

  1. นำความชัดเจนไปสู่ทุกคนที่ทำงานด้วย ทำให้ทุกคนเข้าใจหน้าที่และปัญหาที่เจอ ไม่ใช่เข้ามาทำให้งานซับซ้อน ยุ่งยาก และวุ่นวายมากขึ้นครับ
  2. ผู้นำต้องสร้างแรงกระตุ้น ไม่ใช่แค่กับทีมของตัวเอง แต่ต้องเป็นทั้งบริษัท
  3. ผู้นำต้องหาทางทำให้เกิดความสำเร็จ และทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น เพราะมีอำนาจที่จะทำแล้ว ต้องใช้อำนาจนั้นให้เกิดผลให้ได้ครับ

หนังสือเล่มนี้พูดเรื่องนิยามความเป็นส่วนตัวแบบใหม่ที่น่าสนใจ เค้าบอกว่าการที่คนสมัยนี้โพสอะไรออกไปมากมายให้โลกรู้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยินยอนให้ใครก็ได้เอาข้อมูลของพวกเขาไปทำอะไรก็ได้ และนั่นบอกให้รู้ว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้ไม่ใส่ใจความเป็นตัวส่วนแบบที่คนรุ่นเก่าคิด แค่พวกเขามีมุมมองกับความเป็นส่วนตัวที่ต่างออกไป

นั่นเลยเป็นเหตุผลให้แอปประเภท Snapchat ได้รับความนิยมไม่น้อย เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาสามารถทำอะไรบ้าๆ ได้มากแค่ไหน โดยมั่นใจว่าอย่างไรมันก็จะไม่หลุดออกไปมากกว่านั้น เพราะทุกอย่างมีเวลาแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น เรียกได้ว่าโพสทิ้งๆ อย่างสบายใจโดยที่คนเขาไม่ต้องการให้รู้จะไม่มีทางเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวพวกนั้นเลย

และในช่วงท้ายของเล่ม Satya Nadella ก็พูดถึงเรื่องเทคโนโลยีใหม่ที่หลายคนในวันนี้กังวลว่าจะเข้ามาแย่งงานไปหมดจนไม่เหลืออะไรให้ทำ แต่เขากลับมีอีกมุมมองหนึ่งว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น AI หรือ Robotic ล้วนเข้ามาเพื่อทำให้ชีวิตคนเราสะดวกสบายขึ้น แต่แน่นอนว่างานเก่าๆ จำนวนไม่น้อยจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ที่สามารถทำซ้ำแทนมนุษย์ได้ แต่ก็เช่นกันอีกว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะสร้างตำแหน่งงานใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทนงานเก่าที่หายไป

แต่นั่นก็หมายความว่าคนเราต้องหมั่นเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อตามเทคโนโลยีให้ทันเพื่อที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพราะอย่างไรก็ตาม AI คงจะไม่สามารถคิดหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ อย่างเช่นคนที่เป็นนักแต่นิยายภาษาอังกฤษ อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดนึกคันอยากแต่งภาษาฝรั่งเศสขึ้นมาแทน

แน่นอนว่าเมื่อภาษาเปลี่ยนบริบทก็เปลี่ยน บริบทเปลี่ยนนั่นก็หมายความว่านิยายของผู้แต่งคนนั้นจะทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ เพราะเมื่อ AI ถนัดในการทำซ้ำโดยเรียนรู้จาก Data ที่ป้อนเข้ามาได้ไม่จำกัด แต่มันก็คงจะไม่มีทางนึกทำอะไรใหม่ๆ ในสิ่งที่ไม่ถนัดแน่นอนครับ

และ Satya Nadella บอกว่า สกิลที่จะเป็นที่ต้องการมากที่สุดในอนาคตไม่ใช่ Coding แต่เป็น Empathy ที่เป็นความเข้าอกเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างมากที่สุด

เพราะในวันที่มนุษย์ต้องทำงานร่วมกับ AI อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าเรายิ่งต้องการความเห็นอกเห็นใจแบบมนุษย์ด้วยกันมากยิ่งกว่าเดิม

อย่างไรเสียการทำงานร่วมกับ AI ก็คงไม่อาจหนีพ้นได้ในอนาคต ก็เหมือนกับเมื่อ 20 ปีก่อนที่เราต้องเปลี่ยนมาฝึกทำงานกับคอมพิวเตอร์ จากเดิมที่เคยทำงานแต่กับกระดาษเป็นส่วนใหญ่

และนี่คือเรื่องราว แนวคิด มุมอง และวิสัยทัศน์ของ Satya Nadella CEO คนที่ 3 ของ Microsoft ครับ

Hit Refresh พลิกธุรกิจด้วยวิถีไมโครซอฟท์ Satya Nadella

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 68 ของปี 2019

สรุปหนังสือ Hit Refresh พลิกธุรกิจด้วยวิถีไมโครซอฟท์
ค้นหาจิตวิญญาณของไมโครซอฟท์ เพื่อวาดอนาคตที่ดียิ่งกว่าให้กับทุกคน
Sayta Nadella, Greg Shaw และ Jill Tracie Nichols เขียน
จารุจรรย์ คงมีสุข แปล
สำนักพิมพ์ We learn

อ่านครั้งแรกเมื่อ 20191128

อ่านสรุปหนังสือแนว CEO บริษัทต่อ > https://www.summaread.net/biography/%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%9b%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%b7%e0%b8%ad-%e0%b8%84%e0%b8%a1-ceo/

สนใจสั่งซื้อได้ที่ > http://bit.ly/2rgZbdS

สรุปอย่างย่อ หนังสือเล่มนี้เล่าย้อนให้เราไปรู้จักประวัติศาสตร์เทคโนโลยีก่อนที่จะมาเป็นยุคดิจิทัลแบบทุกวันนี้ ของ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผมเชื่อว่าคุณต้องใช้บริการเค้าอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ๆ คือถ้าโทรศัพท์คุณในวันนี้ไม่เป็น Andriod ของ Google ก็ต้องเป็น iPhone ของ Apple ส่วน Microsoft น่าจะแน่เป็นแช่แป้งว่าคอมพิวเตอร์ที่ออฟฟิศคุณถ้าไม่ใช่ Mac ก็ต้องเป็น Windows ซักเวอร์ชั่น และคุณก็น่าจะต้องใช้โปรแกรม Microsoft Office ในการทำงานเป็นประจำใช่มั้ยครับ

หนังสือเล่มนี้เล่าย้อนเวลาไปตั้งแต่สมัยที่ Apple เริ่มเติบใหญ่จากผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือ PC เป็นรายแรก จากนั้นก็ถูก Microsoft ที่เข้ามาเอาตลาดส่วนใหญ่ไปทั้งหมด ด้วยแนวคิดที่ว่าขาย software กำไรดีกว่าการขายรวมทั้ง software และ hardware แบบ Apple ในตอนนั้น

เมื่อ Microsoft เป็นใหญ่เรียกได้ว่าระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ใช้ Windows ไปหมดแล้ว ก็เจอกับคู่แข่งรายใหม่ที่เป็นน้องใหม่ในยุคอินเทอร์เน็ตอย่าง Netscape

Netscape เป็น Web Browser ตัวแรกๆที่ได้รับความนิยมอย่างสูง คือสมัยก่อนคอมพิวเตอร์ไม่มีโปรแกรมเข้าเว็บให้เล่นเน็ตติดตั้งมาพร้อมเครื่องให้ฟรีแบบทุกวันนี้ครับ ดังนั้นเราต้องออกไปซื้อแผ่นโปรแกรมมาติดตั้งกับเครื่องก่อนถึงจะสามารถเข้าเว็บได้

พอ Microsoft เริ่มเล็งเห็นว่า Netscape เป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของบริษัทเพราะเป็นซอฟต์แวร์เหมือนกันก็เลยสร้าง Internet Explorer ขึ้นมาเพื่อจะกำจัดคู่แข่งรายนี้ไป ด้วยการเอาไปติดตั้งให้ฟรีกับโปรแกรมอย่าง Windows ทุกตัว จนกลายเป็นเรื่องฟ้องร้องในเรื่องการผูกขาดตลาดทั้งในอเมริกาและยุโรปในช่วงนั้น

จนเท่าที่ผมจำได้คือ Windows ที่วางขายในยุโรปจะต้องถอดโปรแกรม Internet Explorer ออก เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการแข่งขันว่าคนจะไปหาโปรแกรมอะไรมาติดเพิ่มเองหลังจากลง Windows แล้ว

แต่นั่นแหละครับ ด้วยพลังอำนาจล้นฟ้าของ Microsoft ในตอนนั้นก็ทำให้ Netscape ต้องค่อยๆหายออกจากตลาดไปในที่สุด และความสงบสุขก็เหมือนจะกลับคืนมาได้ชั่วขณะ

แต่ในขณะนั้นเองก็เกิดบริษัทน้องใหม่อย่าง Google ขึ้นมาที่ไม่ได้ทำซอฟต์แวร์ใดๆขึ้นมาแข่ง แต่ทำระบบค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตขึ้นมาเลย ดังนั้น Google เลยไม่แคร์ว่าคนจะใช้ Internet Explorer หรือ Netscape เพราะทั้งคู่ก็ใช้ Google ได้ และก็ค่อยๆทำตลาดของตัวเองมาเงียบๆไม่ให้ Microsoft รู้เพื่อกันโดนถล่มบริษัทแบบ Netscape หรือ Apple แต่กว่า Microsoft จะรู้ตัว Google ก็ทิ้งห่างจน Microsoft ตามไม่ทันแล้ว

นี่ยังไม่รับรวมว่า Microsoft ต้องเจอศึกหลายทางที่พอ Steve Jobs กลับมาที่ Apple แล้วทำให้ iPod ปฏิวัติการฟังเพลงของคนทั้งโลกไป รวมถึงเป็นผู้สร้างตลาด Smartphone สำหรับคนทั่วไปขึ้นมาอีก จน Google ก็อดใจไม่ได้ต้องลงมาเล่นด้วยในเกมนี้

ถ้าใครอยากจะรู้เรื่องประวัติศาสตร์จุดเริ่มต้นของยุคคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และดิจิทัล ผมว่าหนังสือเล่มนี้ดีถึงดีมากครับ แม้จะเก่าและผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ขนาดเพิ่งอ่านจบเมื่อวานก็ยังรู้สึกสนุกไม่น่าเชื่อ จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีส่วนของ Facebook เข้ามาด้วยคงมันกว่านี้อีกหลายเท่าเป็นแน่

ว่าจะสรุปอย่างย่อ ไปๆมาๆกลับยาวซะอย่างนั้น

งั้นก็ขอสรุปอย่างยาวต่อเลยแล้วกันครับ เรื่องเริ่มจากว่าพอ Microsoft เป็นใหญ่ในตลาดคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์แล้ว ใครก็ตามที่คิดจะเริ่มธุรกิจนี้ในช่วงปลายศตวรรษ 1990 นั้นมีเป้าหมายอยู่สองอย่าง คือหนึ่งถ้าไม่ทำให้ Microsoft สนใจจนเข้ามาซื้อ ก็พยายามหนีจาก Microsoft ไปให้ไกลที่สุดถ้าไม่อยากถูกจับตามองและถูกทุบทำลายในที่สุด

สัจธรรมธุรกิจข้อนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนะครับ วันนี้หลายธุรกิจเกิดใหม่ก็ยังคงเป็นแบบนี้ ถ้าไม่ถูกยักษ์ใหญ่ซื้อไป ก็รอถูกยักษ์ใหญ่เจียดเศษเงินและเวลาเข้ามาแข่งด้วยจนต้องยอมแพ้ไปเป็นส่วนมาก

บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft หรือ Apple หรือ Google กลัวนั้นไม่ใช่บริษัทที่เห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่เป็นใครซักคนที่กำลังทำอะไรอยู่ในโรงรถที่บ้านเหมือนที่พวกเขาเหล่านั้นเคยทำมาแล้วต่างหาก ดังนั้นถ้าไม่ขายก็เตรียมสู้จนตายกันไปได้เลย

สิ่งที่ทำให้ Steve Jobs แตกต่างคือการออกแบบในแบบที่ไม่มีใครเหมือน เพราะ Steve Jobs นั้นเน้นการออกแบบให้ถึงแก่น ไม่ใช่แค่รูปร่างหรือหน้าตาภายนอกเท่านั้น แต่เป็นการออกแบบไปถึงวิธีการใช้งานของสิ่งนั้น นั่นเลยเป็นเหตุผลให้ iPod และ iPhone สามารถสร้างตลาดใหม่อย่างดนตรีดิจิทัลและสมาร์ทโฟนขึ้นมาได้เป็นรายแรกของโลก

และ Tim Cook ก็เป็นหนึ่งคนสำคัญที่ทำให้ Apple ผลิกฟื้นและยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ แม้เค้จะไม่มีฝีมือด้านการตลาด ไม่มีหัวด้านการออกแบบ และไม่เข้าใจผู้บริโภค แต่เค้าเข้าใจว่าทำอย่างไรบริษัทถึงจะเกิดกำไรสูงสุด ด้วยทักษะด้านการบริการจัดการสินค้าคงคลังของเค้า ทำให้สินค้าที่ต้องเคยสต๊อกไว้เป็นเดือนๆเพื่อเตรียมขาย เหลือเพียงแค่มีพอขายแค่ 3 วันเท่านั้น

เพราะสินค้าเทคโนโลยีนั้นหมดอายุเร็วไม่แพ้นมสดเลย บางครั้งออกมาวันนี้ มะรืนนี้ก็ตกรุ่นแล้ว ดังนั้นการสต็อกสินค้าไว้เยอะจะยิ่งทำให้บริษัทเสี่ยงต่องบดุลและต้นทุนที่จมหายไป ความสำเร็จของ Apple ในยุคหลังไม่ใช่แค่ผลงานสินค้า แต่เป็นผลงานการกระจายสินค้าที่สดใหม่ตลอดเวลาด้วยครับ

มาที่ Google บ้าง เชื่อมั้ยครับว่าครั้งนึงสองผู้ก่อตั้งกูเกิลอย่าง Larry Page และ Sergey Brin เคยเสนอขายไอเดียให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตอนนั้นอย่าง Yahoo แต่ก็ถูก Jerry Yan ผู้ก่อตั้งปฏิเสธเพราะเห็นว่า business model ของ Google นั้นไม่เข้ากับ Yahoo

Yahoo ต้องการให้คนอยู่ในเว็บเค้านานๆ อ่านโน่นนี่นั่นคลิ๊กไปเรื่อย แต่ Google ต้องการให้คนออกไปให้เร็วที่สุด นี่คือบทเรียนเรื่องกับดักความสำเร็จที่เรายังพบเห็นได้เป็นประจำ จนสุดท้ายตอนนี้ Yahoo ยังเหลือกี่คนที่ยังเข้าอยู่ครับ

แล้วปัญหาใหญ่ของเว็บ search engine ในตอนนั้นคือเว็บโป๊

เพราะเว็บโป๊พยายามทำยังไงก็ได้ให้คนเข้ามาเยอะที่สุด เพื่อจะได้ขายโฆษณามากมายที่ติดไว้เต็มหน้า ดังนั้นพอจะเสริชหาอะไรก็มักจะเจอเว็บโป๊เป็นประจำ เพราะมักถูกแทรกเนื้อหาที่คนกำลังเสริชหาไว้ ทำให้การเสริชในสมัยแรกนั้นต้องเปิดไปหลายหน้ามากกว่าจะเจอเว็บที่ใช่จริงๆ

ปัญหานี้ Google แก้เกมด้วยการเอาคำที่มีเฉพาะในเว็บโป๊มาหักล้างกับผลการค้นหา เพื่อคัดแยกเว็บโป๊ออกจากเว็บธรรมดา ไม่ให้เนียนติดขึ้นมาในหน้าเสริชได้ ผลคือ Google เลยเป็นเว็บที่หาอะไรก็เจออย่างที่ต้องการจริงๆ ไม่ใช่เจออะไรก็ไม่รู้ที่ไม่อยากเจอเป็นประจำแบบรายอื่น

ส่วนงานใน Google นั้นก็เป็นแบบตรรกะขั้นสุด หรือเรียกว่าสวรรค์ของ engineer แต่ไม่ใช่กับฝ่ายหัวคิดสร้างสรรค์แต่อย่างไร เพราะลำพังการจะเลือกว่าจะใช้สำน้ำเงินไหนเป็นลิงก์จากหน้าโฆษณาของ Google ก็ต้องผ่านการคัดเลือกสีน้ำเงินกว่า 40 เฉด ด้วยการทดสอบแบบ A/B Testing หลายล้านครั้งจนเจอน้ำเงินเฉดที่คนคลิ๊กเยอะมากที่สุด

ดังนั้นถ้านักออกแบบสงสัยว่าจะใช้สี่เหลี่ยมหรือวงกลมดีกว่ากัน คำถามนั้นจะไม่ต้องรอใครมาตอบ แต่จะส่งไปทดสอบแล้วเอาคำตอบแบบเหตุผลสุดๆมาใช้ครับ

แล้วเคล็ดลับการจ้างพนักงานของ Google ก็ไม่เหมือนใคร เค้าเลือกจ้างคนที่เก่งมากๆแต่ไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย เพราะคนพวกนี้จะทำงานแบบไม่หยุดเพราะรู้สึกว่าทำเท่าไหร่ก็ไม่ดีพอซักที ใครจะลองเอาเทคนิคนี้ไปใช้เวลาเลือกคนที่ออฟฟิศดูบ้างก็ได้นะครับ

แล้วเชื่อมั้ยครับว่าครั้งนึง Steve Jobs เคยจะถูกทาบทามให้มาเป็น CEO ของ Google ด้วยซ้ำ แต่ติดว่าตอนนั้นเค้าไม่ว่างเลยต้องหาคนใหม่จนได้ Eric Schmidt มา

แล้วเหตุที่บริษัทยักษ์ใหญ่แบบ Microsoft ไม่กล้าเสี่ยงแบบ Google ก็เพราะข้อแตกต่างระหว่างบริษัทซอฟต์แวร์กับบริษัทอินเทอร์เน็ต

Software นั้นผิดพลาดแล้วยากที่จะแก้ไขให้กลับมาเป็นแบบเดิมได้ เพราะต้องผ่านการอัพเดทหรือติดตั้งใหม่ที่ต้องใช้เวลา เมื่อเทียบกับบริษัทอินเทอร์เน็ตอย่าง Google ที่ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็แค่เรียกเวอร์ชั่นของเมื่อวานกลับมาใช้งานได้ทันที ในอินเทอร์เน็ตทุกอย่างสดใหม่เสมอ ไม่เหมือนกับ Software ที่เหมือนของตาย คือถ้าไม่ดีก็ตายเลย

และนี่ก็คือกับดักความสำเร็จของ Microsoft เหมือนกับ Yahoo ที่เล่าไปครับ

แล้วพอรู้มั้ยครับว่าข้อมูลส่วนใหญ่บน Facebook นั้นถูกป้องกันไม่ให้ Google เข้ามาเก็บข้อมูลไปได้ง่ายๆเหมือนเว็บทั่วไป เพราะ Facebook นั้นก็มองว่าเนื้อหาบน Facebook นั้นมีค่าเกินกว่าที่จะปล่อยให้ Google มากวาดไปเก็บรวมไว้ได้ง่ายๆ นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมควรทำ content บน web ของตัวเองมากกว่าแค่ใน Facebook เพราะตราบใดที่คนยังใช้ Google Search หาข้อมูลเป็นช่องทางหลัก และก็ยังไม่เห็นแนวโน้มการใช้ Facebook Search จะดีเทียบเท่าในเร็ววันนี้

มาที่ Apple แล้วเริ่มต้นกันที่เรื่องราวของ iPod ที่สำเร็จได้ด้วย Wheel หรือวงล้อมหัศจรรย์

เจ้าวงล้อนี้แหละที่ออกแบบมาอย่างดี สามารถเร่งความเร็วในการหมุนด้วยตัวเองได้ ทำให้การเข้าถึงเพลงเป็นพันๆเพลงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะสมัยนั้นเครื่องเล่น MP3 ที่จุเยอะๆได้แบบ iPod มีนะครับไม่ใช่ไม่มี แต่ User Experience มันแย่มาก จากเพลงที่หนึ่งกว่าจะไปถึงเพลงที่พันก็หมดวันแล้ว มีแต่ iPod เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ทุกเพลงแค่ไม่กี่คลิ๊กจริงๆ

แล้วรู้มั้ยครับว่า iPod รุ่นแรกๆนั้นมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ แต่ทาง Apple ก็ไม่แคร์เพราะรู้ว่ากว่าเครื่อง iPod ที่ลูกค้าซื้อไปจะเริ่มพบปัญหาเรื่องแบต ก็มีเครื่องรุ่นใหม่มาให้รอซื้อเปลี่ยนใหม่แล้ว เป็นความคิดที่ต้องคาราวะจริงๆครับ

คือกว่าจะมีปัญหาก็มีทางแก้ออกมาให้พร้อมจ่ายแล้ว สุดยอด

หรือคุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องความ Perfectionist ของ Steve Jobs ในเล่มนี้ก็มีขั้นสุดของเค้าเล่าให้ฟัง เค้าเล่าว่าครั้งหนึงก่อนวันเปิดตัวสินค้า ตอน Jobs นั่งทดสอบอยู่ในห้องก็เกิดได้ยินเสียง “กริ๊ก” ตอนเสียบหูฟังเข้าไปยังช่องที่ iPod

Jobs บอกว่าเค้าไม่ชอบเสียงนั้นเลย อย่าให้ได้สินเสียงเสียบหูฟังนั้นอีก เชื่อมั้ยครับว่าทางวิศวกรต้องขัดปลั๊กหูฟังทุกชิ้นในคืนก่อนเริ่มงานเปิดตัววันนั้น

หรือแม้แต่การที่ Jobs ใส่ใจในรายละเอียดว่า ตัวเครื่อง iPod ไม่ควรเป็นสีขาวสะท้อนแสง เพราะตอนที่นักข่าวถ่ายรูปไปค่า white balance จะเพี้ยน ทำให้ตัวเครื่องไม่สวยเหมือนของจริง เลยเป็นที่มาของสีออกด้านไม่สะท้อนแสงของสินค้า Apple ทุกเครื่องเห็นมั้ยครับ

ฝ่ายการตลาดของ Apple ก็เป็นผู้สร้างเทรนดูหูฟังสีขาวขึ้นมา เค้าบอกว่าตัวเครื่องมักจะอยู่ในกระเป๋า ไม่มีใครหยิบเครื่องออกมาโชว์กันบ่อยๆ ดังนั้นต้องทำยังไงก็ได้ให้คนรู้ว่าคนๆนี้ฟัง iPod อยู่ ก็เลยเกิดเป็นหูฟังสีขาวที่ไม่เหมือนกับรายใดในตลาดเลยที่ล้วนแต่เป็นสีดำ

แถมยังให้บรรดาคนดังเอาไปใช้ฟังบ่อยๆเพราะสร้างกระแสว่าคนดังเค้าฟัง iPod กันทั้งนั้นแหละ แม้ไม่เห็นเครื่องแต่ก็ยังเห็นหูฟังสีขาว ดูดิ

พอ iPod ดังมากก็ยิ่งเร่งให้เกิดการดาวน์โหลดเพลง MP3 ทั้งที่ถูกลิขสิทธิ์และไม่ถูกลิขสิทธิ์ และผู้บริหารของ Microsoft เองก็พลาดที่เผลอไปตำหนิลูกค้า iPod หรืคนฟัง MP3 ว่า มีแต่พวกหัวขโมยเท่านั้นแหละที่ใช้ งานนี้ทำเอาสาวกเดือดดาลประนาม Microsoft เสียหายไม่น้อยเลยครับตอนนั้น

แล้วพอ iPod ยิ่งเป็นกระแสก็ยิ่งมีแต่คนอยากได้ แต่เชื่อมั้ยครับว่า Apple นั้นทำการตลาดโดยไม่เอาสินค้าตัวเองไปวางขายตามห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง Wall-Mart และ Best Buy

เพราะ Apple รู้ว่าสินค้าตัวเองตัวสเป็กเครื่องไม่สามารถเทียบกับคู่แข่งได้ แล้วถ้าถูกไปวางขายกับสินค้าอื่นที่เทียบกันเรื่องนี้แต่มีราคาถูกกว่า ก็จะทำให้ขายไม่ออก ดังนั้น Apple เลยเลือกพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น ที่จะมีแค่เทียบกับสินค้าของตัวเอง ไม่มีคู่แข่งมาให้เทียบ นี่คือการสร้างแบรนด์ที่อัจฉริยะมากครับ ยอมไม่ขายตลาดบางกลุ่มเพื่อรักษาตลาดอีกกลุ่มไว้

แล้วผลคือก็ยิ่งทำให้คนอยากได้เข้าไปใหญ่ กลายเป็นว่าสินค้า Apple อย่าง iPod นั้นช่างไม่ธรรมดาเอาเสียจริง

แล้วรู้มั้ยครับว่าตอน Steve Jobs เปิดตัว iPhone ครั้งแรก ที่ทั้งหน้าจอสัมผัสแบบ multi-touch และสามารถซูมขยายได้ เล่นอินเทอร์เน็ตได้เต็มรูปแบบในตัวนั้น พวกวิศกรทั้งหลายต่างคิดว่านั้นมันยังเป็นไปไม่ได้ ยังไม่มีเทคโนโลยีไหนสามารถทำได้ จนในที่สุดพวกเค้าก็คิดผิด เพราะ Steve Jobs เอาชนะข้อจำกัดนั้นได้จนทำให้เกิดขึ้นจริงแล้ว

และ iPhone นี่แหละก็เป็นตัวปฏิวัติตลาด 3G ที่จากเดิมค่ายมือถือมีระบบพร้อมไว้นานแต่ไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไร ก็ในเมื่อคนยังใช้แค่โทรเข้า โทรออก รับสาย ส่งข้อความ ช่องสัญญาณความเร็วสูงก็ถูกทิ้งร้างไว้ จนกระทั่ง iPhone มาเปิดศักยภาพของคลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แล้วก็เปลี่ยนรูปแบบการคิดเงินใหม่ จากการคิดที่การโทร มาคิดจากข้อมูลที่ใช้แทน

iPhone ก่อให้เกิดยุคสมาร์ทโฟนที่แท้จริง เพราะแม้จะมีคนบอกว่าโทรศัพท์ก่อหน้านั้นก็เข้าเว็บและเช็คอีเมลได้ แต่ไม่เคยมีใครทำให้มันง่ายจนใครๆก็ใช้ได้แบบ iPhone ถ้าจำได้สมัยนั้นผมใช้ Nokia แม้จะเข้าเว็บได้ก็จริงแต่หน้าตาเว็บนั้นพังมาก ไม่สามารถซูมขยายได้ดังใจเลยซักที

แล้ว Smart Phone ก็ทำให้การเปลี่ยนเครื่องใหม่เป็นเรื่องง่าย จากเดิมข้อมูลต่างๆจะถูกเก็บไว้บนเครื่อง ทำให้เวลาจะเปลี่ยนเครื่องทีต้องคิดมากเรื่องการย้ายข้อมูล หรือเครื่องหายทีนี่ยิ่งเครียดใหญ่ แต่วันนี้เมื่อทุกอย่างถูกเก็บไว้บน Cloud ทำให้การเปลี่ยนเครื่องใหม่นั้นง่ายแค่ไม่กี่นาที และข้อมูลทุกอย่างก็พร้อมใช้ทันทีไม่ว่าเราจะใช้เครื่องไหน

และนี่ก็คือเรื่องราวของหนังสือเล่มนี้ สงครามดิจิทัล ระหว่างแอปเปิล กูเกิล และไมโครซอฟต์ ผมว่าควรจะถูกบรรจุอยู่ในวิชาประวัติศาสตร์ธุรกิจและดิจิทัลพื้นฐานด้วยซ้ำ เพราะเราจะได้รู้ว่ากว่าจะมีมือถือทุกวันนี้ กว่าจะมาเป็นอินเทอร์เน็ตทุกวันนี้ มันเริ่มมายังไงและมีเส้นทางเป็นแบบไหน

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 13 ของปี 2019

Digital Wars
สงครามดิจิทัล แอปเปิล กูเกิล และไมโครซอฟต์
Charles Arthur เขียน
ดร.พิมพ์ใจ สุรินทรเสรี แปล
สำนักพิมพ์ Nation Books

20190302