Tag

Less condition more happiness

Browsing

เพราะเราไม่ได้เห็นโลกตามความจริง แต่เราจะเห็นโลกตามความคิด สถานการณ์เดียวกันคนนึงมองเห็นแต่ปัญหา แต่อีกคนกลับมองเห็นโอกาส

ตอนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหลายคนเห็นความล่มสลาย แต่คนอีกไม่น้อยมองเห็นโอกาสใหม่ๆ

ดังนั้นถ้าใครบอกว่าเพราะโลกมันไม่ดี หรือเพราะตอนนี้มีแต่เรื่องแย่ๆ อยากให้ลองปรับความคิด เปลี่ยนทัศนคติดูซักนิด แล้วคุณจะพบเรื่องดีๆที่ไม่เคยคิดอีกเยอะ

หนังสือเล่มนี้อยู่ในชุด ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ เล่มที่ 29 ของ หนุ่มเมืองจันท์ ตั้งแต่โดนลูกน้องเก่าหลอกให้อ่านเล่มนึง จนเสพย์ติดต้องตามเก็บย้อนหลังจนอ่านครบทุกเล่มแล้วครับวันนี้

เนื้อหาในเล่มนี้มีหลายหน้าที่น่าสนใจมาก ปกติเวลาผมเจออะไรน่าสนใจ ผมจะขีดต้นประโยคของช่วงที่หน้าสนใจ และพับมุมล่างของเล่มไว้ เพราะมุมบนผมเอาไว้พับตอนหยุดพักเวลาจะกลับมาอ่านต่อ

อย่าง ทฤษฎีความสุขของไอน์สไตน์ เคยได้ยินมาก่อนมั้ยครับ?

ผมคนนึงแหละที่ไม่เคย จนได้พบว่าทฤษฎีความสุขของไอน์สไตน์เองน่าจะได้รางวัลโนเบลอีกซักรอบ ในสาขาสันติภาพโลก เพราะทฤษฎีนั้นบอกไว้ว่า “ชีวิตที่เงียบสงบและเรียบง่าย นำไปสู่ความสุขมากกว่าการแสวงหาความสำเร็จที่มีแต่ความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา”

ครับ ถ้าเรารู้จักใช้ชีวิตให้ง่ายแบบที่ไอน์สไตน์ว่า ลดเรื่องราวและสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต ก็จะได้พบความสุขบ่อยขึ้น

Less conditions more happiness เงื่อนไขน้อย ก็สุขเยอะครับ

หรือ โลกที่เห็นว่าเด็กคนนึงฉลาดหรือโง่ ที่วัดจากผลการสอบ

ผู้ชายคนนึงเคยถูกอาจารย์บอกว่า “โง่” ไม่ใช่โง่ธรรมดานะครับ แต่เป็น “โง่มาก” แต่มาวันนี้ชายคนนั้นกลับเป็นชายที่ทำให้ใครหลายคนต้องหลงรัก โดยเฉพาะสาวๆ และเชื่อได้ว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จักผู้ชายคนนี้

บอย โกสิยพงษ์ ครับ

ตอนเด็ก บอย เรียนหนังสือไม่เก่งเลย ทั้งที่ตั้งใจแค่ไหน หรือพยายามเท่าไหร่ก็แข่งกันได้ที่โหล่กับเพื่อนมาตลอดจนอาจารย์พากันปวดหัว แต่โชคดีที่แม่ของบอยเข้าใจ ไม่เคยต่อว่าบอยเลย แม่ของบอยบอกว่า บางทีโรงเรียนนี้อาจไม่ได้เหมาะกับเรา ไปหาที่อื่นเรียนดีกว่าลูก

โอ้โห ถ้าเป็นแม่ผมนี่ คงสวดไปทั้งชีวิตแน่ๆครับ

มาวันนี้บอยเป็นชายที่ถ้าจะใช้คำว่า “ประสบความสำเร็จ” ก็ยังน้อยไป บอยให้ข้อคิดเปรียบเทียบที่น่าสนใจ ที่ผมอยากจะเอามาเล่าต่อให้คนที่กำลังเป็น “พ่อแม่” ฟัง

บอย บอกว่า มนุษย์เรามีความถนัดไม่เหมือนกัน ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเอาสัตว์ทั้งป่าไปสอบด้วย “ข้อสอบชุดเดียวกัน”

เราจะเอาปลาไปแข่งปีนต้นไม้กับลิงไม่ได้ ดังนั้นในโลกของโรงเรียน ที่วัดกันแค่ “วิทย์” หรือ “ศิลป์” นั้นไม่สามารถวัดความฉลาดของเด็กทุกคนได้เท่าเทียมกัน

ถ้าใครที่กำลังเรียนไม่เก่ง ขอให้รู้ไว้ว่าคุณไม่ใช่คนโง่อย่างที่เค้าว่า คุณแค่ไม่เข้ากับมาตรฐานที่คับแคบของการศึกษา และขอให้คุณมีความพยายามตั้งใจหาสิ่งที่ตัวเองรักให้เจอ

ถึงจะไม่ประสบความสำเร็จโด่งดัง แต่คุณก็จะประสบความสำเร็จในฐานะ “มนุษย์” คนนึงครับ

พี่นิค บอสใหญ่ค่ายเพลง Genie Records ที่มีศิลปินดังในมืออย่าง Bodyslam, Bigass, Paradox, Instinct และ เคลียร์ พูดถึงการดูแลศิลปินที่ขึ้นชื่อเรื่องความคิดว่าใช้หลักการแบบปรัชญา ปล่อย แบบ ไม่ปล่อย

ศิลปินทุกคนมีความโลกส่วนตัวสูง ไม่ต้องการให้ใครตีกรอบ หรือขัดเส้น พี่นิคก็เลยมีสูตรในการดูแลศิลปินให้ไปถึงเป้าหมายที่ตัวเองต้องการว่า ไม่ตีเส้นให้เขาไต่ แต่จะทำถนนให้เค้าเดิน

สองอย่างนี้พาไปสู่เป้าหมายเหมือนกัน แต่ในความรู้สึกต่างกันลิบ

อย่างแรกการตีเส้นคือการจำกัดไปหมดทุกอย่าง ทำให้ศิลปินอึดอัดหรือไม่มีความสุขเพราะไม่ได้เป็นตัวของตัวเองได้

ส่วนอย่างหลังการเดินบนถนนนั้น ศิลปินสามารถเอียงซ้าย เหล่ขวา ออกนอกเส้นกลางถนนได้ แต่ยังอยู่บนถนนที่สร้างไว้ ยังได้ความรู้สึกในการเป็นตัวของตัวเองอยู่ และก็ถึงเป้าหมายปลายทางได้เหมือนกัน

นี่คือเคล็ดลับการดูแลศิลปินของพี่นิคครับ

หรือโลกของการทำ Brand Loyalty ที่ไม่เหมือนใครของ Naraya แบรนด์กระเป๋าผ้าสวยๆแต่กลับราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ พูดได้ว่าแบงก์ร้อยใบเดียวก็ซื้อได้ หรือถ้ามีสองใบยิ่งเลือกได้สบายเลย

ปกติแล้วการสร้างแบรนด์รอยัลตี้ คือการทำให้ลูกค้าจงรักภักดีกับเรา ไม่นอกใจไปหาแบรนด์อื่นใช่มั้ยครับ

แต่กับแบรนด์ Naraya นั้นคิดใหม่มองโลกนี้อีกมุมว่า แบรนด์รอยัลตี้ของเค้าคือ การจงรักภักดีกับลูกค้า จนทำให้ลูกค้าไม่อยากนอกใจไปที่อื่น

เวลานารายาออกกระเป๋าใหม่ จะให้พนักงานสอบถามความเห็นของลูกค้าว่าคิดยังไง ชอบไม่ชอบ แล้วถ้าไม่ชอบนั้นไม่ชอบตรงไหน ไม่ใช่แค่เก็บข้อมูลจากไม่กี่สาขาพอเป็นพิธี แต่เก็บจากทุกสาขาทั่วโลก

ทีนี้พอได้ข้อมูลมาก็เอามาปรับปรุงให้ดีขึ้น ให้ตรงกับใจลูกค้ามากขึ้น นี่แหละครับ เคล็ดลับการสร้างแบรนด์รอยัลตี้ที่ใครๆก็เลียนแบบได้ แต่กลับไม่มีใครทำ

ขอตัดใจเล่าเรื่องสุดท้ายไว้ให้ฟัง

โรงพยาบาลแห่งหนึ่งให้ทีมซ่อมบำรุงรถยนต์สูตรหนึ่ง หรือ Formula 1 มาเป็นที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้น เพราะทีมซ่อมบำรุงรถ F1 นั้น เราจะเห็นกันดีว่าใช้ทุกวินาทีได้มีประโยชน์สูงสุด

เวลารถวิ่งเข้ามาจอดนั้นแทบไม่ต้องมีใครบอกใครว่าต้องทำอะไร ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้เสร็จพร้อมกันในไม่กี่วินาที และเมื่อทุกคนทำหน้าที่ตัวเองได้ดีเยี่ยม ผลก็คือทีมของตัวเองก็มีโอกาสชนะสูงขึ้น

การทำงานในส่วนห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลก็เหมือนกันครับ ทุกวินาทีมีความหมายมากกว่าการแข่ง F1 เพราะนั่นหมายถึงชีวิต ชีวิตที่ไม่อาจสูญเสียได้ของใครบางคน

แต่ในการทำงานจริงมักจะเกิดปัญหา การทำงานที่ไม่รวดเร็วอย่างสอดคล้องกัน ทีม F1 ที่เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเลยดูวิธีการทำงาน แล้วออกแบบระบบการทำงานใหม่ ให้แต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองได้รวดเร็ว โดยลดการขัดแย้งหรือผิดพลาดระหว่างกันให้น้อยที่สุด

ผลจากการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแบบรถ F1 คืออัตรารอดชีวิตสูงขึ้น ไม่รู้ว่าจะมีแจกบัตร F1 ให้ไปดูหลังออกจากห้องฉุกเฉินด้วยมั้ยครับ

ถ้าเรามองโลกของการทำงานในโรงพยาบาลว่าต้องใช้คนที่ทำงานในโรงพยาบาลเท่านั้น เราก็คงจะได้มุมมองเดิมๆ แต่เมื่อโรงพยาบาลมองว่าต้องการมุมมองทางด้านประสิทธิภาพขั้นสูงสุด ก็เลยได้ทีม F1 เข้ามาช่วย

โลกที่เห็น เป็นอย่างที่คิดจริงๆครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 74 ของปี 2018

โลกที่เห็น เป็นอย่างที่คิด
ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจเล่มที่ 29
หนุ่มเมืองจันท์เขียน
สำนักพิมพ์มติชน

20180601

“ความสุขของเราคืออะไร?” และ “ทำไมสิ่งนี้ถึงเป็นความสุขของเรา?”

คำถามแรกคือคำถามที่ผุดขึ้นมาทันทีเมื่อเริ่มอ่านและอ่านจบ ส่วนคำถามที่สองเริ่มโผล่ออกมาเมื่อย้อนคิดถึงคำถามแรก

ถ้าจะบอกว่าความสุขคือจุดมุ่งหมายสูงสุดในการใช้ชีวิตของคนเราก็ไม่ผิดนัก เพราะทุกคนต่างก็ดิ้นรนแสวงหาความสุขกันทั้งนั้น เพียงแต่ “ความสุขของเราคืออะไร?” นี่คือคำถามที่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มีคำตอบในใจอยู่แล้ว

เช่น มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวให้อยู่สุขสบาย (บางคนต้องการเดือนละสองหมื่น แต่บางคนก็ต้องการเดือนละสองล้าน) หรืออาจจะเป็น เมื่อทำธุรกิจประสบความสำเร็จจนมีเงินเก็บถึงจุดนึง (บางคนต้องการสิบล้านบาท หรือบางคนก็ต้องการร้อยล้านบาทขึ้นไป) หรือบางคนอาจจะเป็นการที่ได้เรียนจบเกรียตินิยม หรืออาจจะเป็นการได้ทำงานในบริษัทที่มั่นคงและมีชื่อเสียง หรืออาจจะเป็นการได้มีตำแหน่งใหญ่โต เป็น VP หรือบอร์ดบริหาร หรือบางคนอาจจะแค่ได้กินของอร่อยๆอย่างไอศกรีมซักแท่ง

นั่นแหละครับความสุขที่ต่างกันไปของแต่ละคน แต่ส่วนใหญ่ก็คงคล้ายๆกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงิน บ้าน รถ งาน สถานะทางสังคม อะไรทำนองนี้ ว่าแต่สิ่งเหล่านี้กลายเป็นความสุขของคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ได้อย่างไร

เพราะค่านิยมของคำว่า “ความสำเร็จ” ครับ

ค่านิยมของคำว่า “ความสำเร็จ” คือที่สังคมรอบตัวปลูกฝังเรามาตั้งแต่เด็ก เราถูกสั่งสอนให้ต้องเป็นคนที่ “ประสบความสำเร็จ” ในชีวิตให้ได้ แล้วก็ถูกปลูกฝังต่อว่าต้องมีบ้าน มีครอบครัว มีหน้าที่การงานที่ดี (ไม่รู้ว่าไอ้หัวข้อการมีบ้านนี่เป็นโฆษณาระดับจิตสำนึกให้ต้องมีบ้านกันทุกคนเลยรึเปล่านะ) เลยไม่แน่ใจว่าคำว่า “ความสุข” ทุกวันนี้คือความสุขจริงๆ หรือเป็นเพียงแค่ “ชุดความคิด” ที่ส่งต่อให้กัน

หนังสือเล่มนี้สอนให้เราย้อนกลับมาถามตัวเองว่า “ความสุข” ที่แท้จริงของเราคืออะไร ถ้าเรายังยืนยันว่า “เงิน” หรือ “หน้าที่การงาน” หนังสือเล่มนี้ท้าทายให้เราถามตัวเองให้ลึกลงไปอีกข้อสู่คำถามที่สองที่ผมบอกไว้แต่ต้นว่า “ทำไมสิ่งนี้ถึงกลายเป็นความสุขของเรา?”

ครับ ทำไมเงินถึงกลายเป็นความสุขของเรา?

ทำไมการมีบ้านถึงกลายเป็นความสุขของเรา?

หรือทำไมการมีคนรักถึงกลายเป็นความสุขของเรา?

หรือแม้แต่ทำไมการได้มีตำแหน่งใหญ่โตในหน้าที่การงานถึงกลายเป็นความสุขของเรา?

เราเคยถามคำถามนี้กับตัวเองบ้างมั้ยครับว่าทำไม “สิ่งต่างๆ” ที่เป็น “เงื่อนไขที่จะทำให้เรามีความสุข” ถึงกลายเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทั้งๆที่ทำไมตอนเด็กเรากลับมีความสุขได้กับเรื่องง่ายๆ อย่างการได้เล่นน้ำในกาละมัง หรือการได้กินไอศกรีมจากรถเข็นซักแท่ง

ทำไมยิ่งโตขึ้นความสุขเรายิ่งดู “ยากขึ้น” และ “แพงขึ้น” เรื่อยๆล่ะ…ทำไม

ทั้งหมดนี้ไม่ได้บอกว่าให้เราละความทะยานอยากที่เคยมีไปทั้งหมด

แต่แค่ให้เราถามตัวเองกลับว่าทั้งหมดที่เรากำลังทำไปให้ถึงความสุขที่เป็นเป้าหมายเรานั้นมันจะทำให้เรามีความสุขจริงๆหรอ หรือเมื่อพอไปถึงจุดหมายนั้นเราก็ต้องหาเป้าหมายต่อไปเพื่อวิ่งแข่งสู่เป้าหมายเข้าไปเรื่อยๆ หรือจริงๆแล้วการวิ่งแข่งคือความสุขของคนบางคนกันแน่

หนังสือเล่มนี้เตือนสติให้ผมได้กลับมาคิดนิดนึงว่า การที่เราจะมีเป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราต้องหา “ความหมาย” ให้กับเป้าหมายนั้นด้วยว่าทำไมถึงต้องเป็นเป้าหมายนี้ เพื่อที่จะทำให้ระหว่างทางที่เรากำลังจะเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้นมีความหมายยิ่งขึ้น

อย่างใช้ชีวิตเหมือนการขับรถเพื่อมุ่งไปให้สู่เป้าหมายจนลืมมองความสวยงามที่เกิดขึ้นระหว่างทาง

แต่จงใช้ชีวิตให้เหมือนกับการจิบไวน์ ที่ค่อยๆละเมียดในการจิบ ในการดม ในการกระดกเพื่อให้ดื่มด่ำเต็มอิ่มกับความสุขในการดื่มไวน์ฉันใด การใช้ชีวิตให้ละเมียด ให้ละเอียด ให้มีจังหวะช้า ก็เหมือนการใช้ชีวิตให้เป็นฉันนั้น

หนังสือเล่มนี้บอกว่าคนเราส่วนใหญ่ใช้ชีวิตออกเป็นสี่กลุ่ม

1. หนูวิ่งแข่ง คือพวกที่ยอมทุกข์ในวันนี้เพื่อความสุขในวันหน้า วิ่งเหนื่อยไปเรื่อยๆคว้าก้อนเนยรางวัลก้อนใหม่ๆไปเรื่อยๆ

2. เจ้าสำราญ คือไม่ยอมรับความทุกข์ใดๆ ใช้ชีวิตเพื่อความสุขในตอนนี้เท่านั้น ผลเสียอาจเสพย์ติดความสุขระยะสั้นจนเหมือนคนติดยาได้ในระยะยาว

3. คนหดหู่ ที่ติดอยู่กับอดีตที่เป็นทุกข์ จนมองภาพอนาคตก็เป็นทุกข์ ไม่เหลือที่ให้ความสุขมีโอกาสเข้ามาเลย คนกลุ่มนี้คือคนที่คิดว่าพรุ่งนี้จะไม่มีวันดีขึ้น และวันนี้ก็แย่ยิ่งกว่าเมื่อวาน

4. คนที่มองหาทั้งความพอใจและความหมาย ความพอใจในความสุขปัจจุบัน และความหมายของเป้าหมายในระยะยาวที่มีค่า คนกลุ่มนี้คือคนที่มีความสุขกับชีวิตมากกว่า 3 กลุ่มแรก เค้าต้องเผชิญกับความทุกข์และปัญหา แต่เค้าก็จะสนุกกับการแก้ไขมันและกลับมามีความสุขได้ในระยะเวลาไม่นาน

ถ้าเรามีเป้าหมายที่มีความหมาย ระหว่างการเดินทางไปสู่เป้าหมายเราก็จะมีความสุขมากกว่าการใช้ชีวิตแบบมีแต่เป้าหมายที่ไร้ซึ่งความหมาย

นี่คือหนึ่งในวิชาความสุขที่ไม่มีมหาลัยไหนๆในเมืองไทยสอน แต่ฮาร์วาร์ด มหาลัยที่ขึ้นชื่อเรื่องวิชาการความโหดหินนั้นกลับมีสอน คงถึงเวลาที่เราต้องย้อนกลับมาถามตัวเองจริงๆซักทีว่า เป้าหมายที่เรามีให้ตัวเองนั้นแท้จริงแล้วความหมายมันคืออะไร

ถ้าเป้าหมายนั้นไม่มีความหมาย แล้วคุณอยากจะเสียเวลาที่ลดน้อยลงเรื่อยๆในชีวิตคุณให้กับเป้าหมายนั้นอยู่หรือไม่

ส่วนสำหรับผม..ผมพอเริ่มจะมีคำตอบให้ตัวเองบ้างแล้วครับ

Tal Ben-Shahar เขียน
พรเลิศ อิฐฐ์ แปล
สำนักพิมพ์ WeLearn

เล่มที่ 6 ของปี 2018
20180115