Tag

DAVE TROTT

Browsing

สรุปหนังสือ The Power of Ignorance พลังแห่งความไม่รู้ เขียนโดย Dave Trott ครีเอทีฟนักโฆษณาชื่อดังก้องโลก ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับ Creativity ความคิดสร้างสรรค์มาแล้วหลายเล่ม และเล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มที่ผมกล้าแนะนำให้อ่าน เพราะเปิดมุมมองใหม่ๆ มากมายกับทั้งเรื่องใกล้ตัวที่ไม่เคยรู้ และเรื่องไกลตัวแต่สามารถเอามาประยุกต์ใช้กับงานใกล้ตัวได้

ถ้าอยากรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ดีอย่างไร เหมาะกับคนทำการตลาดและธุรกิจขนาดไหน จะเล่าให้ฟังครับ

กล้าที่จะไม่รู้

ผมยกให้เป็นหลักใหญ่ใจความของหนังสือเล่มนี้ คนส่วนใหญ่ไม่กล้าออกตัวว่าไม่รู้ เพราะกลัวจะดูโง่ในสายตาคนอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้วการกล้าที่จะไม่รู้ กล้าที่จะยอมรับว่าไม่รู้ นั้นต้องใช้ความกล้าหาญมาก

และมันก็ทำให้เราได้เปรียบคนที่ไม่กล้าที่จะยอมรับว่าไม่รู้ด้วยเช่นกัน เพราะมันทำให้เราได้รู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ หรือแม้แต่ได้รู้เพิ่มเติมในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว หรือคิดว่ารู้มาก่อน

มีคนบอกว่าคนมีปัญญารู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร จึงสามารถหาความรู้มาเติมความไม่รู้นั้นได้โดยง่าย แต่กับคนโง่นั้นไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร หรือที่หนักกว่านั้นคือคิดว่าตัวเองรู้ ทั้งที่จริงไม่ได้รู้อะไรสักเท่าไหร่เลย

เมื่อยอมรับว่าไม่รู้ ความรู้จึงเกิด

ใจกว้างเพื่อสร้างเทรนด์

Photo: https://www.abc.net.au/news/2019-04-06/dieter-rams-the-braun-design-who-made-products-to-last-lifetime/10970850

Dieter Ram นักออกแบบชื่อดังของ Braun ที่กลายมาเป็นเทรนด์การดีไซน์ยอดนิยมไปทั่วโลก เกิดขึ้นได้เพราะผู้บริหารเจ้าของบริษัทใจกว้าง เปิดโอกาสให้นักออกแบบของตัวเองรับงานนอกได้ จนการออกแบบของ Dieter Ram ที่เป็นสไตล์ของ Braun นั้นเป็นที่นิยมแพร่หลาย แล้วสุดท้ายก็กลับมาสู่ยอดขายของ Braun ที่เป็นนายจ้างนั่นเอง

การจะสร้างสิ่งใดให้เป็นเทรนด์ นั้นหมายความว่าคุณต้องใจกว้างให้คนจำนวนมากเข้าถึงมันได้โดยสะดวกที่สุด

การตลาดสวนสัตว์ แมลงสาบชื่อแฟนเก่า จนไวรัลไปทั่วและทำรายได้มากมาย

เรื่องราวของสวนสัตว์แห่งหนึ่งที่ต้องหาเงินบำรุงดูแลสวนสัตว์ ซึ่งค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ส่วนหนึ่งคือค่าอาหารสัตว์ ทีมงานในสวนสัตว์จึงเกิดไอเดียว่า เราลองเอาแมลงสาบที่ต้องให้เป็นอาหารสัตว์อยู่แล้ว มาทำแคมเปญการตลาดให้คนเข้ามาตั้งชื่อแมลงสาบตัวนั้นเป็นแฟนเก่า แล้วก็ LIVE หรือถ่ายคลิปออกอากาศส่งกลับไปให้เจ้าของเงินดีกว่า

ผลปรากฏมีผู้หญิงจำนวนมากมาจ่ายเงินตั้งชื่อแมลงสาบเพื่อป้อนให้เป็นอาหารสัตว์ พวกเธอรู้สึกสะใจ สัตว์ได้อิ่มท้องโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ สำคัญคือสวนสัตว์เกิดรายได้เพิ่มขึ้นมากมาย จากการแค่เอาชื่อมาใส่บนแมลงสาบ มันคือการคิดแบบไม่คิดมาก แต่เน้นการลงมือทำเป็นหลักเลย

Liverpool 4 – 0 Barcelona ชนะเพราะเด็กเก็บบอล

การแข่งขันฟุตบอล เรามักคิดกันว่าจะชนะได้ก็ต้องอาศัยนักฟุตบอลที่เก่งกาจและการเล่นเป็นทีมเวิร์คที่เหนือกว่าเท่านั้น แต่หนังสือเล่มนี้บอกให้รู้ว่า บางครั้งการจะเอาชนะคู่แข่ง คือการหาจุดอ่อนที่คู่แข่งนึกไม่ถึง แล้วก็ขยี้ในจุดนั้นจนคู่แข่งรับมือไม่ทัน

เหมือนกับการแข่งขันฟุตบอลนัดสำคัญ ระหว่าง Liverpool กับ Barcelona ครั้งหนึ่ง ทีม Liverpool ที่ดูเป็นรองพบว่านักเตะทีม Barcelona มักใช้เวลากับการเถียงกรรมการว่าการตัดสินนั้นยุติธรรมกับทีมตัวเองหรือไม่เวลาเกิดฟาล์วหรือบอลออกข้างสนาม

ระหว่างนั้นคือช่วงเวลาสำคัญที่ทีม Liverpool มองเห็น แทนที่จะฝึกแค่นักบอลให้เก่งขึ้น แต่กลับฝึกเด็กเก็บบอลให้วิ่งเก็บบอลและโยนบอลกลับเข้าสนามไว้ขึ้นแทน

ผลคือระหว่างที่ทีมนักเตะของ Barlecona กำลังโต้แย้งกับกรรมการ เด็กเก็บบอล Liverpool วิ่งเก็บบอลและส่งบอลคืนกลับเกมอย่างรวดเร็ว

ผลคือนัดนั้นจบที่ 4 – 0 ส่วนหนึ่งเพราะฝีมือของเด็กเก็บบอลที่ทำให้เกมกลับมาเริ่มต่อได้ไว จนอีกฝ่ายรับมือกลยุทธ์ใหม่นี้ไม่ทัน

ยิ่งยาก ยิ่งอยากได้ Scarcity

สิ่งใดยิ่งดูหายาก ยิ่งทำให้คนอยากได้มากกว่าปกติ และสิ่งใดที่เข้าถึงได้ง่าย ก็ยิ่งทำให้คนไม่ค่อยเห็นคุณค่า เหมือนกับคำว่า Limited Edition นั่นแหละครับ

เบื้องหลังภาพวาดชื่อดัง Monalisa ทุกวันนี้ เมื่อก่อนภาพนี้เคยเป็นแค่ภาพประกอบที่คนส่วนใหญ่มองข้าม แต่พอวันหนึ่งภาพนี้ถูกโจรกรรมออกไป กลายเป็นผู้คนสนใจอยากรู้ว่าภาพจริงเป็นอย่างไร

วันหนึ่งภาพนี้ถูกค้นพบและเอากลับมาแสดงโชว์ได้ กลายเป็นว่ามีคนมากมายเข้ามาต่อแถวดูภาพวาดงานศิลปะชิ้นนี้ ด้วยความที่มันถูกขโมยไป จึงทำให้มันมีคุณค่าขึ้นมา

กลยุทธ์นี้ถูกประยุกต์ใช้กับโรงหนังแห่งหนึ่ง ตอนภาพยนต์เรื่องนึงเข้าฉาย ทางเจ้าของก็อยากให้มีคนเข้ามาซื้อตั๋วดูเยอะๆ

เจ้าของก็คิดว่าจะหาทางทำอย่างไรให้หนังตั๋วเองขายดี มีคนต่อแถวเยอะๆ จนคิดมุมกลับออกมาใหม่ว่า ถ้าหนังเรื่องไหนดังคนจะเข้าคิวต่อแถวเยอะๆ จนทำให้คนที่ไม่รู้จักแต่เดินผ่านมาเห็น ก็รู้สึกอยากลองซื้อตั๋วดูเหมือนกัน

เขาเลยเปลี่ยนพนักงานขายตั๋วหนังหน้าโรงใหม่ เอาคนมือเจ็บมาขายตั๋วหนังแทน

ทำให้กว่าจะหยิบ กว่าจะฉีกตั๋วหนังแต่ละใบนั้นใช้เวลานานขึ้นพอควร ส่งผลให้แถวต่อคิวที่ควรจะระบายได้เร็ว กลายเป็นช้า ส่งผลให้แถวนั้นยาวขึ้นจนเรียกความสนใจจากคนเดินผ่าน แล้วคนก็ยิ่งเข้ามาต่อคิวซื้อตั๋วหนังเพื่อเข้าไปดู เพราะคิดว่าหนังเรื่องนี้น่าจะฮิตแน่นอน

ทำให้ผมคิดถึงเครปป้าเฉื่อย ที่รสชาติอร่อยแค่ไหนไม่รู้ แต่พอคนได้รู้ว่าต้องรอคิวนานมาก ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบความท้าทายในการรอคิวเพื่อได้กิน จนกลายเป็นไวรัลในที่สุด

ตอนผมไปญี่ปุ่น ผมสังเกตแบบเดียวกัน และลองทำแบบนี้ด้วย

มีร้านขายมันเผาร้านหนึ่ง รสชาตก็อร่อยปกติ มีคนแวะมาซื้อแล้วเดินไปกิน จนก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย จนผมเกิดนึกสนุกอยากลองสร้างกระแสให้ร้านนี้สักหน่อย

ผมซื้อแล้วไม่เดินไปกิน แต่ยืนกินมันหน้าร้าน ทำหน้าที่เหมือนตุ๊กตามาร์สคอตของร้าน ผลคือคนอื่นเห็นผมกินแล้วดูน่าอร่อย เนื้อมันหวานเผาร้อนๆ สีเหลืองอร่ามท่ามกลางอากาศหนาว ส่งผลให้มีคนเข้ามาต่อคิวซื้อหลังจากผมยืนกินแปบเดียว

สนุกดีนะครับ เมื่อเราได้ลองเล่นกับจิตวิทยาคน ได้เอามาใช้กับการตลาดจริงๆ

ร้านจะดังได้ ก็ต่อเมื่อเราทำให้คนรับรู้ว่ามันดัง

กระตุ้นให้คนบริจาคอวัยวะเยอะขึ้น ด้วยการลดแจกใบสั่ง

หน่วยงานประเทศหนึ่ง กระตุ้นให้คนบริจาคอวัยวะเยอะขึ้น ด้วยการขอความเห็นใจจากจราจรว่าถ้าเจอคนขับรถที่ติดสติ๊กเกอร์หน้ารถที่เขียนว่า “ทุกคนควรได้โอกาสครั้งที่สอง” อยากให้ลองพิจารณาในการแจกใบสั่งสักหน่อย

เพราะสติกเกอร์นี้บอกให้รู้ว่าคนขับรถคนนี้ให้โอกาสครั้งที่สองกับคนที่ต้องการมีชีวิตอยู่ ด้วยการลงชื่อบริจาคอวัยวะ พอตำรวจเห็นก็รู้สึกเห็นใจ และซาบซึ้ง อะไรที่พออนุโลมได้ก็ปล่อยไป ก็เข้าทำนองว่าถ้าทำผิดโดยไม่ตั้งใจ ก็ควรได้โอกาสแก้ตัวครั้งที่สองเหมือนกัน

แคมเปญการตลาดเรียบง่าย ไม่ต้องใช้งบอะไรให้ยุ่งยาก

ไม่ต้องทำป้ายโปรโมท 33 ล้าน แค่ทำสติกเกอร์ติดหน้ารถไม่กี่บาทเท่านั้นเอง

บริษัทรถไฟ ที่ทำกำไรจากการเอารถไฟมาชนกัน

บริษัทรถไฟแห่งหนึ่งใกล้จะเจ๋ง คิดหาทางไม่ออกว่าจะทำรายได้อย่างไรให้รอดได้ เกิดไอเดียว่าตัวเองมีหัวรถจักรรถไฟเก่าๆ มากมาย ทำไมเราไม่ลองเอามันมาขับชนกันแล้วขายตั๋วเรียกคนมาดู

เพราะจุดที่จะเอารถไฟมาชนโชว์กันนั้น ก็มีแต่รางของบริษัทตัวเองเท่านั้นที่ผ่าน การจะไปดูรถไฟชนกันได้จึงต้องซื้อตั๋วรถไฟของบริษัทนี้เท่านั้น

เพียงแต่การจะประกาศโต้งๆ ว่าจะเอารถไฟมาชนโชว์กันคงไม่เหมาะ ก็เลยต้องบิดคำนิดหน่อยเพื่อให้โฆษณาได้ นั่นก็คือการทดสอบความปลอดภัยของหัวรถจักรด้วยการเอามาชนให้ดู

ผลคือผู้คนแห่กันขึ้นรถไฟไปดูรถไฟชนกันมากมาย

กลายเป็นข่าวดัง กลายเป็นไวรัล และที่สำคัญคือกลายเป็น Business Model ใหม่ของบริษัทรถไฟแห่งนี้ ที่ไม่ได้สร้างยอดขายจากการใช้รถไฟเดินทางไปไหน แต่สร้างรายได้จากการให้คนนั่งรถไฟไปดูรถไฟบริษัทตัวเองชนกันครับ

กลยุทธ์เพื่อชนะ ไม่ต้องรีบเข้าเส้นชัย แค่รักษาตัวรอดไว้ให้ได้เข้าเส้นชัยก็พอ

การแข่งขันไอซ์สเก็ตครั้งหนึ่ง ปกติแล้วจะมีทีมชาติที่เป็นตัวเต็ง ต่างพากันกวดเข้าเส้นชัยให้เร็วที่สุดตั้งแต่เริ่มต้น แต่นักกีฬาคนนี้มองเกมอีกอย่าง พบว่าทุกครั้งของการแข่งขันช่วงท้ายๆ มักจะเกิดความผิดพลาดล้มและไม่ได้เข้าเส้นชัยในที่สุด

ดังนั้นเธอเลยเลือกที่จะเกาะติดทีมนำ ไม่ไล่กวดกับเขาแทน แล้วรอจังหวัดที่คนอื่นล้มค่อยแซงหน้าไป

กลยุทธ์ง่ายๆ แต่ทำให้เธอได้รับชัยชนะเหรียญทองครั้งนั้น

เรื่องนี้ก็เหมือนกับการทำธุรกิจ การใช้ชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด คนที่โตไวที่สุด แต่เป็นคนที่อยู่รอดได้นานพอที่ทุกคนจะล้มหายตายจากไปได้เท่านั้นเองครับ

ถ้าอยากชนะต้องรู้จักอดทนให้เป็น

Uber อังกฤษได้ผู้ใช้มากมายเพราะ Taxi ดำเดิมไม่ยอมวิ่ง

Photo: https://www.euractiv.com/section/digital/news/uber-grants-uk-drivers-worker-status-in-world-first/

บางครั้งโอกาสก็วิ่งเข้าหาเราโดยไม่ตั้งใจ เรื่องราวของ Uber ประเทศอังกฤษ อยู่ดีๆ ก็มีผู้ใช้งานหน้าใหม่ดาวน์โหลดแอปเข้ามาพร้อมกันมากมาย โดยที่ตัว Uber เองไม่ได้ทำโฆษณาหรือโปรโมทอะไรสักอย่าง

สาเหตุเพราะตอนแรกที่ Uber เริ่มเข้ามาเปิดบริการที่เกาะอังกฤษ ยังไม่ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ทางผู้ขับ Taxi ดำของอังกฤษเดิมนั้นไม่พอใจ เลยรวมกันต่อต้านประท้วง Uber แต่แรก ด้วยการงดรับผู้โดยสารช่วงเวลาหนึ่ง

ผลคือกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วเกาะ แต่ผลที่หนักกว่านั้นคือคนต้องการรถ แต่กลับไม่มีรถให้ขึ้น ก็เลยต้องหันไปดาวน์โหลด Uber มาใช้งาน และนั่นก็เลยเป็นจุดที่ทำให้ Uber เข้าสู่ตลาดผู้ใช้ Taxi เกาะอังกฤษแบบกล้วยเข้าปากโดยไม่ต้องลงทุนทำอะไรเลย

ก่อนจะลงมือทำอะไรสักอย่าง เอาให้แน่ใจว่าสิ่งนั้นจะไม่ได้ย้อนกลับไปส่งเสริมคู่แข่งจนทำร้ายเรา

กลยุทธ์ Contextual Marketing ฉวยโอกาสรอบตัวมาเป็นยอดขายของบาร์แห่งหนึ่ง

การตลาดที่ดี คือการตลาดที่รู้จักใช้ทุกอย่างมาเป็นโอกาสของเรา เหมือนกับหนังสือเรื่อง Contextual Marketing การตลาดแบบฉวยโอกาสรอบตัวมาเป็นยอดขายที่ผมเขียนไว้ ซึ่งก็บังเอิญตรงกับเรื่องราวสุดท้ายที่จะเล่าให้ฟังของหนังสือ The Power of Ignorance เล่มนี้ครับ

โบสถ์แห่งหนึ่งลงทุนทำโฆษณาเพื่อบอกว่าการดื่มเหล้าเบียร์นั้นบาปอย่างไร ด้วยหวังว่าจะลดการดื่มเหล้าเบียร์ในเมืองตัวเองลง และหันมาเข้าโบสถ์ เข้ามาพระเจ้ามากขึ้น

แต่กลายเป็นว่าเจ้าของบาร์แห่งนั้นคิดมุมกลับ ประกาศแทงสวนออกไปว่า ใครเอาหน้าโฆษณาของโบสถ์แห่งนั้นมาที่บอกว่ากินเบียร์แล้วบาป จะได้รับเบียร์ฟรีหรือส่วนลดพิเศษ

ปรากฏว่ากลายเป็นกระแสมากมาย การตลาดที่โบสถ์นั้นตั้งใจทำเพื่อลดกระแส กลายเป็นสร้างกระแสให้บาร์เบียร์ที่ว่าเป็นอย่างดี

นี่คือการคิดแบบสร้างสรรค์ คิดแบบ Creativity คิดว่าจะหยิบใช้โอกาสรอบตัวมาเป็นประโยชน์ได้อย่างไร

นี่คือ Case Study ของ Contextual Marketing ดีๆ ที่อยากเอามาเล่าให้ทุกคนฟังครับ

สรุปหนังสือ The Power of Ignorance พลังแห่งความไม่รู้

สรุปหนังสือ The Power of Ignorance พลังแห่งความไม่รู้ Dave Trott เขียน พราว อมาตยกุล แปล สำนักพิมพ์ WE LEARN

นี่คือหนังสือที่แนะนำให้คนทำการตลาด คนเป็นนักขาย หรือคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจทุกคนได้อ่าน แล้วคุณจะเห็นมุมมองใหม่ๆ จากเรื่องเดิมๆ ใกล้ตัวที่เห็นประจำ หลายครั้งการจะเอาชนะหรือพิชิตเป้าหมายให้ได้นั้น มันคือการตั้งคำถามใหม่ๆ ยอมรับในสิ่งที่ไม่รู้ และก็ลองคิดอะไรที่คนอื่นไม่เคยคิดครับ

แต่สำคัญสุดคือคิดแล้วต้องลงมือทำ ถ้ามัวแต่คิดแล้วไม่ทำ ก็ไม่มีวันบรรลุเป้าหมายได้

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 45 ของปี 2022

สรุปหนังสือ The Power of Ignorance พลังแห่งความไม่รู้
นอกขอบเขตของสิ่งที่คุณรู้ คือที่อยู่ของไอเดียสร้างสรรค์
Dave Trott เขียน
พราว อมาตยกุล แปล
สำนักพิมพ์ WE LEARN

อ่านสรุปหนังสือของ Dave Trott ในอ่านแล้วเล่าต่อ https://www.summaread.net/tag/dave-trott/

สั่งซื้อออนไลน์ > https://www.naiin.com/product/detail/566289

สรุปรีวิวหนังสือ Creative Blindness ภาวะสมองบอด พร้อมวิธีรักษา เขียนโดย Dave Trott ครีเอทีฟระดับโลกที่เป็นตำนานในแวดวงโฆษณาและการตลาดแล้ววันนี้

คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่าการจะคิดอะไรใหม่ๆ ดีๆ หรือที่เรียกว่า Creative ออกมาได้นั้นต้องเป็นพรสวรรค์ส่วนตัวเท่านั้นแหละ แต่ความเป็นจริงแล้วเรื่องการคิดสร้างสรรค์นั้นฝึกฝนได้ครับ เหมือนกับการเล่นกีฬาที่เราสามารถเก่งได้หากทุ่มเทฝึกฝนให้มากกว่าคนอื่นครับ

หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วย Case Study ของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่เรียกว่า Creativity แก้ไขปัญหามากมาย ที่ไม่ได้มีแค่เรื่องราวของโฆษณา แต่ยังมีเรื่องราวของการตลาด ธุรกิจ ชีวิต หรือบอกได้เลยว่าทุกเรื่องในชีวิตและโลกใบนี้สามารถใช้ Creativity แก้ไขให้ดีขึ้นได้

ผมขอหยิบบางเรื่องที่ประทับใจสุดๆ มาเล่าให้เห็นภาพว่า Creativity หรือการคิดสร้างสรรค์ให้เป็นนั้นช่วยในเรื่องแบบนี้ก็ได้ด้วย

Creative Police จะจับผู้ร้ายตัวฉกาจให้ง่าย ก็ต้องใช้ Creativity นะ

กรมตำรวจที่ประเทศหนึ่งพยายามไล่จับคนร้ายหนีคดีมานาน แต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักที พวกเขาจึงเริ่มคิดในมุมใหม่ว่า ถ้าคนร้ายหนีคดีเหล่านี้ไม่มีวันเข้าใกล้ตำรวจโดยง่ายแน่ แล้วมีอะไรบ้างหละที่พวกเขาอยากเข้าหา จนอาจยอมเผลอเข้ามาหาตำรวจด้วยตัวเองได้

ตำรวจจึงคิดออกว่าฟุตบอลเป็นอะไรที่ทุกคนรัก โดยเฉพาะผู้ชาย พวกเขาจึงออกอุบายส่งจดหมายไปหาคนร้ายเหล่านั้นว่า พวกเขาเป็นผู้โชคดีได้เข้าชมฟุตบอลนัดสำคัญฟรีจากรายการโทรทัศน์ยอดนิยม

จดหมายบอกว่าวันที่มาเข้าชม พวกเขาต้องพกบัตรประจำตัวประชาชนมาด้วย แต่ถ้าไม่มาพวกเขาก็จะถูกยกสิทธิ์ให้กับคนอื่นที่พร้อมกว่า ผลปรากฏว่าคนร้ายหลบหนีคดีมานานตกหลุมพลางนี้อย่างคาดไม่ถึง

เพราะทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวมาก็ถูกพาไปยังห้อง VIP ในสนามฟุตบอล เมื่อทุกคนเข้ามาพร้อมในห้องปิดตายก็หมดโอกาสหนี แล้วยิ่งเอาบัตรประจำตัวประชาชนมายืนยันตัวเองที่งาน ก็ยิ่งทำให้ตำรวจมั่นใจว่าจับไม่ผิดตัวแน่นอน

เห็นไหมครับว่าแม้แต่การจะจับผู้ร้ายหรืออาชีพอย่างตำรวจก็ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือ Creativity ไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าอาชีพคุณไม่ยากเท่าตำรวจกลุ่มนี้ ผมเชื่อว่า Creativty ที่ดีจะเป็นอาวุธธุรกิจคุณได้

Creative Politics อยากให้นักการเมืองสนใจแก้ปัญหา ก็ต้องใช้ Creativty สักหน่อย

เชื่อไหมครับว่าคนเรานั้นไม่อยากเสียหน้ามากกว่าเสียเงิน และนั่นก็เป็น Insight สำคัญที่ชาวเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเข้าใจ ก็เลยพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้ได้ในสิ่งที่ต้องการด้วย Creativity

เรื่องมีอยู่ว่าชาวเมืองนี้ต้องการสะพานข้ามแม่น้ำเพื่อจะได้เดินทางเข้าเมืองสะดวกๆ มานานมาก แต่ทำเรื่องยื่นไปยังทางการ ราชการ หรือนักการเมืองคนไหนก็ไม่เคยจะได้รับความสนใจเลย

เพราะเมืองนี้มีประชากรแค่ห้าพันกว่าคน ทุกครั้งที่ถูกปฏิเสธก็จะได้รับเหตุผลเดิมๆ นั่นก็คือ “ทางการมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องจัดการ”

เมื่อชาวบ้านเห็นแล้วว่าปัญหาสะพานของชาวบ้านห้าพันคนไม่สำคัญต่อนักการเมืองท้องถิ่น พวกเขาจึงหาทางยกระดับความสำคัญของปัญหานี้ ให้เป็นเรื่องสำคัญของนักการเมืองและหน่วยงานราชการต่างๆ

สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ปิดถนน หรือประท้วงแต่อย่างไร แต่พวกเขาเลือกใช้วิธีที่ Creativity กว่านั้น นั่นก็คือการติดต่อไปยังประเทศอริของสหรัฐอเมริกาอย่างรัสเซีย ถามว่าพอจะบริจาคเงินมาสร้างสะพานให้พวกเขาได้ไหม

เมื่อสถานทูตได้รับการติดต่อมาแบบนี้ ส่งผลให้ทางรัสเซียเห็นประโยชน์ในการจะลงทุนสร้างสะพานด้วยเงินไม่กี่ตังค์ให้ เพื่อแลกกับการประจานชาวโลกว่าอเมริกานั้นช่างดูแลประชาชนไม่ดีเอาเสียเลย

เมื่อทางการรู้ว่าชาวบ้านส่งจดหมายไปขอให้ทางรัสเซียเข้ามาช่วย หน่วยงานต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับหนึ่ง เรื่องถูกส่งไปถึงวอชิงตัน(เมืองหลวงของอเมริกา) จนสะพานที่ใช้เวลาขอมานานปีถูกอนุมัติทันทีภายใน 24 ชั่วโมง

เมื่อปัญหาของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องสำคัญในสายตานักการเมือง พวกเขาจึงใช้ Creativty ในการยกระดับปัญหาอย่างสันติ แต่แค่แอบแสบเล็กๆ จนทำให้นักการเมืองอยู่เฉยไม่ได้ครับ

ต่อไปนี้ถ้าปัญหาคุณไม่ได้รับความสนใจ ลองหาทางทำให้มันเป็นจุดสนใจของคนที่คุณต้องการให้เขาสนใจดูนะครับ

Creative Commerce ขายอย่างฉลาดต้องรู้ว่าขายใครขายง่าย

การขายที่ฟังดูเป็นเรื่องยาก แท้จริงแล้วอาจง่ายขึ้นมากถ้าเรารู้จักกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงให้ชัด เหมือนกับกลุ่มเนตรนารีที่สามารถขายคุกกี้ได้ถล่มทลายเพราะเข้าใจว่าใครคือคนที่ต้องการกินคุกกี้มากที่สุด

เดิมทีเนตรนารีต้องไปเคาะประตูขายคุกกี้ตามบ้าน ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนที่ขายได้ส่วนใหญ่ก็มาจากความสงสารเกรงใจ อยากช่วยสนับสนุนแต่ไม่ได้อยากกินคุกกี้จริงๆ สักเท่าไหร่

กลุ่มนักเรียนหญิงเนตรนารีกลุ่มหนึ่งจึงคิดใหม่ในมุมต่าง เราจะขายคุกกี้ให้มากที่สุดจนชนะได้อย่างไร โดยไม่ต้องไปเที่ยวเคาะประตูขายตามบ้านที่ไม่ได้อยากได้ แต่จำใจยอมซื้อบ้างเพราะความสงสารนั่นเอง

เนตรนารีกลุ่มนี้จึงเริ่มคิดว่า ใครกันนะจะเป็นคนที่ต้องการกินคุกกี้มากที่สุด พวกเขาจึงเริ่มวิเคราะห์แบบลงลึกว่า คุกกี้เป็นขนมที่มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ซึ่งคุณสมบัติเด่นของคุกกี้แน่นอนคือรสหวาน เนตรนารีกลุ่มนี้จึงเริ่มตั้งคำถามใหม่ว่า ใครกันนะต้องการของหวานมากที่สุด

จนทั้งกลุ่มได้ข้อสรุปว่าคนที่น่าจะต้องการคุกกี้หวานๆ ที่พวกเธอมีมากที่สุดคือคนที่เสพกัญชา แล้วคนที่เสพกัญชาอยู่ที่ไหน นั่นก็คือศูนย์จำหน่ายกัญชาทางการแพทย์ เมื่อผู้ป่วยเข้าไปรับกัญชาเพื่อรักษา แน่นอนว่าด้วยคุณสมบัติของกัญชาจึงทำให้คนที่เพิ่งเสพมาต้องการกินของหวานมากอย่างที่สุด

เมื่อคนกลุ่มนี้เดินออกมาจากศูนย์จำหน่ายกัญชาทางการแพทย์ แล้วเจอซุ้มขายคุกกี้ที่ดูหวานสุดๆ แน่นอนว่าทุกคนล้วนเดินเข้ามาซื้อคุกกี้ติดมือกลับบ้านไป ส่งผลให้เนตรนารีกลุ่มนี้มียอดขายพุ่งเป็นอันดับหนึ่งทิ้งอันดับสองขาด

เป็นอย่างไรครับกับกับการขายที่ถ้าใช้ Creativity สักหน่อยก็จะขายดีขึ้นกว่าเดิมมาก เริ่มจากการมองให้ออกว่าเรากำลังขายอะไร และคนแบบไหนที่ต้องการของแบบนั้นมากที่สุด สุดท้ายคือพวกเขาอยู่ที่ไหน และสุดท้ายคือเอาของที่เค้าอยากได้ไปอยู่ใกล้ๆ ให้เขาเจอเราได้ง่ายขึ้น

นั่นก็คือ Contextual Marketing การตลาดแบบฉลาดฉวยโอกาสรอบตัวมาเป็นยอดขายครับ

Creative Matching จับคู่คนที่ใช่ ลดการกำจัดสุนัขจรจัดไปได้ไม่น้อย

สุนัขจรจัดในต่างประเทศถ้าไม่มีคนรับไปเลี้ยงในเวลาที่กำหนด ต้องถูกกำจัดด้วยการทำการุณยฆาต ก็คือการฆ่าสุนัขให้ตายไปนั่นแหละครับ ปัญหาคือการเลี้ยงสุนัขนั้นต้องใช้เวลาในการเอาใจใส่ดูแลมาก และก็ดูเหมือนว่าคนทุกวันนี้ลำพังเวลาให้ตัวเองยังไม่ค่อยมีเลย

พวกเขาจึงเริ่มคิดใหม่ว่า ใครกันนะคือคนที่มีเวลามากที่สุดบ้าง จนพบว่ากลุ่มนักโทษในคุกนี่แหละคือคนที่มีเวลาว่างมากที่สุด พวกเขาจึงริเริ่มเอาสุนัขจรจัดไม่มีคนดูแลไปให้เหล่านักโทษที่อยู่ในเรือนจำช่วยดูแล

ผลคือสุนัขก็ไม่ต้องถูกกำจัดเพราะมีคนดูแล แต่ที่ดีไปกว่านั้นคือเหล่านักโทษเองก็จิตใจอ่อนโยนขึ้น

พวกเขาได้เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้นผ่านการเอาใจใส่อีกชีวิตหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นการจับคู่ที่ Creativty มากๆ สิ่งหนึ่งต้องการเวลาเอาใจใส่ อีกสิ่งก็มีเวลามากมายแต่ไม่มีอะไรให้ใส่ใจ

ดังนั้นถ้าเรามีสินค้าหรือบริการที่ขายไม่ออก ขายออกยาก หรือต้องทิ้งกำจัดมันไปอย่างน่าเสียดาย อยากให้ลองนึกถึงเคสนี้เข้าไว้ครับ เพื่อที่คุณจะได้เริ่มคิดมุมใหม่มองมุมต่าง แล้วเราจะพบทางออกใหม่ที่คิดไม่ถึงและก็ให้ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดอีกด้วยครับ

สรุปรีวิวหนังสือ Creative Blindness

จริงๆ หนังสือเล่มนี้มีหลายบทหลายตอนที่ผมชอบมากมาย แต่กลัวว่าถ้าเอามาเขียนสรุปหมดคงจะกินเนื้อหาไปกว่าครึ่งเล่มได้ สรุปภาพรวมคือหนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้เห็นแง่มุมต่างๆ ของการใช้ Creativity หรือความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาได้จริงแบบรอบด้าน ไม่ว่าจะปัญหาไหนหรือเรื่องใดในชีวิต ก็สามารถใช้ Creativty แก้ได้ทั้งนั้น

ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองหาหนังสือ Creative Blindness ภาวะสมองบอด พร้อมวิธีรักษาเล่มนี้มาอ่านดูซิครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 21 ของปี

สรุปรีวิวหนังสือ Creative Blindness ภาวะสมองบอด พร้อมวิธีรักษา Dave Trott เขียน พราว อมาตยกุล แปล สำนักพิมพ์ WE LEARN

สรุปรีวิวหนังสือ Creative Blindness
ภาวะสมองบอด พร้อมวิธีรักษา
Dave Trott เขียน
พราว อมาตยกุล แปล
สำนักพิมพ์ WE LEARN

อ่านสรุปหนังสือของ Dave Trott ในอ่านแล้วเล่าต่อ > https://www.summaread.net/?s=dave+trott

สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ทางออนไลน์ > https://click.accesstrade.in.th/go/HKjr4IWx

สรุปหนังสือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสาม หรือ ONE PLUS ONE EQUALS THREE ของ DAVE TROTT เล่มนี้เป็นผู้เขียนคนเดียวกับหนังสือที่ชื่อว่า เกิดเป็นกระต่าย ต้องคิดให้ได้อย่างหมาป่า หรือ PREDATORY THINKNG หนังสือที่สอนเรื่อง Creativity หรือความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นใครต้องการรู้ว่าความคิดสร้างสรรค์ที่จับต้องได้คืออะไร หรืออะไรบ้างที่นับว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ได้ ผมแนะนำให้ทุกคนควรได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครับ

ถ้าให้สรุปสั้นๆ หนังสือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสามเล่มนี้เป็นการพูดถึงความคิดสร้างสรรค์ผ่านเรื่องเล่าที่แยบคายและเฉียบคมเป็นบทสั้นๆ อ่านจบได้ไม่กี่หน้า แต่เชื่อมั้ยว่าพออ่านๆ ไปแม้บางบทจะเคยอ่านเนื้อหามาก่อนแล้ว แต่พอได้มาฟังแง่มุมใหม่ที่ถูกเล่าผ่านครีเอทีฟชื่อดังอย่าง Dave Trott กลับทำให้เหมือนได้รู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรกอีกครั้งเลย

เช่น เรื่องราวของห้าง Target ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลหรือทำ Data Analytics ได้อย่างแม่นยำจนสามารถค้นพบได้ว่าผู้หญิงคนไหนบ้างกำลังตั้งครรภ์อยู่แม้จะไม่เคยบอกทางห้างหรือแม้แต่พ่อแม่มาก่อน

แต่ด้วยความที่แม่นยำมากจนเกินไปก็กลับส่งผลเสียให้ทางห้าง เมื่อทางพ่อของเธอถือคูปองที่ได้รับกลับมาต่อว่าผู้จัดการสาขาว่าทำไมถึงส่งคูปองส่วนลดของใช้เด็กมากมายให้ลูกสาวเขาที่ยังเรียนอยู่ในชั้น ม.ปลาย เท่านั้นเอง

ทางผู้จัดการได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกเพราะไม่รู้ว่าทางสำนักงานใหญ่เล่นตลกอะไร ได้แต่ขอโทษแล้วบอกว่าเป็นข้อผิดพลาดซึ่งจะพยายามไม่ให้เกิดขึ้นกับลูกสาวที่เป็นวัยรุ่นบ้านนี้อีก

ไม่กี่วันผ่านไปทางผู้จัดการสาขาของห้าง Target ที่ถูกต่อว่ายกหูโทรหาคุณพ่อเด็กสาวคนนั้นอีกครั้ง และก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตกอีกครั้งเมื่อตั้งใจแรกคือจะโทรไปขอโทษที่ทางห้างเข้าใจผิดจนส่งคูปองไปพลาด กลายเป็นว่าพ่อของเด็กสาวคนนั้นขอโทษผู้จัดการด้วยความสุภาพอย่างมากเพราะก็เพิ่งพบว่าลูกสาวเค้าท้องจริง

สิ่งที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องนี้คือทางห้างได้เรียนรู้และทำการจัดผสมคูปองแบบมั่วๆ เข้าไปบ้าง เพื่อให้คนรับรู้สึกว่าบังเอิญจังที่ได้คูปองส่วนลดสินค้าเด็ก จากที่เคยส่งแต่คูปองส่วนลดสินค้าเด็กไปให้มากมาย กลายเป็นว่าด้วยความที่มันออกจะมากเกินไปเลยไม่ค่อยมีใครชอบใจสักเท่าไหร่เท่านั้นเอง

และนี่ก็เป็นมุมมองของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องนี้ ว่าจะแก้ปัญหาที่มีตรงหน้าได้อย่างไร แต่ผมขอเสริมในอีกแง่มุมของเรื่องราวนี้ว่าอันที่จริงแล้วทางทีมการตลาดของห้าง ​Target พบว่าคูปองที่แม่นยำมากแต่กลับมีคนเอาคูปองกลับมาใช้น้อย ทางทีมงานเลยทดลองหลายๆ รูปแบบจนพบสัดส่วนที่กำลังดีในการแทรกคูปองส่วนลดสินค้าเด็กเข้าไป ที่จะทำให้คนรับรู้สึกไม่ตกใจ แต่ทำให้รู้สึกเซอร์ไพรซ์แทน

และสาย Data แบบลึกๆ ก็บอกว่าความเป็นจริงแล้วคูปองที่ถูกส่งคละเข้าไปไม่ได้มาจากการสุ่มไปเรื่อยๆ แต่มาจากค่าความแม่นยำที่ไม่แม่นร้อยเปอร์เซนต์ ทางห้าง Target ก็เลยเอาเปอร์เซนต์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำใส่คูปองชนิดอื่นเข้าไป กลายเป็นว่าร้อยทั้งร้อยที่ได้รับอย่างไรก็แม่นยำว่าต้องโดนใจผู้รับแน่ๆ แค่ไม่ได้ให้แต่คูปองส่วนลดสินค้าเด็กทั้งหมดแบบไม่สร้างสรรค์เท่านั้นเอง

ว่าจะสรุปแค่สั้นๆ แต่แค่เรื่องเดียวก็ยาวเสียเหลือเกิน ลองมาดูประเด็นอื่นในหนังสือเล่มนี้ต่อที่ผมคิดว่าน่าสนใจ ขอหยิบมาสรุปให้เพื่อนๆ อ่านแล้วเล่าได้ฟังกันครับ

เรื่องการแก้ปัญหาชื่อเสียให้กลายเป็นชื่อเสียงอย่างสร้างสรรค์ ของอัลเฟรด โนเบล ก็น่าสนใจ ซึ่งเรื่องเป็นแบบนี้ครับ

อัลเฟรด โนเบล ชื่อนี้เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนน่าจะรู้จักหรือคุ้นหูกันดี เพราะนามสกุลของชายคนนี้คือชื่อของรางวัลอันโด่งดังที่นักคิด หรือนักวิทยาศาสตร์มากมายอยากได้รางวัลเขาเป็นเกียรติประวัติในชีวิตเสียเหลือเกินครับ

ที่มาที่ไปของรางวัลโนเบลมาจากการที่เค้าต้องการแก้ชื่อเสียของตัวเองอย่างหนัก เรื่องมีอยู่ว่าเดิมทีอัลเฟรด โนเบล คนนี้เป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นระเบิดไดนาไมท์ ด้วยความที่แต่ก่อนตอนจะระเบิดภูเขาเพื่อจุดเขาะอุโมงทำรางรถไฟนั้นต้องใช้แรงงานคนมหาศาล แต่ด้วยความที่ระเบิดในสมัยนั้นคุณภาพแย่มากเพราะมันมีสภาพเหมือนของเหลว แค่สั่นไหวนิดเดียวก็เกิดระเบิดแล้ว ส่งผลให้มีผู้คนมากมายต้องเสียชีวิตไประหว่างการขนย้ายระเบิดไปยังจุดก่อสร้าง

อัลเฟรด โนเบล เลยสามารถคิดค้นให้ระเบิดรูปแบบใหม่นั้นอยู่ในรูปแบบของหนืด และจะระเบิดก็ต่อเมื่อมีความร้อนจากชนวนเข้ามา ไม่ใช่แค่เอาสารสองตัวมาสัมผัสกันเหมือนเดิม และที่เจ๋งกว่านั้นคืออัลเฟรด โนเบล สามารถประดิษฐ์เจ้าระเบิดไดนาไมท์ให้อยู่ในรูปแท่งเหมือนดินสอ ทำให้การระเบิดภูเขาเพื่อขุดอุโมงสามารถทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก แค่เจาะรูปนิดเดียวแล้วใส่ระเบิดเข้าไป ก็สามารถประหยัดการใช้ระเบิดไปได้มากมายแต่กลับได้ผลลัพธ์มหาศาล

แต่ก็นั่นเองเมื่อนานวันเข้าระเบิดไดนาไมท์ก็ถูกเอาไปใช้อย่างกว้างขวาง ซึ่งไม่ใช่ใช้แค่กับการก่อสร้างแต่ถูกเอาไปใช้ในการสงครามอย่างมากมาย

แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็มีข่าวว่าตัวเค้าเสียชีวิตแต่ความจริงแล้วเป็นอีกคนใกล้ชิดต่างหากที่ตาย ทางหนังสือพิมพ์เลยประโคมข่าวกันอย่างยิ่งใหญ่ว่า “พ่อค้ามัจจุราชตายแล้ว” ซึ่งนั่นทำให้เขาเสียใจมากว่าที่ประดิษฐ์ไดนาไมท์เพราะอยากช่วยชีวิตคนให้ปลอดภัยจากการใช้ระเบิดขุดเจาะอุโมงค์ก่อสร้าง แต่กลับกลายเป็นว่าเขาถูกตีตราว่าเป็นผู้สร้างอาวุธมหาประลัย

และจากจุดนั้นเองเค้าก็เลยเกิดไอเดียว่าถ้าจะสร้างแบรนด์ให้กับชื่อของตัวเองใหม่ ให้คนรุ่นหลังจดจำตัวเขาไปในทางที่ดี เขาเลยสร้างรางวัลโนเบลขึ้นมาให้กับผู้คนในสายงานต่างๆ ที่สามารถอุทิศตนเพื่อโลกได้อย่างท่านึ่ง และหนึ่งในรางวัลพิเศษที่ไม่เกี่ยวกับสายงานใดเป็นพิเศษเลยก็คือรางวัลโนเบลในสาขาสันติภาพครับ

จากนั้นเป็นต้นมาชื่อของอัลเฟรด โนเบล ก็ถูกจดจำในแง่บวกต่อมนุษยชาติเสมอมา ลองคิดดูซิว่าถ้าเขาไม่ลงทุนสร้างรางวัลนี้ขึ้นมาด้วยการมอบทรัพย์สินที่เขามีมหาศาลออกไปแค่นิดหน่อย ชื่อของอัลเฟรด โนเบล คงไม่มีใครอยากเข้าใกล้เหมือนกับการได้รางวัลโนเบลในวันนี้สักนิดเดียว

ขออีกเรื่องที่คิดว่าไม่เล่าให้ฟังไม่ได้ เรื่องนี้เป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาการฆ่าแมวน้ำเพื่อเอาหนังไปทำเสื้อโค้ทของแบรนด์ดังต่างๆ

บางครั้งการแก้ปัญหาก็ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อน ถ้าเราสามารถเข้าใจต้นตอที่แท้จริงของปัญหานั้น

เรื่องมีอยู่ว่าทางกลุ่ม NGO ต่างๆ มักจะพยายามหาทางเข้าไปขัดขวางบรรดาเรือที่ออกไปล่า ออกไปฆ่าลูกแมวน้ำตามขั้วโลกเหนือเพื่อเอาหนัง ก็เพราะหนังลูกแมวน้ำนั้นมีขนที่สวย นุ่ม ใส่สบาย ทำให้เป็นที่ต้องการสำหรับแบรนด์ดังมากมายครับ

แต่ทางกลุ่ม NGO แม้จะพยายามห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผลอย่างที่ต้องการ จนทำให้เกิดการต้องเข้าปะทะกันหลายครั้งระหว่างกลุ่มผู้ล่ากับกลุ่มผู้รักแมวน้ำนั่นเอง

จนมีใครสักคนในกลุ่ม NGO วิเคราะห์ปัญหานี้ลึกลงไปจนพบกับต้นตอของปัญหาที่แท้จริง ปัญหาที่แท้จริงที่แมวน้ำถูกฆ่าก็คือขนที่สวยงามของมัน ดังนั้นถ้าลูกแมวน้ำตัวไหนขนไม่สวยหรือมีตำหนิมันก็จะไม่ถูกฆ่า และนั่นเองก็เลยเป็นที่มาของการแก้ปัญหาอย่างครีเอทีฟสุดๆ ครับ

ทางกลุ่ม NGO เลยเลิกเข้าประทะกับกลุ่มเรือผู้ล่าแมวน้ำอย่างทันที แล้วพวกเขาก็เลือกที่จะรีบเข้าหาบรรดาลูกแมวน้ำที่ขนสวยทั้งหลายพร้อมสีสเปรย์ในมือหนึ่งกระป๋อง ทันทีที่เจอลูกแมวน้ำปุ๊บพวกเขาจะรีบวิ่งเข้าไปหาแล้วเอาสีสเปรย์ฉีดใส่ตัวเป็นเส้นเพื่อทำตำหนิ

ตัวลูกแมวน้ำเองไม่รู้สึกหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น ผ่านไปไม่นานสีที่ถูกพ่นก็แห้งติดขนแมวน้ำไปจนล้างไม่ออก สักไม่ได้ พอบรรดาเรือนักล่าแมวน้ำผ่านมาเห็นพบขนลูกแมวน้ำมีตำหนิไม่สวยเฟอร์เพคอีกต่อไป พวกเขาก็ไม่ต้องการลงไปฆ่าลูกแมวน้ำเหล่านั้นให้เหนื่อยแรงเปล่าด้วยตัวเอง

เป็นอย่างไรครับกับการแก้ปัญหาด้วยการวิเคราะห์ลงไปให้ถึงต้นตอ เคสนี้ก็เหมือนกับหลายครั้งของนักธุรกิจหรือนักการตลาดที่ไม่ได้ทำความเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหาอย่างเพียงพอ แค่คิดว่าถ้าแก้ไปเดี๋ยวมันก็หาย แต่ในความเป็นจริงแล้วการแก้ปัญหาโดยยังไม่เข้าใจต้นตอของปัญหาที่แท้จริงนอกจากจะทำให้เสียเงินและเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ยังทำให้อาจเป็นการสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาโดยไม่จำเป็นด้วยซ้ำ

ดังนั้นสรุปได้ว่าหนังสือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสามเล่มนี้เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องความครีเอทีฟหรือความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดีเยี่ยมครับ ในฐานะที่ผมเคยเป็นครีเอทีฟในเอเจนซี่โฆษณามาก่อนยังรู้สึกทึ่งมากกับเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จริงๆ จะเสียดายก็แต่แค่หยิบมาอ่านช้าไปหน่อย ทั้งๆ ที่มีติดชั้นหนังสือที่บ้านไว้นานมากแล้วครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 25 ของปี 2020

สรุปหนังสือ หนึ่งบวกหนึงเท่ากับสาม ONE PLUS ONE EQUALS DAVE TROTT

สรุปหนังสือ หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสาม
ONE PLUS ONE EQUALS THREE
DAVE TROTT เขียน
สำนักพิมพ์ WE LEARN

20200709

สนใจอ่านสรุปหนังสือแนว Creativity ต่อ > https://www.summaread.net/category/creativity/

สั่งซื้อออนไลน์ > https://bit.ly/2Cn8YnS