Tag

นพพร สุวรรณพานิช

Browsing

หนังสือที่จะช่วยให้คุณเข้าใจภาษารัก และรักภาษาอังกฤษ

ต้องบอกว่าเป็นหนังสือเก่าเล่มใหม่ของผม เพราะผมบังเอิญไปเจอเล่มนี้เข้าที่ร้านหนังสือมือสองที่ชื่อว่า Mali mali coffee and book cafe เป็นร้านที่เต็มไปด้วยหนังสือเก่า หนังสือมือสองมากมาย ผมเชื่อว่าถ้าใครเป็นคนที่รักการอ่านหรือมักจะไปล้มละลายในงานหนังสือแบบผม ถ้าได้มาร้านนี้จะต้องรู้สึกมีความสุขเป็นแน่แท้ เพราะแม้จะเต็มไปด้วยหนังสือเก่า แต่ก็อุดมไปด้วยหนังสือดีๆมากมาย ที่ถ้าคุณเพิ่งเริ่มอ่านได้ไม่นานแบบผม(5ปี) คุณจะพบหนังสือดีๆที่คุณไม่คาดคิดหลายเล่มแน่

ร้าน Mali Mali Coffee อยู่ในพื้นที่บริเวณคอนโด Chapter One ครับ

กลับมาที่เนื้อหาในหนังสือ

จะบอกว่าตามหน้าปกก็ไม่ผิดนัก เพราะเนื้อหาในเล่มเต็มไปด้วยคำสัปดี้สัปดล แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้จากคำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างไม่น่าเชื่อ หรือแม้กระทั่งสุภาษิตแบบไทยๆที่ยากจะหาภาษาอังกฤษได้ เล่มนี้ก็มีอยู่เพียบ ตั้งแต่ สวยแต่รูปจูบไม่หอม นั้นอาจใช้คำว่า nebbish หรือ wimp เช่น Manvika, don’t be a nebbish. มาณวิกา อย่าทำตัวเป็นสวยแต่รูปจูบไม่หอมอยู่เลย

หรือที่มาของคำว่า เจ้าชู้ไก่แจ้, เจ้าชู้ประตูยักษ์, เจ้าชู้ประตูดิน, เจ้าชู้ประตูช้าง หรือ ชีกอ นั้นก็มีที่มาที่ไปของคำที่น่าสนใจ

อย่าง “เจ้าชู้ประตูดิน” นั้นว่ากันว่าเป็นประตูชั้นใน ไม่ใช่ชั้นนอก ใกล้กับท่าเตียน ชื่อเดิมคือประตูศรีสุดาวงศ์และประตูอนงค์ลีลา เป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก สมัยก่อนเรียกถนนท้ายสนม ปัจจุบันคือถนนมหาราช ผู้ชายเข้าออกได้ แต่เข้าประตูในไม่ได้โดยเด็ดขาด ประตูดินจึงเป็นทางเข้าออกของสตรี เลยน่าจะเป็นเหตุให้ชายเจ้าชู้ทั้งหลายต้องคอยมาเฝ้ารอหญิงสาวที่ประตูนี้กันเป็นประจำ ก็เลยเป็นที่มาของคำว่า “เจ้าชู้ประตูดิน”

และภาษาอังกฤษคือ a lady’s man หรือ ladies’ man หรือ lady killer บางครั้งเรียกว่า gallant เป็นผู้ชายที่เจ้าชู้ มีนิสัยสุภาพอ่อนโยนต่อผู้หญิงแบบเปิดเผย

ส่วนคำว่า “ชีกอ” นั้นเป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว มีความหมายว่า ผู้ใฝ่ในการชู้สาวและการเกี้ยว น่าจะตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า licentious man หรือทำเจ้าชู้กับผู้หญิงไม่เลือกหน้า บางทีก็หาเศษหาเลย

คำศัพท์ของผู้ชายไปแล้ว เพื่อให้เท่าเทียมกันขอเล่าคำศัพท์ของฝั่งผู้หญิงกันบ้าง อย่างคำว่า ไก่แก่แม่ปลาช่อน

“ไก่แก่แม่ปลาช่อน” นั้นขุนวิจิตรมาตราเคยอธิบายในสำนวนไทยว่า เป็นคนมากด้วยมายาเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ อีกทั้งได้กล่าวว่าเป็น “กระต่ายแก่แม่ปลาช่อน” (อ้าว แรกเริ่มเดิมทีมาจากคำว่ากระต่ายแก่หรอกหรอ) ในภาษาอังกฤษคล้ายกับคำว่า shrew หรือ termagant

และขอเล่าเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของเพศที่สาม หรือเพศทางเลือก ถึงเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจจากหนังสือเล่มนี้…

ตามตำนานกรีกที่เล่าสืบต่อกันมาแต่โบราณ ต้นตอของคำว่า female homosexuality สืบมาจากคำว่า Lesbos อันเป็นชื่อเกาะที่อยู่ติดๆกับประเทศกรีซ

ในสมัยศตวรรษที่ 7 มีกวีหญิงชื่อ Sappho เป็นหัวหน้ากลุ่มผู้หญิงอาสัญอยู่ในเกาะนั้น และเกิดสัมพันธ์สวาทกันอย่างกว้างขวาง จนใครๆก็ตามที่เป็น female homosexual ถูกขนานนามว่าเป็น Lesbian ตามชื่อเกาะดังกล่าว

ส่วนกวี Sappho ก็เลยถูกเรียกว่า Sapphism ที่แปลว่า ความรักในบรรดาสตรีด้วยกัน

นี่เป็นแค่สามในห้าสิบของหนังสือเล่มนี้ ถ้าใครสนใจอยากเรียนรู้ทั้งภาษาอังกฤษและไทยในแบบที่ยากจะหาที่เรียนรู้ได้ ขอแนะนำหนังสือชุดนี้ sex and the english language เล่ม 1 และ 2

แล้วคุณจะรู้ว่าที่มาของแต่ละคำทั้งไทยและเทศนั้นมันน่าทึ่งแค่ไหนครับ

sex and the english language 1

นพพร สุวรรณพานิช เขียน
สำนักพิมพ์ Openbooks

อ่านเมื่อปี 2017

หนังสือที่ช่วยให้คุณเข้าใจภาษาอังกฤษและรักภาษาอังกฤษ โดยสำนักพิมพ์ openworlds

ภาษาสามารถบ่งบอกถึงชนชาติ แต่คำศัพท์นั้นสามารถบอกถึงชนชั้นผู้ใช้ได้ ครั้งหนึ่งผู้หญิงที่ชื่อ เคท มิเดิลตัน จำเป็นต้องเลิกราแก่เจ้าชายวิลเลียม เพราะมารดาของเคท มิเดลตัน ใช้คำว่า “ห้องส้วมที่คั่นกลาง” (toilet that comes between thing) ธรรมดาอยู่เองที่มารดาของเธอเป็นคนชั้นกลางจึงใช้ toilet แทนห้องอาบน้ำ หรือ bathroom เจ้าชายวิลเลียมไม่เคยใช้คำว่า toilet และเห็นว่าคำนี้เป็นคำที่ไม่ให้เกรียติพระองค์เลย

ถ้าคนอังกฤษถามว่า ใช้พรม (carpet) แบบไหน คนชั้นกลางตอบว่า stag rugs (พรมที่มีขุนปุยยาว) แต่คนชั้นสูงกลับพูดว่า เก่าจนหมดขน เห็นแต่เส้นได้โผล่ ทั้งนี้เพราะคนชั้นสูงไม่ต้องการอวดตัวว่าเป็นคนชั้นสูง ทั้งๆที่ๆบ้านมีพรมชั้นดีทำจากเปอร์เซีย (สังเกตุมั้ยว่าจะไม่มีขนใดๆโผล่ออกมาเลย)

ถ้าไปถามความเห็นในกรณีที่ไม่เข้าใจ คนชั้นล่างพูดว่า พูดอีกทีซิ (say again?) แต่คนชั้นกลางกล่าวว่า ขอโทษ ช่วยพูดใหม่ (pardon?) คนชั้นสูงกลับพูดว่า อะไรน่ะ (what?)

แม้แต่คำว่า ข้าว หรือที่ฝรั่งเรียกว่า rice นั้น ก็แปลความหมายในแต่ละประเทศแบบเดียวกับคำว่า corn ในภาษาเยอรมันเดิมแปลว่า เมล็ดธัญญาหาร ในภาษาอังกฤษคือข้าวสาลี ชาวสกอตบอกว่าเป็นข้าวโอ๊ต ส่วนอเมริกันบอกว่าข้าวโพด ครั้งหนึ่งรัฐบาลอเมริกันได้ส่งข้าวโพดไปให้อังกฤษ ซึ่งมีปัญหาข้าวยากหมากแพงอยู่ แต่อังกฤษต้องการข้าวสาลี ความไม่รู้ปัญหาของคำทำให้หมดเปลืองเงินโดยไม่จำเป็น

ขอหยิบหนึ่งบทที่พูดถึงเรื่อง ซ่อง มาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน..

..ปกติการไปเที่ยวซ่องนั้นเรียกในภาษาอังกฤษว่า go wenching โดยทั่วไป wench แปลว่า สาวใช้ หญิงสาว แต่เมื่อเป็น go wenching กลับหมายความว่า สมสู่กับหญิงเลว มักใช้ go whoring มากกว่า แต่เป็นศัพท์ที่ไม่ค่อยพูดกัน เช่น

ประเดิมเที่ยวซ่อง
Pradem went to visit the prostitute

แต่คำว่า prostitute ในสมัยโรมันจะพูดเป็นละตินว่า prostitutare แปลว่า แต่งตัวในที่สาธารณะ คำว่า stitutare เลยกลายเป้น statute หรือ รูปสลักและรูปชั้น ในที่สุดคำว่า prostitutare มีความหมายว่าเอาไว้ขาย

ในสมัยหลังมักพูดว่า the house หมายถึง ซ่อง (ไม่ใช้ตัวใหญ่หรือ capital letter เพราะหมายถึงราชวงศ์) โดยเฉพาะอย่างยิง่ในศตวรรษที่ 18 ส่วนใหญ่ในยุคนั้นเรียกว่า house of ill fame แปลเป็นไทยตรงๆว่า บ้านชื่อเสีย บางทีพูดว่า house of ill repute หรือ accommodation house

ผู้อ่านวรรณกรรมในยุคก่อนจะพบคำนี้บ่อย บางครั้งก็พูดว่า house of sin หรือ house of pleasure บางทีก็พูดว่า house of resort อย่างไรก็ตามคำนี้ในปัจจุบันเรียกว่า brothel เช่น

มาณวิกาหาเงินด้วยการเป็นโสเภณีเพราะไม่รู้จะหาเงินอย่างไร
Manvika prostituted herself since she had no other means of making money.

คำว่า brothel หรือ ซ่อง มาจากภาษาอิตาเลียนว่า brodello แล้วกลายเป็นภาษาฝรั่งเศษว่า bordel คำเดิมในภาษาอิตาเลียนแปลว่าโรงอาบน้ำ แบบเดียวกับเทอร์กิสบาธในเมืองไทย ซึ่งไม่เกี่ยวกับ Turkish เลย บางครั้งพูดว่า seraglio แปลตรงตัวว่า ที่ปิดกั้น ความหมายคือ ฮาเร็วม ความหมายในปัจจุบันคือ ซ่อง

ทุกวันนี้มักใช้ encounter parlour หมายความว่า เข้าไปเจอโสเภณีได้ทันที อีกคำหนึ่งซึ่งใช้บ่อยคือ escort agency หมายความว่า มีผู้หญิงให้ว่าจ้างไปดูภาพยนต์หรือละคน และชวนนอนด้วยได้

คนอเมริกันพูดว่า chicken ranch เดิมอาจเป็นฟาร์มไก่แถวเท็กซัสมาก่อนสำหรับพวกกสิกรที่ยากจน ต่อมาใช้กันทั่ว คำว่า chicken อาจแปลว่าไก่หลงหรือโสเภณี ฝรั่งเศษพูดว่า poule de luxe (พูล เดอ ลุกซ)

ส่วนใหญ่อาจเรียกว่า hourly hotel หรือไม่ก็เรียก meatrack เป็นสถานที่ที่พบโสภาณีได้ บางครั้งก็เรียก knocking shop หรือ microwave club กรณีหลังนี้สามีอาจตีกอล์ฟหรือเที่ยวสนุกตอนกลางวันส่วนภรรยาก็แอบไปเป็นโสเภณี

โสเภณี นั้นเรียกว่า a red-lighter หรือ hooker..

..นี่แหละครับ 1 ใน 54 บทที่น่าสนใจเกี่ยวกับศัพท์ภาษาอังกฤษ์ของเล่มนี้ ว่าไปก็เป็นบทที่ไม่คุ้นเลยจริงๆ