Tag

ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ

Browsing

สรุปหนังสือ Makoto Marketing หลักสูตรการตลาดจริงใจสไตล์ญี่ปุ่น เขียนโดย ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ หรืออาจารย์เกตุวดี Marumura ผู้ที่เขียนหนังสือการตลาดสไตล์ญี่ปุ่นขายดีมาหลายต่อหลายเล่มนั่นเองครับ

ถ้าให้สรุปสั้นๆ ผมว่าชื่อหนังสือภาษาไทยเล่มนี้ สรุปแก่นของเนื้อหาทั้งเล่มได้ชัดมาก แต่ถ้าถามถึงประโยควรรคทองวรรคหนึ่งที่ผมชอบมากจากหนังสือเล่มนี้คือ

ทำให้ลูกค้า 1 คนซื้อ 100 ครั้ง ดีกว่าลูกค้า 100 คนซื้อครั้งเดียว

Makoto Marketing

ผมชอบประโยคนี้ที่สุดเลยครับ มันย้ำให้เห็นแก่นของการตลาดที่ดี การใส่ใจลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนจะใช้เทคโนโลยีแบบไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะจากประสบการณ์ผมพบว่าต่อให้ทุ่มงบกับเทคโนโลยีล้ำขนาดไหน แต่ถ้าระบบการทำงานข้างใน พนักงานข้างในไม่ได้ถูกอบรมให้ต้องใส่ใจลูกค้าให้ได้มากที่สุด เทคโนโลยีนั้นก็ไร้ค่า สุดท้ายก็วนกับการตลาดแบบเดิมๆ หาลูกค้าใหม่ไปเรื่อยๆ เพราะไม่สามารถรักษาลูกค้าเก่าไว้ได้สักเท่าไหร่

เรื่องนี้ทำให้เราต้องกลับมาคิดว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาเรามีลูกค้าที่ซื้อหรือใช้บริการเรามากกว่า 1 ครั้งมีเท่าไหร่ แล้วถ้า 2 ครั้งมีเท่าไหร่ แล้วเรามีลูกค้าที่กลับมาหาเราถึง 3 ครั้งไหม รู้ไหมครับว่าจากการวิเคราะห์ข้อมูลแค่นี้ก็ทำให้รู้แล้วว่าตกลงแล้วธุรกิจเรา แบรนด์ของเราเป็นที่รักของลูกค้าหรือไม่

อย่างหนึ่งที่สำคัญของการตลาดคือการสื่อสารด้วยความจริงใจ

จริงใจในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการพูดเพราะ พูดหวาน แต่เป็นการพูดจากใจจริง พูดบอกความจริง พูดแบบเพื่อนที่หวังดีต่อกันคุยกัน

อะไรได้บอกได้ อะไรไม่ได้กล้าบอกไม่ได้ ไม่ใช่รับปากส่งๆ ไปว่าได้แต่ถึงเวลาไม่ได้ แบบนี้ไม่จริงใจกับลูกค้าสักนิดเลยครับ

เพราะทุกอย่างที่เราทำให้ลูกค้าไปไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จะย้อนกลับมาเป็นแบรนด์เราในที่สุด

เพราะ Branding ไม่ได้หมายถึงแค่การออกแบบโลโก้ การเลือกสี การใช้ภาพ หรือการสื่อสาร แต่หมายถึง Customer Experience ทั้งหมดที่ลูกค้าได้รับจากเราไป แปลงออกมาเป็น Customer Feeling ว่าลูกค้ารู้สึกกับเราอย่างไร และนั่นก็คือการกลายมาเป็น Branding ของธุรกิจเรานั่นเอง

ลองมาดูตัวอย่าง Case Study ของ Makoto Marketing การตลาดแบบจริงใจสไตล์ญี่ปุ่นกันว่ามีเรื่องไหนบ้างที่ประทับใจผมเป็นพิเศษ (แม้ทั้งเล่มจะประทับใจผมทั้งหมดก็ตาม)

Omatsuri Japan แพลตฟอร์มตัวกลางจัดงานอีเวนต์ที่ทำให้ทุกฝ่าย วิน วิน และ วิน กันไปหมด

https://omatsurijapan.com/

การจัดอีเวทต์ที่เคยมี Pain Point ว่าคนอยากจัดงานแต่ขาดสปอนเซอร์งาน คนอยากไปงานอีเวนต์แนวที่ตัวเองชอบก็ไม่รู้ว่ามันมีที่ไหนบ้าง ส่วนแบรนด์ก็อยากหาอีเวนต์ที่ใช่เพื่อเข้าไปสปอนเซอร์ก็หาไม่ค่อยเจอ อารมณ์เหมือนสามคนเดินตามหากัน แต่ก็ไม่เคยได้เจอกัน จนกระทั่งได้เจอ Omatsuri Japan บริษัทที่รวบรวมงานเทศกาลต่างๆ เข้าไว้ในที่เดียว ให้ทั้งสามฝ่ายได้เจอกันได้ไวและก็ตัดสินใจทำอะไรได้เร็วครับ

ถ้ามองในภาพรวมด้านกลยุทธ์ ถือว่าฉลาดมากที่เชื่อมงานอีเวนต์เล็กๆ ทั้งหลายเข้าด้วยกัน จนทำให้กลายเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีที่มีมูลค่ามหาศาล เพราะการที่จะให้ผู้จัดอีเวนต์รายขนาดกลางและเล็กทำเองก็ดูจะยากลำบากเกินไป พอมีตัวกลางสักคนมาจัดการให้ ก็ส่งผลให้เกิด Domino Effect ในด้านดี ส่งผลให้อุตสาหกรรมการจัดงานอีเวนต์ขนาดเล็กขยับใหญ่ขึ้นเป็นขนาดกลาง ส่วนขนาดกลางก็ขยับขึ้นมาใหญ่ได้ในแบบที่ผู้จัดงานเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

พยายามหาจุดที่เอาสิ่งที่มีอยู่กระจัดกระจายมารวมกันไว้ให้ได้ เมื่อนั้นจะเกิด Effect บางอย่าง เหมือนกับที่ Omatsuri Japan ทำได้และทำอยู่ครับ

Purpose > Product > Purchase เริ่มจากใจที่อยากทำ นำไปสู่คนที่อยากซื้อ

การทำธุรกิจจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ที่ยากคือทำตามๆ กันมาเพราะเห็นว่ากระแสดี แต่สุดท้ายพอกระแสหายก็กลายเป็นค้างเติ่งอยู่กลางทาง ส่วนที่ผมว่าง่ายคือแค่เริ่มทำธุรกิจจากใจที่อยากทำ เท่านี้ธุรกิจคุณก็ยากที่จะเจ๊งได้แล้วหละครับ

เป็นเรื่องราวของแบรนด์หนึ่งในหนังสือเล่มนี้ แต่ผมขอไม่เล่าถึง ไว้ให้คุณไปอ่านเองก็แล้วกัน แต่ผมสรุปแก่นหลักออกมาได้เป็น 3 ขั้นตอนของการทำธุรกิจให้ไม่เจ๊งและมีความสุขแบบนี้ครับว่า

1. Purpose ตอบตัวเองให้ได้ว่าทำไมเราถึงอยากทำสิ่งนี้

เพราะทุกสิ่งที่เราทำล้วนมีคนทำมาก่อนอยู่แล้ว แล้วทำไมเราถึงยังเลือกทำมันอีก อะไรคือแรงบันดาลใจให้เราต้องลงมือทำมันขึ้นมา

อย่างผมที่ทำเพจการตลาดวันละตอน เคยมีคนถามว่าทำไมผมถึงทำขึ้นมา ทั้งที่เพจการตลาดก็มีมากมาย ผมบอกว่าผมอยากได้เพจการตลาดที่เอาเคสมาคุย แล้วก็คุยในภาษาชาวบ้าน

เอาแบบชาวบ้านคนเดินตลาด เพราะตอนนั้นเมื่อ 5 ปีก่อนไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องการตลาด ทั้งที่มีคำว่า “ตลาด” กลับถึงต้องใช้ศัพท์ยากๆ มากมายที่ทำให้คนอ่านไม่ค่อยเข้าใจด้วย

ผมเลยเลือกทำเพจการตลาดวันละตอนขึ้นมา เป็นอีกหนึ่งเพจการตลาดท่ามกลางเพจมากมาย

หรือที่ผมรับทำ Data Research จาก Social Listening ก็เหมือนกัน ทั้งที่บริษัท Social Listening ทั้งหลายเองก็รับทำ แต่ผมรู้สึกว่าสมัยก่อนเวลาผมได้ Report มาผมกลับอ่านแล้วไม่เกิด Inspiration ไม่เกิดปิ๊งไอเดียจากรีเสิร์จที่ได้เท่าไหร่เลย

ผมเลยลงมือทำมันขึ้นมาเองกับทีม จนพบว่าแบบนี้เวิร์คกว่า ทำไปทำมาคนอื่นก็มาขอให้ทำ จนได้ทำตั้งแต่แบรนด์เล็กระดับ SME ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐที่มีความตั้งใจดี และล่าสุดก็คือหน่วยงาน UNDP ที่จะถูกนำไปใช้วางแผนนโยบายร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาชีวิตคนไทยให้มีสุขภาพดีขึ้น

2. Product ลงมือทำสิ่งที่อยากทำให้มันดีกว่าสิ่งเดิมที่มีอยู่ขึ้นมา

จากจุดกำเนิดให้อยากทำ มาสู่การลงมือทำ Product ที่ดีกว่าเดิมที่มีอยู่ ขั้นตอนนี้มักเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด แต่บางที่มันก็อาจเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากทำ เช่น การทำกระเป๋าที่คิดถึงคนใช้มากที่สุด เก็บทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จนทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเพราะไอ้เล็กๆ น้อยๆ นี่แหละแบรนด์อื่นเลยมองข้าม ไม่ใส่ใจ แต่พอมีแบรนด์ที่ใส่ใจก็อยากจะสนับสนุนเต็มที่ คุณเคยมีโมเมนต์แบบนี้ไหมครับ ?

อย่างเวลาผมทำ Data Research จาก Social Listening ให้ลูกค้า ผมและทีมก็ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพราะทุกครั้งที่เราทำงานไปเราจะคิดถึงหน้าลูกค้าคนรับ Report จากเราเสมอ

เราคิดเผื่อลูกค้าทุกครั้งว่าข้อมูลนี้มีประโยชน์กับเขาหรือไม่ เราจะทำข้อมูลนี้ให้มีประโยชน์กับเขาได้อย่างไร ตรงนี้เป็นประโยชน์กับลูกค้ามากพอหรือยัง

และนั่นแหละครับ พองานออกมาเราก็ได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของลูกค้า พร้อมกับคำว่า “ขอบคุณ” จากใจจริง เป็นประสบการณ์ที่หาไม่เคยได้สมัยทำงานให้กับบริษัทคนอื่นสักเท่าไหร่เลยจริงๆ ครับ

3. Purchase คนที่อยากได้ในสิ่งที่เราทำ มากกว่าที่คนอื่นทำให้

เมื่อคุณทำสินค้าหรือบริการสักอย่างจากความตั้งใจจริงที่จะทำให้ดีกว่าเดิมที่มีอยู่ในท้องตลาด ความตั้งใจนั้นอาจจะมีจากคุณอยากได้เอาไว้ใช้เอง จนมีเหลือพอจะแบ่งปันคนที่อยากได้แบบเดียวกัน

เชื่อไหมครับว่าไม่นานนัก คุณจะเริ่มเจอคนที่อยากได้ในสิ่งที่คุณทำ เขาจะรู้สึกขอบคุณที่คุณทำสิ่งนี้ขึ้นมาอย่างมาก แล้วเขาก็จะรักในสิ่งที่คุณทำมันมาก เขาจะเอาไปบอกต่อคนรอบข้าง แล้วคนที่อยากได้แบบเดียวกับเขาคนนั้นก็จะค่อยๆ เข้ามาหาคุณเพิ่มเอง

นี่คือโมเมนต์ที่มีความสุขที่สุดในการทำธุรกิจจากใจจริงด้วยความจริงใจ มันคือโมเมนต์ที่เราไม่ได้อยากได้แค่ของหรือเงินจากใคร แต่มันคือโมเมนต์ที่เราได้เจอเพื่อนที่ต้องการอะไรเหมือนๆ กัน

แม้มันอาจจะไม่ได้ทำให้เราร่ำรวยมหาศาล แต่มันก็ทำให้เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำงานครับ

คำแนะนำเพิ่มเติมนิดนึงจากหนังสือ Makoto Marketing เล่มนี้

เขาบอกว่าให้เอาคนทำงานหลังบ้านแวะมาเป็นคนรับลูกค้าหน้างานด้วย เพื่อที่คนทำงานจะได้เข้าใจว่าคนที่ซื้อเราเป็นใคร เขาแต่งตัวอย่างไร เขาใช้มันอย่างไร เขาชอบตรงไหน เขาติดที่ตรงไหน จากนั้นเมื่อกลับไปทำงานหลังบ้านก็จะได้รู้ว่าจะทำให้มันดีขึ้นได้อย่างไร

Denka no Yamaguchi ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ขายได้แพงกว่าเพราะใช้ใจ และ Data-Driven

ธุรกิจร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน สินค้าที่รับจากโรงงานเดียวกัน ผู้ผลิตเดียวกัน นอกจากการแข่งกันว่าใครจะมีสาขาใกล้บ้านลูกค้ามากกว่า ขายได้ถูกกว่า เราจะแข่งกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างไร ?

ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า Denka no Yamaguchi ทำในสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่ไม่ค่อยมีคู่แข่งคนไหนอยากทำ นั่นก็คือเลือกเข้าไปดูแลลูกค้าถึงบ้านทีละคน เป็นงานที่ฟังดูง่ายแต่ทำให้สำเร็จจริงนั้นเหนื่อยยาก ดังนั้นการจะเข้าไปดูแลลูกค้าทุกคนถึงบ้านนั้นไม่สามารถเป็นไปได้ และนั่นก็เป็นจุดที่บริษัทแห่งนี้เลือกใช้ Data-Driven Service ด้วยการดูว่าลูกค้าคนไหนสำคัญพอที่จะต้องเข้าไปดูแลครับ

เมื่อดู Historical Data จากสองมิติ จำนวนเงินที่เคยซื้อกับเรา และครั้งล่าสุดที่เคยมาซื้อเรา เพื่อประเมินหาว่าจากจำนวนพนักงานที่มีจำกัด ถ้าต้องวิ่งไปดูแลลูกค้าถึงบ้านจะต้องเลือกให้ความสำคัญใครก่อนหลัง

จากนั้นเมื่อจัดลำดับความสำคัญได้แล้ว พนักงานก็จะถูกส่งไปดูแลลูกค้าทีละรายถึงบ้านตามลำดับความสำคัญ ไปแนะนำสินค้าใหม่ ไปช่วยเปลี่ยนหลอดไฟให้ แล้วรู้มั้ยครับว่าข้อดีของการไปหาลูกค้าถึงบ้านที่คาดไม่ถึงคืออะไร

พนักงานของเราจะได้เก็บ Data ด้วยสายตาเลยว่าลูกค้าคนนี้มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรบ้าง มีอะไรบ้างที่มันเก่าเกินไปจนควรเปลี่ยนแล้ว หรือดูว่าลูกค้าคนนี้ชอบเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทไหนเป็นพิเศษ แบบว่าขอแค่ให้รู้ว่ามีที่ดีกว่า ไม่ต้องรอของเก่าพังก็พร้อมจ่ายซื้อของใหม่ในทันทีครับ

ถามว่ากลยุทธ์การตลาดแบบนี้คู่แข่งเลียนแบบได้ไหม ?

เลียนแบบได้ แต่คงไม่มีใครอยากเลียนแบบ เพราะมันเป็นการตลาดที่ยากลำบาก ที่ต้องใช้พลังในการเข้าไปถึงบ้านลูกค้าทีละคน ๆ จริง ๆ

ดังนั้นแม้ห้างนี้จะคิดราคาแพงกว่าคู่แข่งนิดหน่อย แต่บรรดาลูกค้าโดยเฉพาะคนสูงวัยก็ยอมจ่าย เพราะไม่มีร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้ารายไหนส่งคนมาดูแลถึงที่บ้านเป็นประจำแบบนี้ นี่คือการ Service ขั้นเทพแบบที่เป็นการสร้าง Branding ในทางที่ดีไปในตัวครับ

สรุปได้ว่าการทำการตลาดให้ดีไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำในเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่อยากทำเท่านั้นเองครับ

Zenrin บริษัททำแผนที่ที่ใช้ง่าย แต่กว่าจะทำได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญ

Photo: https://www.tizen.org/ko/about/devices/vehicle-infotainment/add-ons/zenrin-datacom-navigation-engine?langswitch=ko

แผนที่ หรือถ้าพูดให้ใกล้ตัวหน่อยก็ Google Maps ใช้ง่ายใช่มั้ยครับ ตั้งแต่เรามี Google Maps ติดมือถือไว้จะเดินทางไปไหนที่ไม่เคยไป ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปใช่ไหมครับ

เทียบกับยี่สิบปีก่อน การจะเดินทางไปไหนสักที่ จำเป็นต้องมีแผนที่กระดาษ หรือจำเป็นต้องคอยแวะถามคนระหว่างทาง ว่าถ้าจะไปที่นี่ต้องไปยังไง จะไปอำเภอนี้ต้องขับไปทางถนนเส้นไหน

แต่แผนที่ที่เราใช้กันก็เป็นแผนที่ที่ใช้ง่ายระดับหนึ่ง แต่ถ้ากับงานที่มีความเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษหละ อย่างรถขนขนาดใหญ่ที่ไม่ขับผ่านถนนเส้นเล็ก หรือขับผ่านถนนเส้นที่มีสะพานลอยเพราะของที่ขนมาสูงเกิน 5 เมตรได้ แน่นอนว่าแผนที่อย่าง Google Maps ที่เราใช้เป็นประจำไม่สามารถตอบโจทย์คนที่มีความต้องการแบบเฉพาะเจาะจงได้แน่นอนครับ

บริษัท Zenrin ผู้ผลิตแผนที่เฉพาะทาง แผนที่สำหรับทุกคนทุกกลุ่มเท่าที่พวกเขาจะนึกออก และถูกร้องขอให้ทำ อย่างแผนที่สำหรับรถดับเพลิงขนาดใหญ่ เพื่อให้ง่ายต่อการเดินทางไปดับไฟโดยไวกันลุกลาม

เพราะทีมงานจะเข้าไปวัดความกว้างของถนนแต่ละเส้น เพื่อจะได้บอกได้ว่าถนนเส้นไหนบ้างที่รถดับเพลิงขนาดใหญ่สามารถเข้าถึงได้

แล้วก็กลายเป็นว่าคนที่จะซื้อบ้านก็จะดูแผนที่ดังกล่าวเพิ่มเติม เพื่อดูว่าบ้านฉันปลอดภัยจากไฟไหม้ได้มากแค่ไหน ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นรถดับเพลิงจะมาได้ไวพอและเข้าถึงบ้านฉันได้หรือไม่

แถมหนังสือ Makoto Marketing เล่มนี้ยังบอกอีกว่า ตอนนี้พวกเขากำลังพัฒนาแผนที่ทางอากาศ เตรียมพร้อมไว้สำหรับการใช้ Drone ในเชิงพานิชย์ ถึงเวลาใช้ Drone บินรับส่งสินค้าไปมา จะได้รู้ว่าตรงไหนบินผ่านได้บ้าง และตรงไหนที่บินผ่านไม่ได้เพราะติดตึกสูงนั่นเองครับ

สรุปหนังสือ Makoto Marketing หลักสูตรการตลาดแบบจริงใจสไตล์ญี่ปุ่น

ทั้งหมดของบางบทที่ผมหยิบมาสรุปให้ฟังย้อนกลับไปยังประโยคที่ผมบอกว่าผมชอบที่สุดคือ

ทำให้ลูกค้า 1 คนกลับมาซื้อซ้ำ 100 ครั้ง ดีกว่าลูกค้า 100 คนซื้อครั้งเดียว

การตลาดที่ดีไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่ต้องใช้ท่ายาก ไม่ต้องทำเทคนิคเยอะ และก็ไม่ได้เริ่มต้นจากเทคโนโลยี MarTech หรือ Big Data แต่อย่างไร แต่เริ่มจากใจที่อยากทำให้ดีกว่าคนอื่น ใจที่อยากดูแลลูกค้าให้ดีขึ้น และใจที่อยากทำในสิ่งที่ทำอยู่ในทุกวันครับ

ส่วนพอเรามีใจที่ตั้งใจทำ เราจะค่อยหาทางว่าจะทำให้มันดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร เมื่อนั้นเทคโนโลยีจึงค่อยมา เมื่อนั้นค่อยเป็นเวลาของการใช้ Data ลองกลับมาตั้งต้นที่จุดเริ่มต้นวันที่เราได้งาน หรือวันที่เราเริ่มต้นทำธุรกิจนะครับว่า ทำไมเราถึงเลือกทำสิ่งนี้แทนที่จะเป็นสิ่งอื่นหละ

ทั้งที่สิ่งนี้ก็มีคนทำอยู่ก่อนมากมาย ทำไมเราถึงเลือกทำมันขึ้นมาอีกคน

  • Purpose ในวันเริ่มต้นคืออะไร
  • Product เราทุ่มเทกับมันมากแค่ไหน
  • Purchase คนที่มีปัญหาเหมือนเราเขาจะหาเราเจอได้อย่างไร

เอาง่ายๆ 3 ข้อแก่นหลักที่ผมสรุปได้จากหนังสือเล่มนี้ ส่วนใครอ่านแล้วจะสกัดได้แก่นแบบไหนก็เอามาเล่าให้ฟังกันก็ดีครับ ผมเองก็อยากเรียนรู้เรื่องการตลาดจากคุณเหมือนกัน

สุดท้ายนี้แนะนำครับ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่นักการตลาดต้องอ่าน และคนทำธุรกิจหรือผู้บริหารต้องห้ามพลาดโดยเด็ดขาดครับ

ในฐานะนักการตลาดเหมือนกัน ยกให้ 10 เต็ม 10 เลย อ่านก่อน รู้ก่อน ปรับตัวก่อน อย่ารอให้สายเกินไปแล้วค่อยอ่าน ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะพูดกับตัวเองว่า “รู้งี้” เหมือนที่ผมบอกให้คุณรู้แล้ว

อ่านแล้วเล่า สรุปหนังสือ เล่มที่ 35 ของปี

สรุปหนังสือ Makoto Marketing หลักสูตรการตลาดแบบจริงใจสไตล์ญี่ปุ่น
ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ (เกตุวดี Marumura) เขียน
สำนักพิมพ์ The Cloud

อ่านสรุปหนังสือที่เกี่ยวกับการตลาดและธุรกิจญี่ปุ่นต่อ > https://www.summaread.net/category/japan/

สั่งซื้อออนไลน์ > https://www.readthecloud.store/product/makoto-marketing/

ริเน็น สร้างธุรกิจ 100 ปี ด้วยหลักคิดแบบญี่ปุ่น เล่มนี้ทำให้ผมคิดถึงคำสั้นๆ ที่เรียกว่า Strategy หรือ กลยุทธ์ เพราะระหว่างอ่านหนังสือริเน็น สร้างธุรกิจ 100 ปี เล่มนี้ก็ทำให้เห็นว่าธุรกิจที่อยู่ยืนยาวได้ถึงร้อยปี หรือบางธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่มานานกว่าพันปีแล้วนั้นสามารถฟันฝ่าวิกฤตทั้งหมดได้ก็ด้วยคำว่า กลยุทธ์ หรือ Strategy นั่นเองครับ

เพราะธุรกิจเหล่านี้ชัดเจนกับการเลือกของตัวเองว่าตัวเองทำธุรกิจไปเพื่ออะไร และด้วยความชัดเจนนั้นเองก็เป็นเสมือนเข็มทิศนำทางทุกการตัดสินใจว่าเราจะพาธุรกิจไปทางไหนถึงจะตอบกลยุทธ์เรานั่นเอง

หนังสือเล่มนี้แบ่งบริษัทส่วนใหญ่ในโลกออกเป็นสองประเภทคือ ต้นไผ่ กับ ต้นสน

ชื่อเรียกอาจฟังดูไม่ต้องเพราะต่างก็เป็นต้นไม้เหมือนกัน แต่พอได้อ่านต่ออีกหน่อยจะเข้าใจได้ไม่ยากว่า ธุรกิจแบบต้นไผ่คือธุรกิจที่เน้นการเติบโตระยะสั้น เอาเป็นว่าได้ประมาณสัก 10-15 ปี รีบกอบโกยออกไปให้เร็วที่สุด ดังที่เราจะเห็นได้จากธุรกิจรอบตัวล้วนเป็นแบบนี้ เน้นการเติบโตแล้วค่อยมาคิดหาทางต่อว่าจะป้องกันอย่างไรไม่ให้ตายไปจากตลาด

ส่วนธุรกิจแบบต้นสนนั้นต่างกันมาก เพราะธุรกิจแบบนี้จะค่อยๆ โตอย่างช้าๆ แต่กลับเป็นการที่โตอย่างแข็งแรงยั่งยืนจนสามารถอยู่ได้ถึงร้อยปีแบบไม่ยาก แถมที่สำคัญธุรกิจเหล่านี้ก็ใช้งบการตลาดน้อยกว่าคู่แข่งอย่างมากทีเดียวครับ

ตัวอย่างธุรกิจแบบต้นสนที่น่าสนใจในหนังสือริเน็น สร้างธุรกิจ 100 ปี เล่มนี้ก็อย่างเช่นบริษัทแท็กซี่ชูโอ

บริษัทแท็กซี่ชูโอเลือกที่จะปฏิเสธงานช่วงมหกรรมกีฬาครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น ที่ตอนนั้นเต็มไปด้วยกองทัพนักข่าวและนักกีฬามากมายที่ต้องการรถแท็กซี่ให้บริการในช่วงนั้นเพื่อรายงานข่าว ทำให้บริษัทแท็กซี่ต่างๆ ในเมืองนั้นล้วนตอบรับคำจองล่วงหน้าหมดเกลี้ยงแถมยังได้เงินดีกว่าการรับชาวบ้านปกติมากมาย

แต่บริษัทชูโอนั้นกลับตัดสินใจที่ต่างอย่างสุดขั้ว นั่นก็คือพวกเขาเลือกที่จะปฏิเสธงานใหญ่กำไรดีไปอย่างน่าเสียดายสำหรับคนนอกที่มองเข้ามา แต่ลึกๆ แล้วพวกเขากำลังตัดสินใจโดยมี Strategy ที่ดีกว่าในระยะยาวคือการยึดครองใจลูกค้าในเมืองให้ได้มากที่สุดนั่นเองครับ

เพราะคุณลองคิดดูซิว่าเมื่อแท็กซี่ทุกคันในเมืองล้วนให้การตอบรับนักข่าวต่างชาติทั้งหมดในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน ทำให้ผู้คนในเมืองนั้นต้องหันมาใช้บริษัทแท็กซี่ชูโอเพียงแค่เจ้าเดียว และจุดนั้นเองที่ทำให้แท็กซี่ชูโอได้ใจของลูกค้าที่อยู่ในเมืองนั้นไปมากมายเพราะไม่มีใครมารับพวกเขาเลย และนั่นก็ทำให้บริษัทแท็กซี่ชูโอกลายเป็นบริษัทแท็กซี่อันดับหนึ่งขวัญใจชาวเมืองชูโอไปได้อย่างไม่ต้องคิดมากเลยครับ

แน่นอนว่าในระยะสั้นรายได้ของบริษัทแท็กซี่ชูโอจะโดนคู่แข่งแซงหน้าไปอย่างมากมาย แต่พอมหกรรมกีฬาผ่านพ้นไปกลับทำให้บริษัทแท็กซี่ชูโอขึ้นมานำได้อย่างสบายๆ เลยทีเดียว

และนี่ก็คือวิธีการทำธุรกิจของบริษัทแบบต้นสน ที่เลือกอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ยอมกลืนยาขมในระยะสั้น เพื่อจะได้ชื่นชมความหวานในระยะยาว

อีกเรื่องที่น่าสนใจในหนังสือริเน็น สร้างธุรกิจ 100 ปีเล่มนี้ก็คือ ผมเพิ่งรู้ว่าหลายร้านอาหารในญี่ปุ่นเลือกที่จะปฏิเสธการรับดาวจากมิชลินที่ร้านอาหารไหนๆ ในโลกก็อยากได้ ที่พวกเขาปฏิเสธเพราะกลัวว่าเมื่อร้านตัวเองดังแล้วจะให้บริการลูกค้าเก่าได้ไม่ดีเท่าแต่ก่อน เพราะเมื่อดังแล้วก็จะเต็มไปด้วยขาจรมากมาย

เรื่องนี้เลยสอนให้รู้ว่า การให้ความสำคัญกับลูกค้ามากกว่าชื่อเสียงเป็นอะไรที่น่าชื่นชมและนับถือมากจริงๆ ครับ

บริษัทแบบต้นสนคือบริษัทที่เน้นลูกน้องมากกว่าลูกค้า เพราะเขารู้ว่าถ้าลูกน้องหรือพนักงานมีความสุข พวกเขาก็จะให้บริการลูกค้าได้อย่างมีความสุขเช่นเดียวกัน มีธุรกิจต้นสนบางบริษัทเลือกที่จะปฏิเสธคำสั่งซื้อจำนวนมากระยะสั้น เพราะเจ้าของธุรกิจกลัวว่าจะเป็นการเพิ่มความกดดันให้กับพนักงานโดยไม่คุ้มค่าในระยะยาว

พอลูกน้องรู้แบบนี้รีบรวมตัวบอกเจ้าของให้รับงานเถอะ พวกเขายินดีจะเพิ่มกะทำงานเพื่อให้บริษัทมีรายได้มากขึ้น

เรื่องนี้ทำให้ผมคิดย้อนถึงตัวเองว่าที่ผ่านมาเราเคยเจอเจ้าของบริษัทไหนที่มีความคิดแบบนี้บ้างมั้ยนะ บอกตรงๆ ว่าน้อยมากจนนับนิ้วด้วยมือข้างเดียวได้ และแนวคิดแบบนี้ก็คือแนวทางที่ผมกำลังใช้กับทีมผมอยู่ในปัจจุบันนี้ เพราะล่าสุดเพราะปฏเสธงานใหญ่ๆ ที่ดูจะสร้างรายได้ดีให้เรามากมาย แต่เราก็ชั่งใจแล้วว่าถ้าเรารับงานแบบนี้มาก็จะไม่มีความสุขที่จะทำอยู่ดี สุดท้ายผมให้ลูกน้องตัดสินใจว่าอยากจะรับลูกค้ารายนี้มั้ย โชคดีที่ลูกน้องกับผมใจตรงกันครับ 🙂

หรือแม้แต่เรื่องการลดราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าก็เป็นสิ่งที่บริษัทแบบต้นสนจะไม่ทำ เพราะพวกเขารู้ว่าการทำแบบนี้สุดท้ายก็จะไปลดต้นทุนจนทำให้คุณภาพลดลง และนั่นก็จะส่งผลต่อทั้งคนทำงานและวัตถุดิบที่ต้องใช้ แล้วสุดท้ายก็จะไม่มีฝ่ายไหนมีความสุข ลูกค้าได้ของที่ไม่ต้องการ ฝั่งผู้รับจ้างก็ไม่ได้กำไรอย่างที่ต้องการครับ

เพราะการลดราคานั้นไม่ต้องใช้ความสามารถใดๆ แต่การยืนยันในราคาเดิมให้คนอยากซื้อให้ได้นั้นต้องใช้สมองและความสามารถมากกว่าเยอะครับ

การทำธุรกิจแบบต้นสนคือต้องมี 3 ฝ่ายที่ได้ ผู้ขายได้ ผู้ซื้อได้ และสังคมก็ต้องได้เช่นกัน แบบนี้ถึงจะเรียกว่าวินกันทุกฝ่ายและเข้าเส้นชัยไปด้วยกันครับ

เพราะหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจแบบริเน็น ที่จะยั่งยืนได้เป็นร้อยปีคือการไม่ได้เริ่มต้นหรือมีเป้าหมายที่กำไร แต่ธุรกิจที่ยืนยาวได้เป็นร้อยปีจะมีแนวคิดเดียวกันนั่นก็คือทำให้ดีที่สุดจนลูกค้ามีความสุขที่จะเลือกเรา

เพราะเมื่อกำไรไม่ใช่เป้าหมายแล้วกลายเป็นแค่ผลพลอยได้ หรือการทำงานจนให้รายได้เป็นแค่ผลพลอยได้นั้นคือการสร้างแบรนด์ที่ดีกว่าทุ่มงบโฆษณาหลายล้านเท่า

เพราถ้างบการตลาดคุณน้อย คุณต้องทำทุกอย่างให้เป็นการตลาด ตั้งแต่การเริ่มต้นธุรกิจ ตั้งแต่พนักงานที่ทักทายลูกค้า ตั้งแต่ตัวสินค้า ตั้งแต่การบริการหลังการขาย หรือทุกอย่างที่คุณจะสามารถคิดออกได้ ทำให้มันออกมาดีที่สุดจนลูกค้าต้องเอาไปบอกเล่าต่อด้วยตัวเองครับ

เพราะลึกๆ แล้วธุรกิจแบบต้นสนก็คือการสร้าง Branding ชั้นดี ดีจนถึงขนาดว่าต่อให้ไฟไหม้ร้านค้าโรงงานเราจนไม่เหลืออะไร เหลือแค่ป้ายแผ่นเดียวหรือเขียนชื่อธุรกิจขึ้นมาใหม่ก็ยังมีคนมากมายมาต่อคิวซื้อเราอยู่ดีครับ

คุณทำธุรกิจได้แบบนี้แล้วหรือยัง? หรือทุกวันนี้ลูกค้าเดินเข้ามาหาเพียงเพราะคุณราคาถูกกว่าอีกรายนิดหน่อยเท่านั้น

อีกปัญหาที่มักเจอว่าคนทำงานสมัยนี้อยู่กับบริษัทไหนได้ไม่นาน หรือถ้ามีที่ไหนให้เงินมากกว่านิดหน่อยพวกเขาก็มักจะตัดสินใจไปได้ไม่ยากในทันที แต่ก่อนจะโทษพคนสมัยนี้ผมอยากให้เจ้าของธุรกิจทั้งหลายถามตัวเองว่าจิตวิญญาณของบริษัทเราต่างจากคู่แข่งบ้างมั้ย เพราะถ้าคุณยังทำธุรกิจโดยเน้นแค่ผลกำไรไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรที่ดึงดูดคน ก็ไม่ต้องแปลกใจถ้าเค้าจะไปเพียงเพราะได้เงินเพิ่มขึ้น 30% ครับ

สุดท้ายนี้ผมเพิ่งรู้ว่า MUJI เองจุดเริ่มต้นแบรนด์ไม่ได้อยากจะ Minimal แต่อย่างไร แต่เพียงเขาเพียงต้องการที่จะลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อช่วยลูกค้าประหยัดมากที่สุด แต่นั่นก็ทำให้ MUJI ต้องมินิมอลไปโดยปริยาย แล้วก็เป็นที่ถูกอกถูกใจใครๆ มากมายในวันนี้ครับ

ดังนั้นจะเป็นว่าด้วยจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนของบริษัท กลายเป็นเข็มทิศแนวทางให้รู้ว่าคนในองค์กรจะต้องตัดสินใจแบบไหน เพราะถ้า MUJI ไม่ได้ตั้งใจจะลดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อช่วยลูกค้าประหยัด พวกเขาก็คงไม่ได้เป็นมินิมัลแบรนด์ที่ชัดเจนในระดับโลกอย่างทุกวันนี้ได้เลยครับ

สรุปหนังสือ ริเน็น สร้างธุรกิจ 100 ปี ด้วยหลักคิดแบบญี่ปุ่น เกตุวดี Marumura

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 9 ของปี 2020

สรุปหนังสือ ริเน็น สร้างธุรกิจ 100 ปี ด้วยหลักคิดแบบญี่ปุ่น
ปรัชญาการบริการธุรกิจแบบญี่ปุ่นที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยืนหยัดฝ่าทุกมรสุมได้ยาวนาน
ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ (เกตุวดี Marumura) เขียน
สำนักพิมพ์ We Learn

20200222

อ่านสรุปหนังสือแนวนี้ต่อ > https://www.summaread.net/category/japan/

สนใจสั่งซื้อได้ที่ > http://bit.ly/3cEsMAM