
ตอนแรกที่หยิบมาอ่านผมสงสัยว่าทำไมต้อง China 5.0 ทั้งที่ Thailand เพิ่งจะประกาศ 4.0 เอง แล้วไอ้เจ้า 5.0 ที่ว่านี้คืออะไร
.
พออ่านจบก็เลยเข้าใจได้ว่า 5.0 ก็คงเปรียบได้ว่าเป็นยุค AI เพราะ 4.0 ที่นิยามกันส่วนใหญ่เป็นแค่ยุค Digital
.
บางคนอาจมีคำถามต่อไปว่า แล้ว Digital ไม่ใช่ AI หรือ
.
ต้องตอบว่าไม่ใช่ครับ เพราะ digital นี้เป็นแค่การเปลี่ยนรูปแบบของข้อมูลจากที่เคยเป็น physical หรือจับต้องได้ อย่างหนังสือเป็นเล่มๆ เพลงเป็นแผ่นๆ ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่สามารถโหลดได้ผ่านอินเทอร์เน็ตไร้สาย และที่สำคัญคือการสามารถทำซ้ำได้ไม่รู้จบโดยไม่มีต้นทุนเพิ่ม ผิดกับหนังสือเป็นเล่มๆถ้าอยากได้เพิ่มอีกเล่มก็ต้องสั่งพิมพ์เพิ่มยังไงล่ะครับ ต้นทุนก็เลยมีทั้งกระดาษ ค่าพิมพ์ ค่าแรง ค่าจัดส่งโน่นนี่นั่น แต่พอเป็นดิจิทัลปุ๊บแค่ copy & paste ก็จบแล้ว
.
เมื่อทุกอย่างรอบตัวกลายเป็นดิจิทัล เมื่อมีข้อมูลดิจิทัลมากๆเข้าก็กลายเป็น Big Data จนสามารถเอาข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้มาสอนและพัฒนา AI ให้ฉลาดมากๆได้
.
ดังนั้น China 5.0 คือการที่จีนตั้งเป้าตัวเองให้กลายเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก ไม่ใช่แค่ผู้นำด้านการผลิตจำนวนมากๆในราคาถูกๆอย่างที่เรารับรู้กันอีกต่อไป และเทคโนโลยีที่พี่จีนตั้งใจจะเป็นผู้นำจริงๆก็คือ AI นี่แหละครับ
.
แล้วทำไมต้อง AI
.
เพราะ #AI เป็นเรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครได้เปรียบใครในวันนี้ ทุกคนเริ่มต้นพร้อมกัน ดังนั้นใครเริ่มก่อนและสำเร็จก่อนก็จะกลายเป็นผู้นำในด้านนั้นไปโดยปริยาย เพราะลำพังการผลิตชิปประมวลผลของจีนในวันนี้เองก็ยังไม่สามารถสู้ทางด้านชาติตะวันตกได้ เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมาจีนต้องนำเข้าชิปประมวลผลมากกว่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถึงแม้ตอนนี้จะมีหลายบริษัทในจีนเช่น Alibaba กำลังวิจัยและพัฒนาการผลิตชิปประมวลผลของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการพัฒนาที่ตามหลังชาติตะวันตกอยู่ดี
.
ดังนั้นการตั้งเป้าของชาติที่จะเป็นผู้นำด้าน AI จึงเป็นเป้าหมายที่สดใหม่และหาได้ด้อยกว่าใครของจีนครับ
.
ที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้จีนน่าจะได้เปรียบการพัฒนาด้าน AI กว่าชาติตะวันตกคือ #ข้อมูล
.
จีนเองเป็นประเทศที่มีกฏหมายด้านความเป็นส่วนตัวหรือความปลอดภัยทางข้อมูลน้อยมาก และรัฐเองก็เก็บข้อมูลแทบทุกอย่างจากทุกคนรวมถึงทุกบริษัทอยู่เสมอ หัวใจสำคัญของการฝึก AI คือการต้องมีข้อมูลมาป้อนให้ AI ได้เรียนรู้มากๆและบ่อยๆ แต่กับโลกตะวันตกนั้นกฏหมายการใช้ข้อมูลนั้นค่อนค้างรัดกุมกว่าจีนมาก เรียกได้ว่ากลายเป็นปัญหาสำคัญมากขึ้นทุกวันแล้ว ดังนั้นนี่เลยกลายเป็นจุดได้เปรียบของจีนด้าน AI ตั้งแต่เริ่มเกม
.
แล้วจากข้อมูลมหาศาลหรือ #BigData ที่รัฐบาลเก็บไว้ผ่านทุกช่องทางโดยเฉพาะ Social Media หลายคนเคยเชื่อว่ารัฐบาลจีนเซ็นเซอร์ทุกอย่าง ไม่ปล่อยให้มีความเห็นในแง่ลบต่อพรรคคอมมิวนิสต์หลุดรอดได้ แต่หนังสือเล่มนี้บอกว่าไม่จริงครับ
.
ในความเป็นจริงรัฐบาลไม่ได้เซ็นเซอร์ทุกอย่างขนาดนั้น สิ่งเดียวที่รัฐบาลจีนจะเซ็นเซอร์เด็ดขาดโดยทันทีคือการล่ารายชื่อ หรือการนัดกันออกไปชุมนุมเท่านั้น เพื่อป้องกันการลุกลามของประชาชน ส่วนความเห็นอื่นๆที่บ่นนั่นโน่นนี่ทางรัฐบาลจีนจะปล่อยไป เพราะรัฐบาลจีนถือว่าเสียงเหล่านี้ของประชาชนคือข้อมูลที่สำคัญที่ส่วนกลางจะเอาไปทำเป็นแผนพัฒนาหรือนโยบายต่างๆกลับมาสู่ประชาชนอีกที เพื่อสร้างความนิยมในหมู่ประชาชนจีนว่ารัฐบาลไม่เคยทอดทิ้งและกลับรู้ในใจการทำงานด้วยซ้ำ
.
เพราะถึงแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศเผด็จการด้วยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ แต่ก็อย่าลืมนะครับว่าถ้าเผด็จการไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนคนส่วนใหญ่แล้ว ก็ยากที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปได้ เราคงเห็นตัวอย่างจากหลายประเทศแล้วที่เหล่าเผด็จการใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบ หลงลืมประชาชน จนสุดท้ายก็ถูกโค่นล้มแล้วกลายเป็นประชาธิปไตยพังๆต่อไป
.
ทางรัฐบาลจีนเองไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั้นครับ ก็เลยพยายามวางแผนเศรษฐกิจเพื่อความกินดีอยู่ดีของชาวจีนอยู่เสมอ
.
และประเด็นเรื่อง Social Media เองทางการจีนก็ไม่ได้ใช้การเข้ามาแก้ต่างแต่อย่างไร หรือเข้ามาประทะทางความคิดว่าเธอถูกชั้นผิด แต่จีนเลือกที่จะใช้การ #เปลี่ยนประเด็นไปเลย เพราะการปะทะทางความคิดทำให้แต่ละฝ่ายก็ต่างปกป้องความคิดตัวเองจนลุกลาม แต่การเปลี่ยนประเด็นไปเลยนั้นทำได้ง่ายกว่าและสะดวกกว่ามาก
.
ถ้าเมื่อไหร่มีคนบ่นรัฐบาลจีน ก็จะมีพวกความเห็นที่ไม่ได้เข้ามาแย้ง แต่เข้ามาเสนอข้อมูลด้านดีๆจนเรียกได้ว่าใช้น้ำดีถมน้ำดำให้จางจนหายไป
.
กลับมาที่เรื่อง AI ใช่ว่าจะมีแต่ทางรัฐบาลจีนเท่านั้น แต่ด้านบริษัทเอกชนเองก็เช่นกัน ที่กำลังพัฒนา AI ไปจนแซงชาติตะวันตกไม่น้อยแล้วในหลายด้าน เช่น Alibaba เองก็พัฒนา AI ที่ชื่อว่า Aliwood ที่สามารถสร้างคลิปโฆษณาให้สินค้าต่างๆได้เอง จากการเลือกภาพและเพลงประกอบจากข้อมูลพฤติกรรมของผู้ชมที่แตกต่างกันไป เพื่อทำเป็นคลิปโฆษณาที่น่าจะโดนใจผู้ชมให้กดซื้อมากที่สุด
.
หรือจะบอกได้ว่าต่อไปนี้สินค้าแค่ชิ้นเดียวแต่สามารถมีคลิปโฆษณาเป็นล้านชิ้นที่โดนใจคนล้านคนที่มีความชอบไม่เหมือนกันได้ด้วย AI ที่ชื่อ Aliwood จาก Alibaba (ผมว่าชื่อนี้ตั้งใจตั้งให้ล้อกับ HollyWood ฝั่งตะวันตกนะครับ)
.
จีนเองกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบริษัท Start Up ระดับ #Unicorn ที่มีมูลค่าเกิน 1,000ล้านเหรียญสหรัฐ อาจจะมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะบริษัทในระดับนี้มีไม่ถึง 300 บริษัท แต่กลับเป็นของจีนไป 97 บริษัทแล้ว ถ้าถามว่าเพราะอะไรต้องบอกว่าเพราะสภาพแวดล้อมที่ทั้งทางรัฐบาลจีนและภาคเอกชนสนันสนุนให้เอื้อต่อการเกิด #StartUp
.
ตั้งแต่สีจิ้นผิงเข้ามาก็ปราบปรามคอรัปชั่นไปมากมาย แม้จะไม่หมดไปจนกลายเป็นศูนย์แต่ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าทุกวันนี้ข้าราชการจีนทำงานอย่างโปร่งใสและรวดเร็วขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนการเกิดธุรกิจใหม่นั้นง่ายและเร็วกว่าที่ไหนๆในโลก เมื่อเริ่มได้เร็วก็สามารถโตได้ไว
.
และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ทำให้คนรุ่นใหม่ที่จบมหาลัยในจีนส่วนใหญ่ไม่เลือกที่จะหางานทำเลย แต่เลือกที่จะออกมาทำสตาร์อัพหรือธุรกิจของตัวเองก่อนซัก 1-2 ปี ถ้าทำแล้วรอดก็กลายเป็นธุรกิจใหม่ แต่ถ้าทำแล้วไม่รอดก็สามารถกลับเข้าไปในระบบหางานใหม่ได้ไม่ยาก ยิ่งบริษัทสมัยใหม่ในจีนทุกวันนี้สนใจผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำสตาร์ทอัพของตัวเองมากกว่าคนที่เรียนจบเกรดดีๆด้วยซ้ำไป
.
หรือต่อให้ทำงานไปซักพักแล้วมีไอเดียอยากออกไปลองทำสตาร์ทอัพของตัวเองก็ง่าย เพราะที่จีนนั้นไม่มีธรรมเนียมเรื่องรับคนตามอายุในแต่ละตำแหน่งเหมือนบ้านเรา ที่มักจำกัดอายุของผู้สมัคร ทำให้แม้จะออกไปทำแล้วไม่รอด แต่ก็รู้ว่าสามารถกลับเข้ามาหางานทำใหม่ในระบบได้ง่ายๆ
.
นี่แหละครับสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เกิดการคิดใหม่ทำใหม่ของจีนได้ตลอด ไม่ต้องเป็นแค่คนรุ่นใหม่ จะเป็นคนรุ่นไหนก็สามารถวิ่งออกนอกระบบไปทำของตัวเองแล้วกลับมาในระบบเป็นพนักงานประจำใหม่ได้ง่ายๆ
.
เรื่องระบบการจัดการเศรษฐกิจของจีนก็น่าสนใจครับ แม้ว่าจีนจะเก็บอุตสหกรรมสำคัญๆไว้เป็นของรัฐ โดยอยู่ในรูปแบบรัฐวิสาหกิจก็ตาม แต่จีนก็ไม่ได้ปล่อยให้รัฐวิสาหกิจใดใหญ่โตจนผูกขาดเหมือนอย่างบ้านเรา เช่นรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าก็มีแค่การไฟฟ้า แต่ทางการจีนเลือกที่จะแตกรัฐวิสาหกิจนั้นออกมาเป็นบริษัทย่อยๆซัก 4-5 แห่ง เพื่อให้เกิดการแข่งขันเองในกลุ่มรัฐวิสาหกิจ เพื่อป้องกันการผูกขาด การใหญ่เกินขนาดจนอุ้ยอ้าย จนไม่เกิดการพัฒนาจากการแข่งขันกันเหมือนอย่างหลายๆประเทศ เช่นบ้านเรา
.
และที่สำคัญถ้ารัฐวิสาหกิจไหนบริหารไม่ดีก็ใช่ว่าจะได้รับการอุ้มชูดูแล แต่ทางการจีนเลือกที่จะปล่อยให้ล้มละลายไปก็มาก ทั้งหมดนี้เลยเป็นเหตุผลให้รัฐวิสาหกิจของจีนนั้นแข็งแรงพอจนสามารถขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศได้สบายๆ
.
ยุทธศาตร์ Jing-Jin-Ji ของจีนก็น่าสนใจครับ เป็นแนวคิดที่ว่าเชื่อมเมืองรองเข้ากับเมืองใหญ่ด้วยรถไฟความเร็วสูง แล้วรถไฟความเร็วสูงนั้นสำคัญอย่างไรถึงสามารถกระจายความแอดอัดและความเจริญออกไปได้ พี่จีนคิดแบบนี้ครับ
.
เค้าคิดว่าด้วยรถไฟความเร็วสูงที่สามารถเคลื่อนย้ายผู้คนจากเมืองหนึ่งที่ห่างไกลไปหลายร้อยกิโลเมตรจากเมืองหลัก เช่น เชื่อมคนจากนอกเมืองปักกิ่งที่ห่างไกลให้สามารถเดินทางเข้าเมืองได้ด้วยรถไฟฟ้าความเร็วสูงภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงไม่เกินนี้
.
โดยไม่ใช่แค่เข้ามาที่ชานเมืองปักกิ่ง แต่เป็นการเข้าไปสู่ใจกลางเมืองปักกิ่งเลย ทำให้คนเก่งๆจากนอกเมืองไม่ต้องแอดอัดเข้ามาหาที่อยู่ในเมือง สามารถอยู่เมืองตัวเองแล้วนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ว่าเข้าเมืองได้ง่ายๆ
.
ทั้งหมดนี้ทำให้นิยามของเมืองเปลี่ยนไป เพราะเมืองของจีนจะไม่ใช่แค่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง แต่เป็นการเชื่อมต่อหลายจังหวัดเข้าด้วยกันผ่านรถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่สามารถเดินทางถึงกันเสมือนอยู่ในตัวเมืองเดียวกันนี่เอง
.
คิดง่ายๆลำพังขับรถกลับบ้านหลังเลิกงานในกรุงเทพใช้เวลากันกี่ชั่วโมงครับ บางวันเราขับเกือบสองชั่วโมง เรียกได้ว่าขับจากกรุงเทพไปพัทยายังเร็วกว่าเลย
.
เรื่องสุดท้ายที่อยากจะเล่าให้ฟังคือ เวลา 1 ปีของจีนนั้นไม่เหมือนกับ 1 ปีของประเทศอื่น
.
เรารู้กันดีว่าเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนจีนยังเป็นประเทศล้าหลังและด้อยพัฒนามาก บอกได้ว่าในปี 1990 ดัชนีรายได้ต่อหัวประชากรจีนนั้นต่ำกว่าไทยถึง 5 เท่า
.
ใช่ครับ 5 เท่า ในตอนปี 1990 รายได้เฉลี่ยประชากรต่อหัวอยู่ที่ประมาณห้าพันต้นๆเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และจีนอยู่แค่หนึ่งพันนิดๆดอลลาร์สหรัฐ แต่พอปี 2015 ที่ผ่านมา รายได้เฉลี่ยประชากรต่อหัวของจีนนั้นสูงกว่าไทยถึง 50% ขึ้นไปแล้ว โดยที่ไทยขยับจากเดิมเป็นแค่ห้าพันปลายๆ
.
ดังนั้นเศรษฐกิจของจีนที่โตวันโตคืนต่อเนื่องมากทุกปี ทำให้เพียงแค่ไม่ยี่สิบห้าปีผ่านมา เศรษฐกิจจีนโตโดยรวมไม่น้อยกว่า 8 เท่า
.
ดังนั้น 1 ปีของบ้านเราผ่านไปอย่างไม่ค่อยได้อะไร แต่ของจีนนั้นได้เป็นกอบเป็นกำ ลองคิดดูซิว่าถ้า GDP ของประเทศโตปีละ 3.5% เมื่อเทียบกับประเทศที่สองที่โตปีละ 7% ฟังดูต่อปีอาจไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่พอสิบปีผ่านไปเศรษฐกิจประเทศที่สองจะโตกว่าประเทศแรกถึงหนึ่งเท่าตัว
.
และนี่ก็คือกำลังภายในของจีนที่สะสมอยู่ทุกปีๆที่หลายประเทศเคยมองข้าม แต่วันนี้ต้องมองตามจีนทั้งนั้น
.
อยากให้คุณได้ลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดู อาจจะยังไม่ต้องซื้อก็ได้ แค่เดินไปหยิบมาอ่านดูซักบท แล้วรับรองว่าคุณจะติดใจจนได้กลับบ้านแน่ๆ
.
เพราะสุดท้ายแล้วคุณจะรู้ว่าจีนที่เคยเป็นชาติมหาอำนาจจนทำให้ทั่วตะวันตกต่างต้องร้องขอที่จะเข้ามาค้าขายกับจีนเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน จนเกิดสงครามฝิ่นที่ทำให้จีนต้องพังไม่เป็นท่า จนจีนต้องกลายเป็นมังกรหลับเพราะต้องนอนพักรักษาบาดแผลมากมาย ทั้งแผลจากภายนอก และแผลติดเชื้อเองจากภายใน
.
และแค่สามสิบปีที่ผ่านมา จีนก็กำลังกลายเป็นมังกรผงาดขึ้นอีกครั้ง และคาดได้ว่าโลกคงต้องกลับมาหมุนรอบจีนเหมือนเมื่อสมัยใบชาอีกครั้งหนึ่ง
.
อ่านแล้วเล่า China 5.0 สีจิ้นผิง เศรษฐกิจยุคใหม่ และแผนการใหญ่ AI
.
อาร์ม ตั้งนิรันดร เขียน
สำนักพิมพ์ Bookscape
.
เล่มที่ 118 ของปี 2018
อ่านเมื่อ 2018 10 26