สรุปหนังสือ powerism โตมร ศุขปรีชา

สรุปหนังสือ Powerism ของคุณโตมร ศุขปรีชา บทความว่าด้วยอำนาจที่ออกฤทธิ์ต่อวิถีชีวิตมนุษย์

ในความคิดผมคือนี่น่าจะเป็นหนังสือที่ทรงอำนาจมากที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาก็ว่าได้ ไม่ใช่ด้วยอำนาจในตัวหนังสือ บทความ หรือคนเขียนหรอกนะครับ แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวของอำนาจมากมายตั้งแต่ยุคโบราณ ยันปัจจุบัน จนปูทางความคิดถึงอำนาจที่น่าจะเป็นในอนาคตไปอีก

แต่พออ่านจบกลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าอยากมีอำนาจมากขึ้น (ปัจจุบันผมมีแค่อำนาจกับทีวีและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆผ่านรีโมตเท่านั้นเอง) หรือรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจใดๆเพิ่มขึ้นทางความคิด แต่กลับทำให้ผมรู้สึกรู้จัก และตีความของคำว่า “อำนาจ” ใหม่ไปหลายตลบ โดยเฉพาะอำนาจที่น่ากลัวที่สุดคือ การที่เราอยู่ใต้อำนาจโดยที่เราไม่รู้ตัวและหลงคิดว่าเรานั้นมีอิสระภาพอย่างเต็มที่

นี่แหละครับที่โคตรจะน่ากลัวสำหรับผม มันทำให้ผมได้มองย้อนกลับมาดูตัวเอง แล้วก็เสมือนถอดวิญญาณออกมามองดูตัวเองเสมือนมองจากสายตาของคนอื่นว่า ในตอนนี้เราตกอยู่ภายใต้อำนาจอะไรบ้างนะ

เนื้อหาในเล่มเป็นบทความที่อยู่บนเวปไซต์ the Matter ที่ใครๆก็สามารถเข้าเวปไซต์ไปอ่านได้ฟรีๆ แต่ผมก็ดันแพ้ต่ออำนาจของรูปเล่มหนังสือ รวมถึงการออกแบบหน้าปกและชื่อเล่มของมันเข้าอย่างจัง จนอำนาจนี้ทำให้ผมต้องควักเงิน 250บาท ไปโดยรู้สึกว่าผมมีอำนาจที่จะเป็นเจ้าของมัน แต่เปล่า..ความจริงแล้วน่าจะต้องบอกว่ามันมีอำนาจสั่งให้ผมต้องควักเงินซื้อไปมากกว่า

ในเล่มมี 24 บท มีตั้งแต่..

1. อำนาจของกฏหมายระดับประเทศที่ต้องลงมาตัดสินว่า “มะเขือเทศ” เป็นผักหรือผลไม้กันแน่

2. อำนาจของลวดหนามที่เราคุ้นตา แต่ความจริงแล้วมันคืออำนาจในการแบ่งแยกชนชั้นของมนุษย์ที่มนุษย์ด้วยกันบางพวกมองว่าต่ำต้อยกว่าออกไป

3. อำนาจในการยกเลิกโครงการรถไฟความเร็วสูงระดับชาติ จากถนนลูกรังที่ยังคาราคาซังอยู่ในชาติ

4. อำนาจในการตัดสินว่า “รสชาติ” แบบไหนถึงจะกลายเป็นรสชาติมาตรฐานของชาติไทย ที่จะถูกส่งออกไปทั่วโลก

5. อำนาจของข่าวลือที่แม้แต่ จอร์จ บุช ยังสะเทือนเพราะโดนลือว่าตายแล้ว

6. อำนาจของการไม่พูดจาทำร้าย เสียดสี หรือ เหยียดหยามกัน จนกลายเป็นอำนาจใหม่ที่จำกัดการแสดงออกอย่างอิสระของคน

7. อำนาจในการปกป้องวัฒนธรรมของตัวเอง ไม่ให้คนนอกขโมยไปบิดเบือนปรุงแต่งแบบผิดๆ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

8. อำนาจของความเท่าเทียมบนท้องถนนที่ลอนดอน เมื่อคนขี่จักรยานสามารถเคาะกระจกแล้วด่า Fuck Off ให้กับรถที่ขับรถห่วยๆบนท้องถนนที่ใช้ร่วมกันได้ ลองคิดดูสภาพบ้านเราซิ จักรยานคงได้แต่เจี๋ยมเจี้ยม เพราะถนนถูกคิดกันว่าเป็นของรถยนต์เท่านั้น

9. อำนาจในการกำหนดรุ่น ที่ต่อให้คุณอายุ 40 ปีไปแล้ว และมีชื่อเสียงในแวดวงการทำงานไปแล้ว แต่คุณก็จะถูกคนที่อยู่ในรุ่นที่แก่กว่าในวงการเดียวกันมองว่าคุณยังเป็นเด็กรุ่นใหม่ ที่เพิ่งประสบความสำเร็จเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง

10. อำนาจอะไรก็ไม่รู้ที่กำหนดว่า นักเขียนสามารถเอารายได้มาหักลดหย่อนภาษีได้ 40% แต่ไม่เกิน 60,000 บาท แต่นักแสดงนั้นใน 40% เดียวกัน แต่กลับสามารถเอามาลดหย่อนได้ถึง 600,000 บาท แม่เจ้า! ใครมันเป็นคนใช้อำนาจในการกำหนดเรื่องนี้วะเนี่ย!

11. อำนาจในการกำหนดวันคริสต์มาสจากคริสตจักรที่ต้องต่อสู้กับการตลาด ว่าจะให้พระเยซูหรือซานตาครอสใครสำคัญกันในวันนี้ และจากชื่อ Christmas ในแบบคริสแท้ๆหรือ Xmas แบบใครๆก็มีส่วนร่วมได้ และสุดท้ายอำนาจทางการตลาดก็ได้ส่วนแบ่งไป

12. อำนาจของพระเจ้าที่จะสร้างซาตานที่เป็นตัวแทนของความชั่วขึ้นมา เพราะไม่งั้นก็คงไม่รู้ว่าจะต้องไปสู้รบปรบมือกับใครซินะ ลองคิดดูซิว่าถ้าไม่มีความชั่วแล้วจะใครจะเห็นค่าของความดีล่ะ ช่างเป็นอำนาจที่สร้างอำนาจให้ตัวเองเหลือเกิน

13. อำนาจของผู้ยิ่งใหญ่อย่างพระนารายณ์ในรามเกียรติ์ ที่ยอมสละอำนาจที่มี และเพิ่มอำนาจให้กับ นนทก ที่จะมาเกิดใหม่เป็นทศกัณฐ์มีสิบหน้ายี่สิบมือในชาติหน้า เพื่อจะแสดงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ว่าแม้จะเกิดใหม่มาเป็นพระรามที่มีแค่สองมือก็ยังเอาชนะได้

14. อำนาจของความโง่ อันนี้น่ากลัวที่สุด เมื่อคนโง่กลับมีอำนาจจนไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังโง่ และหลงคิดไปเองว่าไอ้ที่โง่นั่นแหละคือสิ่งที่ดี ถ้านึกตัวอย่างไม่ออกก็นึกถึงนักการเมืองและผู้มีอำนาจที่ชอบออกนโยบายโง่ๆออกมาบ่อยๆก็ได้

15. อำนาจของการเมืองเบื้องสูง ไอ้ที่ว่าสูงเนี่ยคือสูงในระดับสตราโตสเฟียร์ หรือสูงกว่าพื้นดินขึ้นไป 12 กิโลเมตร เป็นอำนาจของเครื่องบินเฉพาะของอเมริกาที่ชื่อว่า Lockheed U-2 ในการสอดแนมหลายๆประเทศทั่วโลกในช่วงสงครามเย็นอย่างสบายใจ

16. อำนาจของประชาธิปไตยแบบตัวแทน ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกและบ้านเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ปัญหาคือมันทำให้ประชาชนอย่างเราๆมีอำนาจแบบประชาธิปไตยจริงๆแค่ 4 วินาที ก็ตอนที่กาบัตรเลือกตั้งไง แต่ตัวอย่างประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับอยู่ในรูปแบบรายการเกมส์โชว์ชื่อ The People’s Parliament ที่สุ่มเลือกคนทั่วไปประมาณ 100 คนมาแสดงความเห็นออกเสียงตัดสิน แทนที่จะเป็นตัวแทนหรือนักปราชญ์ผู้ทรงภูมิแบบเคยๆ นี่แหละคือรูปแบบของประชาธิปไตยที่น่าสนใจไปอีกก้าว

17. อำนาจของพรรคการเมืองฝั่งซ้าย(เสรีนิยม)ที่เคยเป็นที่นิยมพร้อมกันทั่วโลก แต่มาตอนนี้อำนาจนั้นกลับถูกโอนย้ายโดยประชาชนเทใจออกเสียงให้พรรคฝั่งขวา(อนุรักษ์นิยม)แทนแล้ว เพราะแต่เสรีนิยมเน้นการกระจายอำนาจจากเหล่าผู้กุมอำนาจไปให้กับคนส่วนใหญ่อย่างแรงงานที่ไม่เคยมีอำนาจอะไรกับเค้า ทำให้เกิดรัฐสวัสดิการมากมาย ทำให้ประชาชนอยู่สุขสบายในหลายประเทศ(ที่พัฒนาแล้ว)โดยไม่ต้องทำงานก็ยังได้

แต่ตอนนี้เกิดการเปลี่ยนขั้วไปเพราะว่าคนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเพิ่มขึ้นกลับมองว่า “คุณต้องทำคุณถึงจะได้” ซึ่งเป็นแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมนั้นกำลังเติบโตมากขึ้น ตัวอย่างง่ายๆก็พรรคแรงงานที่เคยกุมอำนาจในรัฐสภาอังกฤษมานานไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว และชัยชนะของทรัมพ์ยิ่งตอกย้ำเรื่องนี้ได้ชัดเจน

18. อำนาจของความจริงเหนือความคอนเซอร์เวทีฟแบบไทยๆ ที่มักใช้อำนาจกันไปเองตัดสินกันว่าใครเป็นร่าน หรือใครเป็นสลิ่ม ทั้งที่ความจริงเค้าอาจจะมีความคิดในตัวเองว่านี่คือความก้าวหน้าของตัวเองนะ ไม่ใช่คอนเซอร์เวทีฟหยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนที่โดนตัดสินกัน

19. อำนาจของลิเบอรัล ที่หมายความว่า “อิสระภาพ” หรือ “เสรี” ซึ่งมีคำสองคำที่มีความหมายเดียวกัน ก็คือ Liberty และ Freedom คำว่า Liberty นั้นมาจากฝรั่งเศษ ส่วน Freedom นั้นมาจากอังกฤษเยอรมัน แต่ความหมายของ Liberalism นั้นกลับต่างกันในสองฝั่งโลก ในอเมริกาหมายถึงอำนาจในเสรีภาพของประชาชนที่จะต้องได้จากรัฐ แต่ในฝั่งของยุโรปอย่างอัมสเตอร์ดัมนั้นกลับหมายความว่า อำนาจในเสรีภาพของประชาชนที่จะไม่ต้องอยู่ภายใต้รัฐ เสรีภาพเหมือนกันแต่กลับหมายถึงที่มาของอำนาจที่ต่างกันเสียจริง

20. อำนาจของรัฐในการกำหนดวัฒนธรรมกะลาครอบ ตัวอย่างง่ายๆก็ทรงผมนักเรียนทรงกะลาครอบ ที่ถูกกำหนดให้เป็นวัฒนธรรมอันดีของชาติ ไม่ใช่อำนาจในการเลือกของตัวบุคคลเอง รวมไปถึงอำนาจของรัฐที่กำหนดวัฒนธรรมอื่นๆที่รัฐเห็นว่าดี แต่ไม่ได้มาจากความเห็นหรือธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงของแต่ละกลุ่มคนไม่

21. อำนาจของเผด็จการในการที่ห้ามคนอื่นเรียกตัวเองว่าเผด็จการ ยกตัวอย่างของพวกนาซี หรือพวกปฏิวัติในอเมริกาใต้ หรือสเปนที่เคยเกิดขึ้น แต่คนพวกนี้กลับห้ามคนอื่นเรียกตัวเองว่าเป็นเผด็จการ ให้เรียกว่า ผู้กอบกู้บ้าง อะไรบ้าง ก็แล้วแต่จะสรรหาคำกันไป

22. อำนาจของรัฐชาติที่กำลังจะถดถอยลงไปเรื่อยๆ สังเกตุง่ายๆทุกวันนี้หลายประเทศในโลกไม่มีอำนาจไปบังคับหรือเก็บภาษีบริษัทที่ทำแอพให้บริการข้ามโลก เช่น Uber ทั้งๆที่ก็เรียกว่าเข้ามาทำเงินกอบโกยรายได้เข้ากระเป๋าตัวเองไปเต็มๆ เมื่ออำนาจรัฐนั้นถูกสร้างขึ้นในสมัยก่อนเมื่อราวๆสองร้อยกว่าปีก่อน มาวันนี้โลกเปลี่ยนไปมากจนแทบจะคิดได้เลยว่าถ้าวันนึงเราไม่จำเป็นต้องมีรัฐชาติใดๆให้สังกัด เราต่างคงต้องสังกัดเป็นกลุ่มตามความสมัครใจของแต่ละคนจนเหมือนย้อนกลับไปสู่ยุคกลางอีกครั้งก็เป็นได้

23. อำนาจของผู้มีอำนาจนั้นทำให้คนส่วนใหญ่กลับยอมจำนนใจที่จะต้องทำตาม ในการทดสอบคือให้คนๆนึงรับคำสั่งที่จะต้องช๊อตไฟทรมานอีกคนนึงที่เป็นหน้าม้า คนส่วนใหญ่กว่า 2 ใน 3 เลือกที่จะทำตามคำสั่งแม้จะถูกให้ทำรุนแรงมากขึ้น แม้ปากจะบ่นด่าว่าไม่อยากทำแต่มือก็กลับทำตามอำนาจของคนสั่งในการทดลอง น่ากลัวเหลือเกินเมื่อเราไม่รู้ตัวว่าเรากำลังตกอยู่ใต้อำนาจทั้งๆที่เรานั้นรู้ว่าผิดและไม่เต็มใจได้ทั้งนั้น

24. อำนาจที่ว่ากันว่าทำให้คนดีเปลี่ยนไปกลายเป็นคนเลว เพราะมีการทดลองกับกลุ่มคนที่ผ่านการทดสอบในหลายๆด้านแล้วว่าคนเหล่านี้เป็นคนดีในทางสังคม ให้ลองรับบทเป็นผู้คมกับนักโทษ ผลก็คือผ่านไปไม่ถึง 24 ชั่วโมงเหล่าคนดีก็กลายเป็นผู้บ้าอำนาจในทางที่เลว ทั้งข่มขู่และทำร้ายจิตใจฝั่งผู้ที่เป็นนักโทษอย่างไม่น่าเชื่อ

หรือคนที่ว่าดีนั้นอาจจะไม่ได้ดีจริงอย่างที่เป็น แต่เป็นเพราะถูกสังคมบังคับให้ต้องดี เหมือนรางวัลของเด็กดื้อที่พยายามทำตัวดีเพื่อให้ตัวเองได้รางวัล ถึงได้มีคำกล่าวว่า “ถ้าอยากรู้ว่าใครคนนึงแท้จริงแล้วเป็นยังไง ก็ลองให้อำนาจเค้าดู” ผมค่อนข้างเชื่อเต็มๆว่าจริงแล้วล่ะ

สุดท้ายหนังสือเล่มนี้ก็มีอำนาจในการชี้นำความคิดผมได้พอสมควรเหมือนกัน

พอได้ลองกลับมาสำรวจตัวเองดู แต่สิ่งนึงที่ผมคิดได้และเรียนรู้จากการอ่านหนังสือหลายๆเล่มมาสรุปได้ก็คือ อำนาจที่แท้จริงคือการยอมสละไม่มีอำนาจใดๆ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณคิดว่าคุณมีอำนาจเหนือสิ่งใด ความจริงแล้วคุณกำลังถูกสิ่งนั้นมีอำนาจเหนือคุณ ให้คุณหลงไหลและหวงแหนมันจนไม่อยากจะสูญเสียมันไป

อ่านแล้วเล่า สรุปหนังสือ Powerism
บทความว่าด้วยอำนาจที่ออกฤทธิ์ต่อวิถีชีวิตมนุษย์
โตมร ศุขปรีชา เขียน
สำนักพิมพ์ Salmon Books

อ่านเมื่อปี 2017

อ่านสรุปหนังสือของคุณโตมร ศุขปรีชา ต่อ https://www.summaread.net/?s=%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%A3+%E0%B8%A8%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B2

สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://store.minimore.com/salmonbooks/items/powerism

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/