เมื่อพูดถึง Zen ในความคิดแว้ปแรกของคนส่วนใหญ่อาจจะนึกถึงประเทศญี่ปุ่น คิดถึงความน้อยๆ คิดถึงอะไรที่มูจิๆ คิดถึงต้นบอนไซ หรือบางคนอาจจะคิดถึงว่า Zen คือนิกายหนึ่งของศาสนาพุทธ หรือวัดเรียวอังจิที่มีลานหินปริศนาธรรมในกรุงเกียวโต.. คนส่วนใหญ่คิดอย่างนี้มั้ยไม่รู้แต่อย่างน้อยก็ผมคนนึงที่คิดถึงภาพอะไรประมาณนี้

แต่พออ่านเล่มนี้จบทำให้เข้าใจภาพของเซนที่ชัดเจนขึ้น ความจริงแล้วเซนไม่ได้เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาพุทธ เซนแทบจะไม่นับว่าเป็นศาสนาด้วยซ้ำไป ไม่ใช่แม้แต่ปรัชญา แต่เซนคือวิถี เป็นวิถีที่มีความย้อนแย้งภายในตัว..

แล้ววิถีของเซนเป็นยังไงล่ะ..

ท่าน Osho บอกว่า วิถีของเซนเป็นเรื่องของความฉับพลันทันใด เปรียบเสมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เราเห็นสิ่งนั้นๆอย่างที่มันเป็น ไม่เจือแต่ด้วยความคิด หรืออารมณ์ใดๆ มองให้ทะลุเปลือกเข้าไปจนถึงแก่นแท้นของสิ่งที่เห็น

ขอหยิบเนื้อหาสั้นๆตอนท้ายของเล่มที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน ว่าอะไรกันที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของเซนอย่างสั้นๆ

..การปล่อยวาง
ชีวิตสะท้อนตัวมันเองอย่างเรียบง่ายและชัดเจนเมื่อท่านไม่ไปไขว่คว้ามัน เมื่อท่านไม่ยึดติดกับมัน เมื่อท่านไม่กักตุน ไม่สะสม เมื่อท่านไม่โลภหรือตระหนี่ถี่เหนียว เมื่อท่านคลายมันออก และพร้อมที่จะปล่อยมันไป เมื่อมือของท่านไม่ได้กำไว้แน่น เมื่อฝ่ามือของท่านเปิดออก ชีวิตจะสะท้อนตัวมันเองอย่างเรียบง่ายเมื่อท่านไม่ได้ไขว่คว้ามัน ไม่ได้เกาะกุมมันไว้ ไม่ว่าจะเป็นในความรู้สึกหรือความนึกคิดใดๆ

สัมผัสมันแล้วก็จากไป นั่นแหละความลับทั้งหมด นั่นคือศิลปะทั้งหมด ทุกสิ่งที่ถูกเก็บไว้จะจืดชืดเหม็นอับ ข้าพเจ้าขอย้ำว่าทุกสิ่ง ถ้าท่านกักตุนมันไว้เมื่อไหร่ เท่ากับว่าท่านกำลังทำลายมันอยู่ กักตุนมันไว้เท่ากับทำให้มันเน่าเหม็น ด้วยเหตุผลที่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่สำคัญ มีชีวิต และเคลื่อนไหว มันจะมาแล้วก็ผ่านไป

แต่ท่านจะกักตุนมันไว้ ท่านต้องการทำให้มันอยู่ที่นี่ตลอดกาล ท่านรักชายหรือหญิงคนนั้น ท่านต้องการจะครอบครองไว้ ท่านต้องการทำให้มันเป็นสิ่งที่ถาวร มันอาจมีความเป็นนิรันดร แต่มิอาจคงทนถาวรได้ โปรดทำความเข้าใจในประเด็นนี้ให้ดี พยายามเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่มาเพียงชั่วครูชั่วยามเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าท่านอยู่ในชั่วขณะนั้นด้วยการปล่อยวางอย่างที่สุด มันจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นนิรันดร ชั่วขณะที่ชีวิตท่านเปิดอย่างเต็มที่ ช่วงเวลาที่จิตใจของท่านผ่อนคลาย ความเป็นนิรันดลจะบังเกิดขึ้น แต่ถ้าท่านไม่ได้อยู่ในชั่วขณะนั้น ท่านจะไม่รู้ว่าความเป็นนิรันดรนั้นคืออะไร ดังนั้นท่านจึงต้องการทำให้มันคงทนถาวร ท่านต้องการให้มันคงอยู่ได้จนถึงวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ จนถึงปีต่อไป หรือบางทีอาจจะตลอดทั้งชาติก็ได้ นั่นแหละความหมายของคำว่ากักตุน

คำสามคำต่อไปนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก คือคำว่า ชั่วขณะ ถาวร และ นิรันดร ในพจนานุกรมทั่วไป ความหมายของคำว่านิรันดรนั้นดูเหมือนจะแปลว่า ตลอดไป ซึ่งก็ไม่ถูก นั่นไม่ใช่ความหมายของคำว่า นิรันดร นั่นเป็นความหมายของคำว่า ถาวร ต่างหาก ท่านต้องอย่าสับสนระหว่างคำว่า “ถาวร” กับ “นิรันดร”

ความเป็นนิรันดรนั้นไม่ใช่ช่วงเวลา ความเป็นนิรันดรเป็นความลึกของชั่วขณะ ความเป็นนิรันดรเป็นส่วนหนึ่งของชั่วขณะ มันไม่ได้ตรงกันข้ามกับคำว่าชั่วขณะ ความถาวรต่างหากที่ตรงกันข้ามกับชั่วขณะ

เมื่อท่านลงลึกเข้าไปในชั่วขณะ ท่านกำลังตกลงไปในห้องขณะ ถูกกลืนกินเข้าไปทั้งหมดทั้งสิ้น ท่านได้ลิ้มรสของความเป็นนิรันดร ทุกๆชั่วขณะที่เราอยู่อย่างเป็นทั้งหมด และอยู่อย่างผ่อนคลาย นั่นคือการอยู่อย่างเป็นนิรันดร

ความเป็นนิรันดรนั้นเป็นปัจจุบันขณะเสมอ “เดี๋ยวนี้” เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นนิรันดร ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการเวลา

ปล่อยวางรางกับใบไม้ที่ล่องลอยไปกับสายน้ำ.. 

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/