เป็นหนังสือ OSHO เล่มสุดท้ายที่มีในบ้าน จำไม่ได้ว่าซื้อมานานแค่ไหน แต่รู้ว่าช่วงนี้ต้องการอ่านอะไรแบบนี้ซะเหลือเกิน เป็นหนังสือที่รวบรวมถ้อยคำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ของท่าน OSHO ที่บันทึกจากการสนทนาในครั้งนั้น

ถ้าถามว่าใจความหลักคืออะไรผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการ “รู้จักตนเอง” “ยอมรับตัวเอง” และ “อยู่กับปัจุบันขณะ” ให้มากที่สุด

ทำไมการ “รู้จักตนเอง” ถึงสำคัญ…

ทุกวันนี้คนเรามีเรื่องภายนอกให้สนใจมากมาย เราอยากรู้จักโลกกว้าง อยากรู้จักความรู้ใหม่ๆ อยากรู้จักผู้คนมากมาย อยากที่จะออกไปผจญภัย ความสุขของเรามักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะบ้าน รถ เงินทอง ชื่อเสียง สิ่งของ เสื้อผ้า สิทธิพิเศษต่างๆ แต่เรากลับ “รู้จักตนเอง” น้อยลงไปทุกที

เราแทบไม่เคยเอาเวลามาสำรวจข้างในตัวเรากันเลยซักครั้ง พอจะเริ่มทำก็เริ่มกลัว จนต้องออกไปหาความสุขจากภายนอกจนเคยตัว ทั้งๆที่ความจริงแล้วการรู้จักตัวเองนั้นอาจสำคัญกว่าการรู้จักอะไรทั้งหมดที่เราคิดเลยก็ได้

แค่ลองหยุด พิจารณา แล้วทำความรู้จักตัวเองทีละนิด วันละหน่อย แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้น แล้วเราจะรู้ว่าเราไม่ต้องออกไปไหน ไม่ต้องแสวงหาอะไร ทั้งหมดที่เราต้องการอยู่กับเรามานานแล้ว

มันเหมือนกับอากาศ ที่เราออกตามหาว่าหน้าตาเป็นแบบไหน มันเหมือนกับขา ที่เราลืมมันไปแล้วว่าการเดินที่เคยเป็นเรื่องยาก กลายเป็นเรื่องที่สุดแสนธรรมดาจนไม่เคยใส่ใจมัน

การ “ยอมรับตัวเอง” ประเด็ดนี้มีความคล้ายกับ “การรู้จักตนเอง” แต่ต่างกันตรงภายในจิตใจของเรา

การ “ยอมรับตัวเอง” เป็นเรื่องของภายใน เรามักจะติดอยู่กับฝัน ติดอยู่กับความคิด ตอนเราเด็กเรามักถูกพร่ำสอนว่า ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องเรียนให้ได้เก่งกว่าคนอื่น ต้องเป็นอย่างคนนั้น เอาอย่างฮีโร่คนนี้

พอเราเริ่มโตขึ้นมาหน่อย เราเริ่มอยากหน้าตาดีเหมือนเพื่อน เริ่มอยากเรียนหนังสือเก่งเหมือนเพื่อน เริ่มอยากเล่นกีฬาเก่งเหมือนเพื่อน

พอเราเข้าสู่วัยทำงาน เราเริ่มอยากมีตำแหน่งใหญ่โตแบบหัวหน้า เราเริ่มอยากร่ำรวยเหมือนเจ้าของกิจการบางคน เราเริ่มอยากเป็นคนสำคัญในแวดวงสังคม เราอยากเป็นทุกอย่าง…ที่ไม่ใช่ตัวเราเอง

สังคมสอนให้เราเปรียบเทียบ โดยเฉพาะเปรียบเทียบเรากับคนอื่น บ้างก็สอนให้เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่สูงกว่า เพื่อให้เราทะเยอทะยาน บ้างก็สอนให้เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนที่ต่ำกว่า เพื่อให้เรามีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไป

แต่ที่ผ่านมาสังคมไม่เคยสอนให้เรา “ยอมรับตัวเอง” ในสิ่งที่เรามีและในสิ่งที่เราเป็นซักเท่าไหร่ ทั้งที่ความจริงทุกสิ่งย่อมแตกต่างกัน ไม่มีอะไรเหมือนกัน 100% ถ้าเรายอมรับตัวเองได้ ยอมรับในข้อบกพร่อง ความผิดพลาด ความไม่สมบูรณ์ในแบบมนุษย์คนนึงพึงจะเป็น เพียงเท่านั้นเราก็จะมีความสุขกับการดำรงอยู่ของเรามากขึ้นอีกเยอะ

ยอมรับในความแตกต่างที่หลากหลายของผู้คนบนโลก สังคมก็จะอยู่อย่างมีความสุข ไม่มีขาว ไม่มีดำ ไม่มีชาติพันธุ์ชนชั้นใดๆ ไม่มีการเปรียบเทียบอีกต่อไป แค่ทุกคนต่างยอมรับในตัวเองก่อน การจะเปลี่ยนสังคมไม่ได้เริ่มที่ภาพใหญ่ แต่เริ่มที่ภาพเล็ก จุดที่เล็กที่สุด ก็คือที่แต่ละคนเท่านั้นเอง

และ “การอยู่กับปัจจุบันขณะ” เรื่องนี้สำคัญเพราะเราแทบไม่เคยอยู่กับปัจจุบันขณะเลยตั้งแต่โตมา

เรามักจะเอาแต่เฝ้าฝันถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และเฝ้าคิดถึงแต่อดีตที่ผ่านพ้นไป จนทุกช่วงเวลาในปัจจุบันที่กำลังดำเนินไปเราไม่เคยใส่ใจกับมันอย่างจริงจัง เรามักจะทำวันนี้ก็เพื่อวันพรุ่งนี้ เราทนทุกข์เหนื่อยยากในวันนี้ก็ด้วยคำหวานความฝันของเราว่า พรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้นะ ดังนั้นอดทนเอาไว้

หรือบางครั้งเรามักจะหลบเข้าไปอยู่ในห้วงอดีตหอมหวานที่เคยมี จนทำให้เราเกลียดชังกับช่วงเวลาในปัจจุบันเป็นประจำ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว เรามีเพียงแค่ช่วงปัจจุบันขณะที่กำลังเกิดขึ้นเท่านั้น 

อดีตล้วนไม่มีจริง อนาคตล้วนไม่มีจริง ทุกการดำรงอยู่ของเราอยู่แค่ในเสี้ยววินาทีนี้ที่กำลังเกิดขึ้นเท่านั้น อนาคตจะดีก็มาจากปัจจุบันที่ดี ดังนั้นทำปัจจุบันให้ดีแล้วเลิกกังวลถึงอนาคต เพราะถ้าเรามัวแต่เอาเวลาในปัจจุบันไปคิดถึงอนาคต ก็เท่ากับว่าเราก็เสียโอกาสในปัจจุบันที่ควรจะทำให้ดีไปอย่างน่าเสียดาย

ทั้งหมดนี้คือสิ่งสำคัญที่ผมพบในหนังสือเล่มนี้ เป็นอีกครั้งที่ OSHO ทำให้ทุกอย่างง่ายและไม่ซับซ้อนในการที่จะสอนใดๆ

แต่ง่ายก็มาพร้อมกับความยาก มันช่างเป็นอะไรที่ยากจะตัดใจให้ทำตามได้ทั้งหมด เพราะนั่นหมายถึงการต้องทิ้งทุกอย่างที่ไร้สาระที่เรายึดถือมาตลอด

สิ่งที่ง่ายของเรา คือการเพิ่มความยุ่งยากและซับซ้อนลงไปในชีวิต ให้เหมือนไม่มีจุดจบ ให้เหมือนหาจุดเริ่มต้นไม่เจอ นี่คือสิ่งที่เรามักทำเป็นประจำ เพิ่มปัญหาลงไป แล้วปัญหาที่มีอยู่ก็จะหายไป เพราะเราต้องสนใจกับปัญหาใหม่แทน แต่กับสิ่งที่ยากในชีวิตเรากลับเป็นการทำให้เรียบง่าย การลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากชีวิต การละวางมันลง เพราะเรื่องที่ควรจะง่ายกลับกลายเป็นยากเหลือเกิน

เพราะแม้แต่ขยะก็ยังมีค่าถ้าเราเป็นเจ้าของมันนานพอ ก็เหมือนกับเรื่องไร้สาระทั้งหลายในชีวิตที่เราต่างก็หวงแหนมันไว้นักหนา ทั้งที่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งต่างๆในชีวิตล้วนเป็นเรื่องไร้สาระเท่านั้นเอง

อ่านเมื่อปี 2017

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/