Nudge สะกดความคิด สะกิดพฤติกรรม

วิธีกำหนดทางเลือกอย่างแยบยลให้คนเดินไปในทางที่คุณต้องการ เขียนโดย Richard H. Thaler และ Cass R. Sunstein พูดถึงเรื่องการชี้นำทางเลือกให้ผู้คนแต่ยังให้ผู้คนมีอิสระเสรีที่จะเลือก เป็นแนวทางการปกครองแบบใหม่ที่เรียกว่า พ่อปกครองลูกแบบเสรีนิยม ฟังครั้งแรกมีงงว่ายังไงแต่พออ่านแล้วจึงเข้าใจว่าอ๋อ…ขอยกเคสตัวอย่างในหนังสือหนึ่งเคสเลยแล้วกัน ในโรงอาหารในโรงเรียนแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เกิดปัญหาว่าเด็กนักเรียนมีพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดความอ้วนเกินมาตรฐานในวัยเด็ก ทางผู้จัดการโรงอาหารเลยคิดหาทางแก้ไขว่าจะทำอย่างไรดี ระหว่างที่จัดการประชุมร่วมกับทุกฝ่าย ก็มีอาจารย์ท่านนึงเสนอว่าให้ตัดอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพทิ้งไปเลย ให้เหลือแต่ของที่ดีต่อสุขภาพ(ในความคิดของผู้ใหญ่) แต่อาจารย์ฝ่ายเสรีนิยมก็เสนอว่าทำแบบนั้นมันไม่ถูกต้องมันเผด็จการเกินไป อาจารย์ผู้เป็นผู้ดูแลโรงอาหารแห่งนี้เลยปิ๊งไอเดียบางอย่างว่า ให้เราลองทำการทดลองดูว่า ถ้าเราสลับถาดอาหารโดยให้อาหารที่ดีต่อสุขภาพอยู่ลำดับต้นทั้งหมด และให้อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอยู่ในลำดับท้ายทั้งหมด เปรียบเทียบกับอีกโรงเรียนที่จัดวางอาหารแบบไม่มีลำดับหรือสุ่ม แล้วผลออกมาจะเป็นอย่างไร คุณคิดว่าผลสองโรงเรียนนี้จะต่างกันหรือไม่ กับการแค่ลำดับถาดอาหาร..ใช่ครับ ผลที่ได้ออกมาต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ…

A Short History of Nearly Everything

ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่งจากจักรวาลถึงเซลล์ โดย Bill Bryson จะบอกว่าหนังสือหนาย่อมๆขนาด 600 หน้าเล่มนี้ รวมประวัติตั้งแต่วินาทีแรกของจักรวาลยันถึงมิลลิวินาปัจจุบันในการทำงานภายในเซลล์เล็กๆกว้าหมื่นล้านล้านเซลล์ของเรา ฟังชื่อดูเหมือนเครียด ดูความหนากว่า 600 หน้าดูเหมือนน่าเบื่อ แต่ความจริงแล้วถ้าคุณได้ลองเปิดอ่านดูจะรู้ว่าทุกหน้าดูเป็นเรื่องสนุกและทุกเรื่องก็คือเรื่องไกล้ตัวเราทั้งหมด รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเราอย่างยิ่ง เช่น ตั้งแต่กำเนิดมนุษย์เดินดินสองขาคนแรกย้อนกลับไปเมื่อ 3.8 ล้านปีก่อน จนถึงมนุษย์เราๆทุกวันนี้ที่น่าจะมีกำเนิดมาจากคนเพียง 200-300 คนเมื่อ 200,000ปีก่อนที่อพยพย้ายออกจากแอฟริกามาเป็นบรรพบุรุษของเราทุกวันในวันนี้ ถ้างั้นจะบอกว่าเราทุกคนบนโลกต่างเป็นพี่น้องกันก็ไม่ผิดนัก เพราะลำพังในส่วนทวีปยุโรปและรัสเซียนั้นทุกคนกำเนิดมาจากผู้หญิงเพียง 7 คนด้วยซ้ำไป (ทุกวันนี้ไปไม่รู้กี่ร้อยหรือพันล้านแล้วล่ะ) และพอมองย้อนกลับไปอีกก็จะพบว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกในตอนนี้นั้นล้วนมีต้นกำเนิดร่วมกันมาเพราะ DNA หรือชุดคำสั่งโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตต่างๆนั้นกว่า…

I Cancel my Cancer

เขียนจากประสบการณ์ตรงจากผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Hodgkin’s Lymphoma) เพียง 1% ในโลกที่มะเร็งลามเข้าสู่หัวใจ จนแทบเอาชีวิตไม่รอด.. ..ต้องบอกก่อนเลยว่าผู้เขียนหรือคุณเบลล์นั้นแทบจะเรียกว่าซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยสามชั้นที่แม้แต่ฝาอิชิตันก็ให้ขนาดนี้ไม่ได้ เริ่มจากพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จากนั้นก็พบว่าตัวเองเป็นวัณโรค แล้วก็พบว่าตัวเองมีก้อนมะเร็งในหัวใจ โอ้โห..อะไรจะขนาดนั้นครับ ..จากสาว 26 กำลังจะจบโทจากนอก เตรียมจะใช้ชีวิตแบบคนยุคใหม่เต็มที่แต่ทุกสิ่งที่เคยคิดและแพลนเอาไว้ต้องมาสะดุดลงหมด เพราะจากอาการวูบสลบที่คิดว่าแค่ไม่สบายที่อังกฤษ ก็เลยคิดว่าจะบินกลับมาไทยเพื่อมาตรวจร่างกายเล็กน้อยและฉีดยานิดหน่อยแล้วก็บินกลับไปสอบ ป.โท กับทำวิทยานิพนธ์อีกนิดหน่อยให้จบ กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่ไม่มีวันย้อนกลับอีกต่อไป.. ..เพราะเธอได้พบเจอมะเร็งที่อยู่ในปอด และลามไปส่วนอื่นๆของร่างกาย จนครอบครัวถึงกับช็อคเพราะไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้ยังไง แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปต้องกลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต็มตัวที่หมอว่าเหลือเวลาไม่ถึง 6 เดือน ..เริ่มจากการตรวจร่างกายอย่างละเอียดทุกส่วน เพื่อค้นหาให้เจอว่าต้นเหตุของปัญหาอยู่ตรงไหน…

The 4-Hour Workweek ทำน้อยแต่รวยมาก

The 4-Hour Workweek โดย Timothy Ferriss เล่าถึงวิธีแห่งเศรษฐีแนวใหม่.. ..เมื่อพูดถึงคำว่า “เศรษฐี” แว๊ปแรกในหัวผมคือคนที่มีมากล้นด้วยเงินทองทรัพย์สมบัติ คนที่ร่ำรวยด้วยเวลาที่จะทำอะไรก็ตามที่แลดูน่าอิจฉาในความคิดรากหญ้า(อย่างผม) อารมณ์ประหนึ่ง Bruce Wayne หรือมหาเศรษฐีผู้ว่างและร่ำรวยมากจนต้องไปเป็น Batman เพื่อให้ตัวเองลำบากเล่น นี่คือแว๊ปแรกที่ผ่านเข้ามาในหัว ..จากนั้นแว๊ปที่สองหลังจากได้ใช้สมองอันน้อยนิดของผม(อีกละ)ไตร่ตรองดูว่าบรรดา “เศรษฐี” ทั้งหลายที่ผมรู้จัก(ผ่านหนังสือพิมพ์หรือหน้าเวปนะ ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวขนาดมีไลน์มีเฟซอะไรแบบนั้น) คนอย่างท่านเจ้าสัวหมื่นล้านแสนล้านทั้งหลาย ดูเป็นคนที่ทำงานหนัก ตรากตรำ ไม่หยุดคิด พูดอะไรแต่ละทีก็ดูฉลาดไปหมด(จนผมไม่รู้ว่าวันๆนึงท่านๆเหล่านี้เคยพูดอะไรโง่ๆบ้างหรือเปล่านะ) ดูเป็นคนที่ใช้เวลาแทบจะทั้งชีวิตแลกกับความสำเร็จจนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนำหน้านามว่า “เศรษฐี” ยังไงยังงั้น…

Neoliberalism เสรีนิยมใหม่

เริ่มด้วยคำถามที่ว่า Neoliberalism หรือ เสรีนิยมใหม่ คืออะไร ? ..เสรีนิยมใหม่ คือหลักการอุดมคติที่เชื่อว่า “ตลาดกำกับดูแลตัวเอง” เป็นเครื่องจักรที่ให้ปัจเจกชนแสวงหาความมั่นคั่งอย่างมีเหตุผล หรือจะเรียกได้ว่าต้นกำเนิดของมันน่าจะมาจาก “นักเสรีนิยมคลาสสิก” อย่าง Adam Smith และ David Ricardo ที่ต่อต้านลัทธิพาณิชยนิยม (Mercantisim) ของเหล่ากษัตริย์ในยุโรบในช่วงยุคมืดและช่วงยุคล่าอาณานิคมก็ว่าได้.. ..จากการควบคุมหรือรวมศูนย์กลางความมั่นคั่งไว้ที่เหล่ากษัตริย์หรือขุนนางไม่กี่คนทำให้เกิดแนวคิดขั้วตรงข้ามอย่าง “เสรีนิยมคลาสสิก” นี้ขึ้นมา จนพัฒนากลายมาเป็น “เสรีนิยมใหม่” ก็ว่าได้ แล้วอย่างนั้นเสรีนิยมใหม่เริ่มต้นที่ตรงไหน.. ..ตามหนังสือบอกว่าเริ่มต้นที่ยุคสมัยของ โรนัลด์…

Quirkology เปลี่ยนมุมคิดด้วยจิตวิทยาภาคพิศดาร

โดย Richard Wiseman หนังสืออีกเล่มสำหรับคนที่ชอบเรื่องจิตวิทยาหรือเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมโดยเฉพาะ และก็เหมาะสำหรับคนทำการตลาดทั้งหลายด้วยนะ.. ..แต่ถ้าคนที่อ่านหนังสือแนวนี้มาเยอะแล้วอาจจะพบว่าหลายบทในเล่มนี้เหมือนกับหลายๆเล่มที่เคยอ่านผ่านมาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Malcolm Gladwell หรือ Dan Ariely และนักเขียนด้านนี้คนอื่นๆอีกหลายคนที่ผมจำชื่อไม่ได้ แล้วหนังสือเล่มนี้สนุกตรงไหนล่ะ.. ..มันสนุกตรงที่ผู้เขียนไปศึกษาติดตามพฤติกรรมแปลกๆของคนเราออกมาเป็นผลลัพธ์ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นคนเราจะเดินช้าลงโดยไม่รู้ตัวเมื่อถูกป้อนความคิดเรื่องความแก่ชราลงไปก่อนหน้านั้น อาจจะด้วยการอ่าน พูด หรือทำแบบสอบภาม จะเห็นว่าคนเรานั้นสามารถูกชี้นำความคิดได้ง่ายๆ.. ..แต่หัวข้อที่ผมรู้สึกชอบมากที่สุดในเล่มนี้เป็นเรื่องของ “มุขตลก” ผู้เขียนพยายามค้นหาว่ามีมั้ยนะมุขตลกที่เป็นสากลของโลกนี้ ที่สามารถทำให้คนทุกคนบนโลกขำได้หมด ปรากฏว่าไม่มีครับ เพราะแม้แต่มุขที่ตลกที่สุดจากการโหวตจากคนหลายแสนคนทั่วโลก จากหัวข้อมุขตลกกว่าหมื่นมุขที่มีคนส่งเข้ามา พบว่าได้คะแนนเพียง 55% เท่านั้น…

สุขเลือกได้ Choose the Life You Want: 101 Ways to Create Your Own Road to Happiness.

101 วิธีในการเลือกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จากผู้สอนหลักสูตรที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หนังสือเล่มนี้รวบรวมวิธีคิด หรือตัวอย่างจากชีวิตจริงที่เชื่อว่าหลายคนต้องเคยประสบ กับเหตุการณ์ หรือทางเลือกแบบนี้มาก่อน เช่น เมื่อเจอปัญหาที่เหมือนไม่มีทางออกแล้วจะทำยังไงดี เมื่อเจอกับสิ่งที่ไม่มีทางเลือกแล้วจะทำยังไงต่อ หรือควรจะเลือกทางไหนที่ดีที่สุด สำหรับชีวิต..แน่นอนแทบทุกครั้งเราแทบไม่มีทางรู้เลยว่า การเลือกหรือตัดสินใจของเรา จะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร สิ่งที่เราส่วนใหญ่ทำได้ก็คือ “คาดหวัง” ให้ผลออกมาดี แต่ทุกครั้งที่ผลออกมาไม่ดีอย่างที่คาดหวังไว้เราก็มักจะจมอยู่กับความเสียใจ วนเวียนไปเป็นเวลานาน จนมักจมอยู่กับความคิดที่ว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น..” หรือ “ถ้ารู้อย่างนี้..” จนเราลืมคิดไปว่า ณ เวลานั้นเราก็ยังมีทางที่จะเลือกได้อยู่ดี เหมือนกับประโยคน้ำครึ่งแก้วที่หลายคนคุ้นเคย.. ..”คุณเห็นน้ำในแก้วหายไปครึ่งหนึ่ง หรือเห็นน้ำในแก้วเหลืออีกตั้งครึ่งแก้ว” คำถามนี้ไม่มีถูกผิด…

The (Honest) Truth About Dishonesty อ่านทะลุความคิด ด้วยจิตวิทยาแห่งการโกง

โดย Dan Ariely จะนิยามผู้เขียนว่าเป็นนักศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ผู้โด่งดังก็ว่าได้ เพราะหนังสือหลายเล่มที่เค้าเขียนมาเชื่อว่าเราหลายคนคงคุ้นกันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรมพยากรณ์ หรือ เหตุผลที่ไม่ควรมีเหตุผล.. ..พฤติกรรมคนเราสามารถศึกษาได้ไม่ยากแต่คาดเดาได้ไม่ง่าย มนุษย์ที่ว่ากันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทีอุดมไปด้วยเหตุและผลนั้น แท้จริงแล้วกลับใช้อารมณ์ในการดำเนินชีวิตเป็นส่วนใหญ่จนน่าตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะรอดจากวิกฤตต่างๆในสมัยโบราณจนกลายมาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ปกครองโลกใบนี้ได้.. ..เล่มนี้ผู้เขียนศึกษาถึงเรื่องพฤติกรรมการโกงของมนุษย์เราซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์เราส่วนใหญ่(แทบจะทุกคนบนโลกนี้)กลับเป็นผู้ที่มีความขี้โกงในตัวเล็กๆน้อยๆ แต่จะมีก็เพียงแต่ส่วนน้อยมากเท่านั้นที่ไม่โกงเลยหรือโกงแบบสุดลิ่มทิ่มประตู แล้วทำไมมนุษย์เราผู้มีอารยถึงกลายเป็นผู้ขี้โกงทุกคนไปโดยไม่รู้ตัวได้ล่ะ.. ..ใช่แล้วครับเหตุผลคือทุกครั้งที่คนเราโกงแบบเล็กๆน้อยๆ (มีผลศึกษามาแล้วว่าประมาณ 15-20% ของค่าเฉลี่ยจากการไม่โกง) ก็เพราะคนเราเชื่อว่านั่นไม่ใช่การโกงหรือการทำผิดอะไรมากมาย พอด้วยเราไม่คิดว่ามันผิดเราก็เลยทำไปโดยไม่รู้ตัวเสมอมา.. ..ไม่ว่าจะเป็นการเอาดินสอหรือปากกาในที่ทำงานกลับมาใช้ที่บ้าน (อย่าบอกว่าคุณไม่เคยเพราะผมเคย) การแอบปริ้นท์หรือซีร็อกซ์เอกสารส่วนตัวในที่ทำงาน หรือบางคนปริ้นท์รายงานให้ลูกจากที่ออฟฟิศ หรือแม้แต่แอบเบิกเงินค่าเดินทางหรือค่าจิปาถะเกินมาเล็กๆน้อยๆโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตาม คนส่วนใหญ่(ไม่อยากจะบอกว่าทุกคน)คงจะเคยทำงานมาแล้วทั้งนั้น.. ..แล้วจะทำอย่างไรให้คนไม่โกงเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ล่ะ?.. ..เช่นกัน…

Joy On Japan อยู่แดนปลาดิบ อย่างมีความสุข

อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังสือคู่มือการใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่นก็ว่าได้ เพราะอย่างที่ผู้เขียนว่า เรามักจินตนาการไปว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่าอยู่อาศัย เมื่อเราดูจากการ์ตูน หรือภาพยนต์ AV ต่างๆ..เอ๊ะ ไม่เกี่ยวกับหนัง AV ซิ อันนั้นชาติไหนก็น่าดู เอ๊ย!! น่าอยู่.. ..ผู้เขียน ณัฐพงศ์ ไชยาวานิชย์ผล เป็นคนที่ได้ไปร่ำเรียนและทำงานใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นเวลานานมากพอที่จะถ่ายทอดความจริงการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นที่ไม่น้อยคนจะรู้ เช่น เรื่องการทิ้งขยะ ที่พออ่านแล้วต้องถือว่าน่าปวดหัวแต่ก็ชวนให้เข้าใจได้ว่าเพื่อสังคมของเค้า ไม่ได้ทิ้งอะไรที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้แบบบ้านเรา เพราะที่นั่นต้องทิ้งขยะแยกประเภทให้เรียบร้อย แล้วก็ต้องทิ้งแต่ละประเภทให้ตรงวัน แถมยังต้องทิ้งให้ตรงจุดที่กำหนดเท่านั้น และคุณจะไปทำเนียนทิ้งตามหน้าร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอีเลฟเฟ่นก็จะถูกสังคมประนาม เพื่อนบ้านไม่คบเอาได้ง่ายๆ.. เรื่องที่สอง…ภาษาญี่ปุ่น ถ้าไม่อ่านเล่มนี้ผมก็จะไม่รู้เลยว่าตัวอักษรญี่ปุ่นแยกเป็น 3 ประเภท…

บรรยง พงษ์พานิช คิด

ถ้าถามว่าหนังสือประเภทไหนที่ผมชอบที่สุด ผมตอบได้เลยว่าผมชอบหนังสือประเภทกลั่นมาจากประสบการณ์ชีวิต โดยเฉพาะประสบการณ์ตรงของชีวิตผู้เขียน เพราะหนังสือแนวนี้จะเนื้อเน้นๆไม่มีน้ำ ไม่มากทฤษฎีหรือหลักการให้ปวดกะโหลก ไม่มีศัพท์แสงวิชาการที่ฟังดูต้องใช้จินตนาการเยอะ อ่านเข้าใจง่ายแต่กลับได้อะไรๆเยอะมาก เรียกได้ว่ามีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดเลยก็ว่าได้ หนังสือประเภทนี้จะเต็มไปด้วยคำธรรมดาที่โคตรจะคม จนทำให้คำคมทั่วไปกลายเป็นโคตรธรรมดา ถ้าเป็นภาษาการตลาดหรือคนโฆษณานี่บอกได้เลยว่า เต็มไปด้วย key message หรือ super insight สะกิดใจทุกคำ และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นทั้งหมดที่ผมว่า เป็นหนังสือที่กลั่นมาจากประสบการณ์ชีวิตของนักการเงินเศรษฐศาสตร์(หรืออะไรก็ตามทำนองนั้นที่ผมก็นิยามให้ไม่ถูกเหมือนกัน)ที่ชื่อว่า บรรยง พงษ์พานิช คุณบรรยง พงษ์พานิช คนนี้มีประวัติที่ไม่ธรรมดาเพราะเริ่มทำงานในตำแหน่งเสมียนเคาะกระดานหุ้น เงินเดือน 2,450 บาท เมื่อ 36…