How to win friends and influence people วิธีชนะมิตรและจูงใจคน

สรุปหนังสือ How to Win Friends and Influencer People วิธีชนะมิตรและจูงใจคน Dale Carnegie เดล คาร์เนกี หนึ่งในนักเขียนที่ผมชอบมากถึงมากที่สุดคนนึง เรียกได้ว่าถ้าเจอหนังสือของชายคนนี้เมื่อไหร่ ผมมีอันต้องเสียเงินแน่ และหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในน้อยเล่มที่ผมเลือกหยิบมาอ่านซ้ำในปีนี้ หลังจากอ่านครั้งแรกไปเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วมั้งครับ (ขอโทษทีที่จำปีที่แน่นอนไม่ได้) ความรู้สึกในตอนนั้นที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้คือ “ทำไมไม่ได้อ่านหนังสือดีๆแบบนี้ตั้งนานแล้วนะ” แม้หนังสือเล่มนี้จะเขียนมาร่วมร้อยปีได้ แถมภาษาที่ใช้แปลในเล่มก็เป็นภาษาเก่าแก่ก็ตาม (บอกได้เลยว่าอ่านหนังสือเล่มนี้ให้อารมณ์เหมือนฟังปู่ย่าตายายเล่าให้ฟัง) แต่เนื้อหาหรือ “แก่น” ของหนังสือเล่มนี้กลับไม่ได้เก่าไปตามกาลเวลาร้อยปีที่ผ่านไปเลย กลับยังคงมีความสดใหม่…

The Anatomical Chart of Clutter ญี่ปุ่นเขาจัดบ้านกันแบบนี้ไง

เขียนโดยสถาปิกชาวญี่ปุ่นที่ผ่านการออกแบบบ้านมามากกว่า 100 หลัง มาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวง่ายๆเต็มไปด้วยภาพประกอบทั้งเล่มไม่ว่าใครก็เข้าใจและทำตามได้ไม่ยาก.. ..การออกแบบบ้านที่ดีนั้นไม่ได้มาจากความหรูหราสวยงาม หรือเหมือนโรงแรมรีสอร์ท 5 ดาว หรือแม้แต่ภาพสวยๆจากนิตยสารบ้านและสวนซักเท่าไหร่..แต่การออกแบบบ้านที่ดีนั้นต้องออกแบบมาจากการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในบ้าน บ้านต้องเข้ากับไลฟ์สไตล์ ไม่ใช่ปรับไลฟ์สไตล์ให้เช้ากับบ้าน.. ..เป็นหนังสือเล่มเล็กแต่ต้องใช้เวลาอ่านมากกว่าปกติ เพราะอ่านไปก็ยิ่งทำให้ต้องคิดตามหรือกลับมาสำรวจมองบ้านตัวเองเกือบเป็นระยะๆ ก็พบเจอสิ่งที่ต้องปรับปรุงในบ้านเราอยู่เรื่อยๆ.. ..แม้ปัญหาเล็กอย่างเรื่องการตากผ้าขี้ริ้วหรือผ้าเช็ดตัวก็เป็นเรื่องใหญ่ได้ง่ายๆ เพราะบ้านโครงการหรือคอนโดสมัยนี้ไม่ค่อยได้คิดถึงตรงนี้ไว้ ผ้าพวกนี้ต้องการแสงแดดและต้องพร้อมเข้าถึงได้ง่ายตลอดเวลา แต่กลับกลายเป็นว่าเราต้องเอาผ้าพวกนั้ไปตากแดดไกลกว่าที่ควร หรือไม่บางคนก็ยอมให้มันอับๆอย่างนั้นแหละเพื่อความสะดวก.. ..อยากจะบอกว่าถ้าไม่อยากต้องเสียเงินซื้อของมาแต่งหรือจัดบ้านเพิ่มขึ้นแบบผม(เดือนนี้เจ็บกับของที่ซื้อมาจัดบ้านจากอีเกียอีกเยอะมาก) ก็ข้ามเล่มนี้ไปซะ.. แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าอยากปรับปรุงบ้านให้ดีขึ้น สะดวกขึ้น มีพื้นที่เก็บของเพิ่มขึ้น งั้นก็แนะนำว่าไม่ควรพลาดเล่มนี้ด้วยประการทั้งปวงครับ.. ..คงเหมือนคำโบราณที่ว่า “ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจผู้นอน” กระมังครับ The…

The Prince by Niccolo Machiavelli

มนุษย์เราต้องทำตัวเป็นสุนัขจิ้งจอกเพื่อจดจำกับดักได้ และต้องเป็นสิงโตเพื่อทำให้หมาป่าตกใจ..นี่คือประโยคนำจากหน้าปกโดยผู้เขียน.. ..หนังสือเล่มนี้แต่งขึ้นเมื่อกว่า 500 ปีก่อน เขียนขึ้นเพื่อให้เจ้าชายคนหนึ่งที่กำลังจะได้ขึ้นเป็นเจ้าผู้ปกครองนครในเวลานั้น เป็นเสมือนคู่มือการปกครองและบริหารทรัพยากรต่างๆที่มี ไม่ว่าจะกองทัพ ดินแดน พันธมิตร และประชาชนในเวลานั้น.. ..เพราะมีธรรมเนียมตั้งแต่สมัยนั้นว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าชายองค์ใหม่กำลังจะขึ้นเป็นผู้ปกครองนคร บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ ต้องนำสิ่งของมีค่าหรือหายากมาถวายหรือมอบให้ว่าที่เจ้าชายองค์ใหม่ แต่กับผู้เขียนที่เป็นเหมือนอัจฉริยะด้านการปกครองอย่าง มาเกียวิลลี นั้นไม่มีสิ่งของมีค่าอะไรมอบให้เจ้าชายนอกจากหนังสือคู่มือการปกครองเล่มนี้ หนังสือที่กลั่นกรองประสบการณ์ของตัวเองมานานจากการสังเกตุทุกแง่มุมของผู้คน ในความคิด ความอ่าน การกระทำ หรือจะเรียกว่าเป็นนักจิตวิทยามวลชนคนแรกๆของโลกก็ว่าได้.. ..มาเกียเวลลีผู้เขียนถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งรัฐศาสตร์ยุคใหม่ จากผลงานของเค้าในยุคเรเนซองส์ ที่ยังทรงคุณค่าถึงทุกวันนี้.. ..ว่าไปยังมี The Prince อีกเล่มที่หนาๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต่างกับเล่มนี้มากน้อยแค่ไหน…

The Power of Now พลังแห่งจิตปัจจุบัน ทางสู่การตื่นรู้และเยียวยา

เมื่อเริ่มอ่านปรัชญามาบ้างจาก Osho ก็ทำให้เกิดความสนใจในปรัชญาเพิ่มมากขึ้น จนได้บังเอิญเจอเล่มนี้ตั้งแต่คริสต์มาสเมื่อปีก่อนจากร้าน Kinokuniya ที่ Emquartier ผ่านมาจะครบ 1 ปีเพิ่งจะอ่านจบเมื่อเช้านี้เองครับ สนใจเล่มนี้เพราะหน้าปกและคำโปรยจากชื่อหนังสือที่บอกไปแล้วด้านบน.. ..ความรู้สึกส่วนตัวหลังอ่านจบคือรู้สึกชอบ Osho มากกว่าในการเล่าและอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายและชัดเจน แต่เล่มนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการพูดถึงเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักจะติดอยู่กับกระแสของธารเวลา จมอยู่กับอดีตและเฝ้ารออนาคต จนลืมปัจจุบันขณะที่สำคัญที่สุดของชีวิตไปทั้งนั้น.. ..เช่น เวลาเราอยู่กับครอบครัวหรือลูก ในหัวหรือใจเรามักลอยไปไหนก็ไม่รู้ อาจจะคิดถึงอนาคตว่าลูกจะเข้าโรงเรียนไหน ลูกจะโตมาเป็นอย่างไร หรือนึกถึงความเจ็บปวดเมื่อครั้งอดีตในวันที่ลูกป่วยไข้ จนลืมมองเห็นความสุขของปัจจุบันขณะในขณะที่ลูกน้อยกำลังหัดเดิน ยิ้มหัวเราะ หรือร้องให้กับการหกล้ม.. ..คนเรามักใช้ปัจจุบันเพื่อเป็นเส้นทางไปสู่ความหวัง ความฝัน ในเวลาของอนาคต เมื่อคนเราถึงจุดนั้นแล้วก็จะมีความสุขอยู่ชั่วครู่ชั่วยาม…

บันทึกการเดินทางของ อ็องรี มูโอต์

เป็นหนังสือเรื่องเล่าจากบันทึกนักเดินทางชาวฝรั่งเศษผู้มาสำรวจเมืองสยาม กัมพูชา ลาว และอินโดจีนตอนกลางส่วนอื่นๆ เมื่อกว่า 160 ปีก่อน เป็นหนังสือที่อ่านสนุกกว่าที่คิดแม้หน้าปกจะดูคร่ำครึชวนเบื่อ แต่เรื่องราวการเดินทางของเค้ากลับสนุกแปลกใหม่เปิดมุมมองที่ไม่เคยคิด และเรื่องราวของเมืองไทยและเพื่อนบ้านไกล้ตัวที่ไม่เคยรู้มากมาย.. ..อ็องรี มูโอต์ กล่าวถึงคนสยามตามมุมมองคนนอกอย่างตรงไปตรงมาว่าประมาณว่า “ชาวสยามดูเป็นคนซื่อๆ โหนกแก้มสูง แลดูเกรียจคร้านไม่ใส่ใจการงาน แค่หุงข้าวกินหนึ่งถ้วยกับเครื่องชูรสเล็กน้อยก็สามารถนอนหรือเล่นสนุกมีความสุขได้ทั้งวัน” นี่คือคนไทยในสายตาฝรั่งเมื่อกว่า 160 ปีก่อน แต่เค้าก็พูดถึงข้อดีของคนสยามสมัยนั้นว่า “แลดูเป็นคนใจดีมีน้ำใจ รักญาติมิตรพี่น้อง เวลามีปัญหาอะไรกันก็จะร่วมกันรวมหัวแก้ไขให้ลุล่วงไปด้วยดี หรืออย่างน้อยก็ผ่อนหนักเป็นเบาร่วมกันให้ผ่านพ้นไปได้” พอนึกถึงปัจจุบันนี้ไม่แน่ใจว่าลักษณะนี้ในสังคมไทยยังเหลือมากน้อยแค่ไหนกัน.. ..อ็องรี มูโอต์ นักเดินทางผู้นี้โด่งดังจากการเป็นผู้เปิดเผยความงามของนครวัด นครธม…

Book Of Beer การดื่มเบียร์คือศิลปะอย่างหนึ่ง

ถ้าสนใจเรื่องเบียร์ หรืออยากรู้ว่าเบียร์ที่ดื่มอยู่บ่อยๆนั้นมีประวัติความเป็นมายังไง เบียร์แบ่งออกได้กี่ประเภท แก้วเบียร์มีกี่ชนิด(ขอบอกว่าเยอะมาก) แต่ละชนิดให้ผลต่างกันยังไง เบียร์แต่ละชนิดควรกินที่อุณหภูมิเท่าไหร่ที่จะขับรถเบียร์ออกมาได้ที่สุด และอีกสารพัดความรู้เรื่องเบียร์ที่อ่านจบได้ง่ายๆใน 160หน้านิดๆ.. งั้นขอเล่าย่อๆในช่วงต้นๆของเล่มนี้เก็บไว้ให้ตัวเองในวันหน้าที่จะกลับมาอ่านก็แล้วกัน.. เบียร์กำเนิดแถบเมโสโปเตเมียหรือแถวอิรักในปัจจุบันเมื่อราวๆหมื่นปีก่อน จากนั้นก็แพร่ขยายความนิยมไปยังอียิปต์จนเป็นที่นิยม และยกระดับการทำเบียร์เป็นอุตสาหกรรมโบราณก็ว่าได้ เบียร์กลายเป็นหนึ่งสิ่งแลกเปลี่ยนแทนเงินตราในยุคนั้น คู่กับขนมปังและเนื้อตากแห้ง โดยกลุ่มนักบวชเป็นกลุ่มหลักที่เป็นเจ้าของเบียร์รองจากพวกราชวงศ์ เพราะอะไรล่ะ? เพราะในสมัยโบราณนั้นนักบวชเป็นผู้เก็บภาษีจากผลผลิตต่างๆ ก็เลยมีสิทธิ์เข้าถึงพืชผลที่ดีที่ใช้ทำเบียร์ได้ก่อนใคร.. แล้วนักบวชกินเบียร์ไม่บาปหรอสมัยนั้น? ไม่บาปหรอกครับกลับถือว่าได้บุญซะอีก เพราะความยากในการผลิตทำให้มันกลายเป็นของดีมีค่าไปซะอย่างนั้น.. จากนั้นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชชาวบาบิโลนผู้มายึดครองอียิปต์แล้วพาวัฒนธรรมไวน์เข้ามาแทนที่ จนเบียร์กลายเป็นเครื่องดื่มของชนชั้นล่างหรือสัญลักษณ์ของผู้แพ้สงครามนั้นเอง.. แต่ด้วยเสน่ห์ของเบียร์เองก็สามารถพาตัวเองไปแจ้งเกิดในยุโรปโดยชาวสเปนเป็นชาติแรก และจุดพลิกผันที่ทำให้เบียร์แจ้งเกิดก็คือชาวบาวาเรีย หรือชาติเยอรมันในปัจจุบัน จากนั้นเบียร์ก็กลายเป็นเครื่องดื่มสามัญของทุกชนชั้นไป เบียร์นั้นประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 อย่างคือ…

SEO100, 100 SEO / WEBSITE SUCCESS GUIDELINES

สรุปหนังสือ SEO100 หรือ 100 วิชาครอบจักรวาล SEO และเว็บไซต์ทำมาหากิน น่าจะเป็นบรรจุเป็นพื้นฐานของวิชาการตลาดปัจจุบัน ที่คนทำการตลาดทุกคนควรต้องรู้หลักการไว้บ้าง ไม่ใช่ว่าเพื่อทำเอง แต่ไว้เพื่อจะได้รู้ว่าจะคุยกับคนทำ SEO ยังไงไม่ให้ถูกหลอก ตอนที่ซื้อเล่มนี้มาเพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่รู้เรื่องนี้ และรู้ว่าจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ไว้ เลยหยิบมาโดยไม่ลังเลทั้งๆที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะซื้อหนังสือแค่ปีละสองครั้ง คือตามงานหนังสือใหญ่ช่วงต้นปีและปลายปีแล้วเชียว เนื้อหาในเล่มออกแนวเป็นบอกเล่าแนวคิด วิธีการเบื้องต้น และประสบการณ์ตรงในการทำเว็บไซต์และ SEO ของผู้เขียน เปรียบเทียบภาพง่ายๆให้ใครๆก็เข้าใจได้ เช่น เปรียบเทียบว่าการทำ SEO ให้ติดหน้าแรกก็เหมือนกับการได้พื้นที่หน้าร้านฟรีกลางสยามที่มีคนเดินผ่านมาอย่างพลุกพล่านเสมอ หรือเคล็ดลับการทำ SEO คือไม่ว่าเว็บของคุณจะอยู่อันดับที่ร้อยหรือล้าน…

ความสุข ณ จุดที่ยืนอยู่, ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ฉบับพิเศษ

เป็นหนังสือเก่าที่ผมเพิ่งซื้อมาใหม่จากงานหนังสือครั้งล่าสุด รู้สึกว่าจะเป็นเล่มฉลองครบรอบ 12 ปี ของหนุ่มเมืองจันทร์ ในชุด “ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ” เป็นหนังสือที่อ่านง่ายแต่กลับเต็มไปด้วยข้อคิด สาระความรู้ใหม่ๆด้วยวิธีการเล่าเรื่องสนุกๆ แถมหยอดมุขตลกแบบที่ต่อให้คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือก็น่าจะอ่านจบ และชอบได้ไม่ยาก ต้องขอบคุณน้องต๊ะ น้องในทีมสมัยเป็นครีเอทีฟที่นึงที่แนะนำให้ผมได้รู้จักกับนักเขียนคนนี้ จนผมรู้สึกว่าผมไม่น่าหลงกลซื้อเล่มก่อนมาอ่านเลย มันทำให้ผมติดจนต้องหาทุกเล่มที่ผมไม่มีมาอ่านจนได้ เล่มนี้คุณหนุ่มเมืองจันทร์บอกว่าเป็นเนื้อหาที่รวมมาจาก 12 เล่มแรก เอามามัดรวมกลายเป็นเล่มฉลอง 12 ปี แต่ที่น่าสนใจคือคุณหนุ่มเมืองจันทร์แกจะบริจาคค่าลิขสิทธิ์ที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ให้กับมูลนิธิที่เกี่ยวกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เล่มนี้เป็นการพิมพ์ครั้งที่ 21 แล้ว ผมเดาว่าคุณหนุ่มเมืองจันทร์น่าจะได้ช่วยบริจาคไปไม่น้อยเลยทีเดียว เนื้อหาหลักๆของเล่ม ก็ไม่พ้นจากชื่อประจำเล่มที่ว่า…

sex and the english language 1

หนังสือที่จะช่วยให้คุณเข้าใจภาษารัก และรักภาษาอังกฤษ ต้องบอกว่าเป็นหนังสือเก่าเล่มใหม่ของผม เพราะผมบังเอิญไปเจอเล่มนี้เข้าที่ร้านหนังสือมือสองที่ชื่อว่า Mali mali coffee and book cafe เป็นร้านที่เต็มไปด้วยหนังสือเก่า หนังสือมือสองมากมาย ผมเชื่อว่าถ้าใครเป็นคนที่รักการอ่านหรือมักจะไปล้มละลายในงานหนังสือแบบผม ถ้าได้มาร้านนี้จะต้องรู้สึกมีความสุขเป็นแน่แท้ เพราะแม้จะเต็มไปด้วยหนังสือเก่า แต่ก็อุดมไปด้วยหนังสือดีๆมากมาย ที่ถ้าคุณเพิ่งเริ่มอ่านได้ไม่นานแบบผม(5ปี) คุณจะพบหนังสือดีๆที่คุณไม่คาดคิดหลายเล่มแน่ ร้าน Mali Mali Coffee อยู่ในพื้นที่บริเวณคอนโด Chapter One ครับ กลับมาที่เนื้อหาในหนังสือ จะบอกว่าตามหน้าปกก็ไม่ผิดนัก เพราะเนื้อหาในเล่มเต็มไปด้วยคำสัปดี้สัปดล แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้จากคำศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างไม่น่าเชื่อ…

เทคโนโยนี The Technology of Orgasm: “Hysteria,” the Vibrator and Women’s Sexual Satisfaction

เป็นหนังสือที่อ่านจบแล้วคิดอยู่นานเหมือนกันว่าเราจะเขียนสรุปเนื้อหายังไงดีนะ ให้มันดูเป็นเรื่อง “เซ็กส์” จนเกินไป เพราะก็ต้องบอกตามตรงว่าในความรู้สึกผม “คนไทย” กับเรื่อง “เซ็กส์” หรือเรื่องเพศนั้น อาจจะยังไม่ได้เสรี เปิดกว้าง หรือเท่าเทียมกันนักเมื่อเทียบกับฝรั่งตาน้ำข้าว แต่ก็ต้องบอกตามตรงว่าเมื่ออ่านจบแล้วผมกลับรู้สึก “เห็นใจ” บรรดาผู้หญิงเมื่อไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมาว่า ทำไมผู้หญิงถึงได้โดนเหล่าผู้ชายกดขี่แม้กระทั่งเรื่องเพศได้ขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ในเครื่องของ “ศาสนา” ที่สร้างความเชื่อที่ยึดถือเพศชายเป็น “ศูนย์กลาง” มาช้านาน ถ้าไม่เชื่อก็ลองนึกดูซิว่าบรรดา ศาสดา หรือ พระเจ้า ของศาสนาแทบทุกศาสนานั้นล้วนเป็นเพศชายทั้งนั้น ไม่นับบรรดาเทพเสริมที่เป็นเพศหญิงนะครับ เมื่อศาสนาบ่มเพาะความเชื่อมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลหลายพันปีก่อนมาขนาดนี้ ดังนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจที่ “เพศหญิง”…