ถ้าอ่านแค่หน้าปกเผินๆทำให้นึกถึงสโลแกนของช้างเมื่อหลายปีก่อนว่า “ชีวิตใช้ซะ” และก็กลายเป็นสโลแกนที่ใช้กันจนชินหูในหนังโฆษณาสมัยนี้ ล่าสุดไปดูหนังที่โรงก็เห็นโฆษณารถยนต์รุ่นหนึ่งที่บอกว่า “ออกไป…ใช้ชีวิต”

ฟังจบปุ๊บอยากวิ่งออกจากโรงไม่ดูมันแล้วหนัง แล้วออกไปใช้ชีวิตเลย..

พูดเล่นครับ ดูจนจบนี่แหละ

กลับมาที่หนังสือเล่มนี้ของหนุ่มเมืองจันท์ ทำไมถึงบอกว่า “ชีวิตไม่ใช้ไม่ใช่ชีวิต” เพราะหลายเรื่องราวที่เล่าในเล่มพูดให้เรากล้าที่จะออกนอกกรอบ หรือกล้าที่จะทำตามหัวใจไม่ใช่แค่สมอง

แต่ก็ต้องอิ่มท้องด้วยนะครับ เช่น

นิ้วกลม บอกให้เด็กคนนึงออกไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างประเทศคนเดียวบ้าง เพื่อแก้โรคไม่มั่นใจในตัวเอง

น้องคนนี้เดินเข้ามาปรึกษา เอ๋ นิ้วกลม ว่าทำยังไงดีตัวเองเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย

เอ๋ นิ้วกลม แนะนำไปง่ายๆว่า ออกไปเที่ยวไกลๆคนเดียวครับ

เพราะเมื่อไหร่ที่เราต้องเดินทางคนเดียว นั่นหมายความว่าทุกเรื่องเราต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะนอนที่ไหน หรือไปที่ไหน จะหยุดกินร้านไหน หรือจะเดินเข้าตรอกซอกซอยไหน หรือแม้แต่กระทั่งจะขึ้นรถเมล์ หรือลงรถไฟใต้ดินสถานีไหน

เป็นการฝึกตัดสินใจด้วยตัวเองแบบบังคับ ตัดสินใจเอง และรับผิดชอบผลที่ตามมาเอง ถูกก็ดี ผิดก็ตัดสินใจใหม่ วนเวียนไปแบบนี้เรื่อยๆ

เพราะชีวิตไม่มีใครตัดสินใจได้ถูกทุกครั้ง ทุกเรื่องหรอกครับ การตัดสินใจผิดเป็นเรื่องปกติของชีวิต

เมื่อตัดสินใจผิดก็ต้องตัดสินใจใหม่ เมื่อได้ตัดสินใจด้วยตัวเองมากๆ รู้จักแก้เกมมากๆ ความมั่นใจก็จะตามมา ทีนี้จะถูกจะผิดก็จะไม่กลัวเพราะต่อให้ผิดก็ยังมั่นใจว่าตัดสินใจใหม่แก้ไขได้

หรือถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ยังยอมรับมันได้

ทำให้คิดถึงตอนที่ผมเคยเดินทางไปเที่ยวกระบี่คนเดียวเมื่อสมัยหนุ่มๆเลยครับ

เริ่มจากเลือกที่พักเอง เลือกรถที่จะเข้าเมืองเอง เลือกร้านอาหารเอง เลือกเองว่าจะไปไหนไม่ไปไหน เจอร้านอร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง ได้คุยกับคนแปลกหน้าบ้าง ไม่กล้าคุยบ้าง

เป็นรสชาติของชีวิตดีครับ นี่เคยคิดเล่นๆมานานแล้วว่าอยากลองไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวดูบ้าง แต่ยังกลัวๆอยู่ แต่คงจะได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับตัวผมเองดีไม่มากก็น้อย ก็ถือเป็นการออกไปใช้ชีวิต ให้สมกับที่มีชีวิตเลยนะครับ

หรือนักออกแบบที่ออกไปค้นหาสีฟ้ามาเป็นสีกางเกงยีนส์ จากท้องทะเลทั่วญี่ปุ่น

ซาโตชิ ฟูจิวาระ เป็นนักออกแบบของแบรนด์ Issey Miyake หรือกระเป๋า Bao Bao ที่ราคาไม่เบายอดนิยมของสาวๆเอาซะเลย ในตอนที่เค้าจะหาสีฟ้ามาใช้เป็นสีของกางเกงยีนส์รุ่น Galaxy ของ Issey Miyake นั้น เค้าไม่เลือกโทนสีฟ้าจากคอม หรือ Pantone (กระดาษแถบสีมากมายที่นักออกแบบรู้จักกันดี) เหมือนนักออกแบบคนอื่น แต่เค้าเลือกที่จะออกไปตามหาสีฟ้าที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นด้วยตัวเอง

ด้วยการตระเวนออกไปดูสีฟ้าของท้องทะเลทั่วประเทศญี่ปุ่น จนได้สีฟ้ามามากมาย แล้วสุดท้ายก็ได้สีฟ้าที่เค้าว่าสวยที่สุดจนกลายมาเป็นฟ้าบนยีนส์รุ่น Galaxy ที่ว่า ที่ไม่เหมือนยีนส์ไหนๆในโลก

แค่ฟังเรื่องราวก็ขนลุก อยากจะไปเห็นยีนส์ตัวนี้กับตาเลย

เป็นไงครับ กับแค่หาสีฟ้า ถึงขนาดต้องออกไปตามหาทั่วประเทศ โคตรจะเข้าคอนเซปกับชื่อหนังสือจริงๆ

หรืออีกเรื่อง ร้านตำแหล ของ เอ ศุภชัย ที่ชวนให้คนออกมาใช้ชีวิตที่ร้าน เผื่อจะได้ชีวิตใหม่เป็นดาราในสังกัด เอ

เรื่องก็คือร้านตำแหลที่หลายคนอาจเคยคุ้น และรู้ว่าเป็นของ เอ ศุภชัย นั้น ไม่ได้เปิดแค่ขายอาหารส้มตำอร่อยๆเฉยๆ แต่ในตอนแรกยังเปิดไว้คัดหนุ่มสาวหน้าตาดีรุ่นใหม่ให้มาเป็นเด็กปั้นในสังกัดด้วย

เพราะในร้านจะมีบอร์ดให้ลูกค้าที่มั่นใจว่าหน้าตาดีเอารูปตัวเองมาติด ครั้นจะแค่เข้ามาติดก็เขินๆ ก็ต้องมีมากินมาเป็นลูกค้ากันบ้างแหละ

พอมีรูปมาติด เอ ศุภชัย ก็เข้ามาคัดคนหน้าตาดีที่เป็นลูกค้าตัวเอง เพื่อติดต่อมาดูตัวจริงกันอีกครั้ง

พอคนหน้าตาดีชอบมากินร้านตำแหล ก็ทำให้คนธรรมดาก็อยากมากินไปด้วยเป็นธรรมดา งานนี้ถือว่าเป็นสุดยอดกลยุทธ์การขาย ที่ทำให้วินทุกฝ่าย

เอ ศุภชัย นอกจากจะได้ลูกค้าแล้ว ยังได้โอกาสเจอคนหน้าตาดีที่จะเอามาปั้นต่อได้ด้วย ส่วนหนุ่มสาวที่หน้าตาดีนอกจากจะได้อิ่มท้องกับอาหารอร่อยๆแล้ว ยังมีโอกาสได้เป็นดาราหน้าใหม่ในวงการอีกด้วย

ส่วนคนทั่วไปน่ะหรอ อาหารตาเต็มๆ และสุดท้ายก็กลับมาเป็นยอดขายให้ร้านตำแหลขายดิบขายดีจนถึงทุกวันนี้ ทำเอาร้านตำแหล ของ เอ กลายเป็นเซ็นเตอร์พอยท์ในสมัยก่อนเลย

เรื่องสุดท้าย ไม่เกี่ยวกับการใช้ชีวิต แต่เป็นการ “ให้ชีวิต” ให้ชีวิตปูไข่เพื่อให้เกิดปูรุ่นใหม่อีกล้านตัว

ปูไข่ ของอร่อยที่หลายคนชอบกิน ใครจะรู้บ้างว่าเวลาคุณเห็นปูไข่ที่มีไข่แดงๆล้นออกมานอกตัวนั้น คือแม่ปูที่กำลังจะปล่อยไข่ออกไปให้กำเนิดลูกปูเป็นล้านตัว แถมไข่ที่ล้นออกมาก็ไม่อร่อยไม่น่ากินเท่ากับไข่ที่มันๆอยู่ในตัวปู

ทีนี้ชาวบ้านก็เลยเกิดไอเดีย “ปล่อยปู” เหมือนปล่อยนก ปล่อยปลา ที่คนไทยชอบ แถมการปล่อยปูไข่ที่กำลังจะวางไข่นั้น ยังน่าจะได้บุญมากกว่า เพราะมีไข่ปูเป็นล้านที่จะกลายเป็นปูรุ่นใหม่อีกด้วย

วิธีการก็ง่ายๆ ไปซื้อปูไข่ที่ไข่ล้นออกมาจากตัว ซึ่งรสชาติไม่อร่อยถ้าเอาไปทำกิน เพื่อเอาไปปล่อยคืนสูทะเล ให้แม่ปูได้วางไข่ล้านใบเป็นลูกปูในวันข้างหน้า

ทีนี้ถ้าจะซื้อไปปล่อยเฉยๆก็อาจจะโดนจับคืนมาใหม่ได้ เหมือนเวลาเราปล่อยปลาปุ๊บ แปบเดียวเจอเด็กมือดีช้อนกลับมาขายแม่ค้าอีกครั้ง เห็นทีไรเจ็บใจทุกที

ทางชาวบ้านเจ้าของไอเดียก็มีทางแก้ ด้วยการเอา “สีเมจิก” เขียนบนกระดองปูไปเลยว่า แม่ปูไข่ตัวนี้ถูกซื้อมาปล่อยโดยคนชื่ออะไร

ทีนี้ลองคิดดูซิว่าถ้าเกิดมีชาวประมงจับได้ปูตัวนี้มา จะกล้าเอาไปขายหรือเอาไปกินหรอครับ ก็มีชื่อขึ้นหราอยู่บนกระดองขนาดนั้น บาปคาตาขนาดนี้ กินลงก็ใจดำอำมหิตเกินไปแล้ว

สรุปชีวิตไม่ใช้ไม่ใช่ชีวิต อ่านจบแล้วอยากออกไปใช้ชีวิต กินปูไข่เป็นมื้อเย็นจริงๆเลยครับ แต่ไม่เอาตัวที่มีชื่อเขียนบนกระดองนะ ผมกลัวบาป

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 69 ของปี 2018

ชีวิตไม่ใช้ไม่ใช่ชีวิต
ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ เล่มที่ 21
หนุ่มเมืองจันท์ เขียน
สำนักพิมพ์ มติชน

20180526

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/