สรุปรีวิวหนังสือ Creative Blindness ภาวะสมองบอด พร้อมวิธีรักษา Dave Trott เขียน พราว อมาตยกุล แปล สำนักพิมพ์ WE LEARN

สรุปรีวิวหนังสือ Creative Blindness ภาวะสมองบอด พร้อมวิธีรักษา เขียนโดย Dave Trott ครีเอทีฟระดับโลกที่เป็นตำนานในแวดวงโฆษณาและการตลาดแล้ววันนี้

คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่าการจะคิดอะไรใหม่ๆ ดีๆ หรือที่เรียกว่า Creative ออกมาได้นั้นต้องเป็นพรสวรรค์ส่วนตัวเท่านั้นแหละ แต่ความเป็นจริงแล้วเรื่องการคิดสร้างสรรค์นั้นฝึกฝนได้ครับ เหมือนกับการเล่นกีฬาที่เราสามารถเก่งได้หากทุ่มเทฝึกฝนให้มากกว่าคนอื่นครับ

หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วย Case Study ของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่เรียกว่า Creativity แก้ไขปัญหามากมาย ที่ไม่ได้มีแค่เรื่องราวของโฆษณา แต่ยังมีเรื่องราวของการตลาด ธุรกิจ ชีวิต หรือบอกได้เลยว่าทุกเรื่องในชีวิตและโลกใบนี้สามารถใช้ Creativity แก้ไขให้ดีขึ้นได้

ผมขอหยิบบางเรื่องที่ประทับใจสุดๆ มาเล่าให้เห็นภาพว่า Creativity หรือการคิดสร้างสรรค์ให้เป็นนั้นช่วยในเรื่องแบบนี้ก็ได้ด้วย

Creative Police จะจับผู้ร้ายตัวฉกาจให้ง่าย ก็ต้องใช้ Creativity นะ

กรมตำรวจที่ประเทศหนึ่งพยายามไล่จับคนร้ายหนีคดีมานาน แต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักที พวกเขาจึงเริ่มคิดในมุมใหม่ว่า ถ้าคนร้ายหนีคดีเหล่านี้ไม่มีวันเข้าใกล้ตำรวจโดยง่ายแน่ แล้วมีอะไรบ้างหละที่พวกเขาอยากเข้าหา จนอาจยอมเผลอเข้ามาหาตำรวจด้วยตัวเองได้

ตำรวจจึงคิดออกว่าฟุตบอลเป็นอะไรที่ทุกคนรัก โดยเฉพาะผู้ชาย พวกเขาจึงออกอุบายส่งจดหมายไปหาคนร้ายเหล่านั้นว่า พวกเขาเป็นผู้โชคดีได้เข้าชมฟุตบอลนัดสำคัญฟรีจากรายการโทรทัศน์ยอดนิยม

จดหมายบอกว่าวันที่มาเข้าชม พวกเขาต้องพกบัตรประจำตัวประชาชนมาด้วย แต่ถ้าไม่มาพวกเขาก็จะถูกยกสิทธิ์ให้กับคนอื่นที่พร้อมกว่า ผลปรากฏว่าคนร้ายหลบหนีคดีมานานตกหลุมพลางนี้อย่างคาดไม่ถึง

เพราะทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวมาก็ถูกพาไปยังห้อง VIP ในสนามฟุตบอล เมื่อทุกคนเข้ามาพร้อมในห้องปิดตายก็หมดโอกาสหนี แล้วยิ่งเอาบัตรประจำตัวประชาชนมายืนยันตัวเองที่งาน ก็ยิ่งทำให้ตำรวจมั่นใจว่าจับไม่ผิดตัวแน่นอน

เห็นไหมครับว่าแม้แต่การจะจับผู้ร้ายหรืออาชีพอย่างตำรวจก็ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือ Creativity ไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าอาชีพคุณไม่ยากเท่าตำรวจกลุ่มนี้ ผมเชื่อว่า Creativty ที่ดีจะเป็นอาวุธธุรกิจคุณได้

Creative Politics อยากให้นักการเมืองสนใจแก้ปัญหา ก็ต้องใช้ Creativty สักหน่อย

เชื่อไหมครับว่าคนเรานั้นไม่อยากเสียหน้ามากกว่าเสียเงิน และนั่นก็เป็น Insight สำคัญที่ชาวเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเข้าใจ ก็เลยพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้ได้ในสิ่งที่ต้องการด้วย Creativity

เรื่องมีอยู่ว่าชาวเมืองนี้ต้องการสะพานข้ามแม่น้ำเพื่อจะได้เดินทางเข้าเมืองสะดวกๆ มานานมาก แต่ทำเรื่องยื่นไปยังทางการ ราชการ หรือนักการเมืองคนไหนก็ไม่เคยจะได้รับความสนใจเลย

เพราะเมืองนี้มีประชากรแค่ห้าพันกว่าคน ทุกครั้งที่ถูกปฏิเสธก็จะได้รับเหตุผลเดิมๆ นั่นก็คือ “ทางการมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องจัดการ”

เมื่อชาวบ้านเห็นแล้วว่าปัญหาสะพานของชาวบ้านห้าพันคนไม่สำคัญต่อนักการเมืองท้องถิ่น พวกเขาจึงหาทางยกระดับความสำคัญของปัญหานี้ ให้เป็นเรื่องสำคัญของนักการเมืองและหน่วยงานราชการต่างๆ

สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ปิดถนน หรือประท้วงแต่อย่างไร แต่พวกเขาเลือกใช้วิธีที่ Creativity กว่านั้น นั่นก็คือการติดต่อไปยังประเทศอริของสหรัฐอเมริกาอย่างรัสเซีย ถามว่าพอจะบริจาคเงินมาสร้างสะพานให้พวกเขาได้ไหม

เมื่อสถานทูตได้รับการติดต่อมาแบบนี้ ส่งผลให้ทางรัสเซียเห็นประโยชน์ในการจะลงทุนสร้างสะพานด้วยเงินไม่กี่ตังค์ให้ เพื่อแลกกับการประจานชาวโลกว่าอเมริกานั้นช่างดูแลประชาชนไม่ดีเอาเสียเลย

เมื่อทางการรู้ว่าชาวบ้านส่งจดหมายไปขอให้ทางรัสเซียเข้ามาช่วย หน่วยงานต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับหนึ่ง เรื่องถูกส่งไปถึงวอชิงตัน(เมืองหลวงของอเมริกา) จนสะพานที่ใช้เวลาขอมานานปีถูกอนุมัติทันทีภายใน 24 ชั่วโมง

เมื่อปัญหาของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องสำคัญในสายตานักการเมือง พวกเขาจึงใช้ Creativty ในการยกระดับปัญหาอย่างสันติ แต่แค่แอบแสบเล็กๆ จนทำให้นักการเมืองอยู่เฉยไม่ได้ครับ

ต่อไปนี้ถ้าปัญหาคุณไม่ได้รับความสนใจ ลองหาทางทำให้มันเป็นจุดสนใจของคนที่คุณต้องการให้เขาสนใจดูนะครับ

Creative Commerce ขายอย่างฉลาดต้องรู้ว่าขายใครขายง่าย

การขายที่ฟังดูเป็นเรื่องยาก แท้จริงแล้วอาจง่ายขึ้นมากถ้าเรารู้จักกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงให้ชัด เหมือนกับกลุ่มเนตรนารีที่สามารถขายคุกกี้ได้ถล่มทลายเพราะเข้าใจว่าใครคือคนที่ต้องการกินคุกกี้มากที่สุด

เดิมทีเนตรนารีต้องไปเคาะประตูขายคุกกี้ตามบ้าน ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนที่ขายได้ส่วนใหญ่ก็มาจากความสงสารเกรงใจ อยากช่วยสนับสนุนแต่ไม่ได้อยากกินคุกกี้จริงๆ สักเท่าไหร่

กลุ่มนักเรียนหญิงเนตรนารีกลุ่มหนึ่งจึงคิดใหม่ในมุมต่าง เราจะขายคุกกี้ให้มากที่สุดจนชนะได้อย่างไร โดยไม่ต้องไปเที่ยวเคาะประตูขายตามบ้านที่ไม่ได้อยากได้ แต่จำใจยอมซื้อบ้างเพราะความสงสารนั่นเอง

เนตรนารีกลุ่มนี้จึงเริ่มคิดว่า ใครกันนะจะเป็นคนที่ต้องการกินคุกกี้มากที่สุด พวกเขาจึงเริ่มวิเคราะห์แบบลงลึกว่า คุกกี้เป็นขนมที่มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ซึ่งคุณสมบัติเด่นของคุกกี้แน่นอนคือรสหวาน เนตรนารีกลุ่มนี้จึงเริ่มตั้งคำถามใหม่ว่า ใครกันนะต้องการของหวานมากที่สุด

จนทั้งกลุ่มได้ข้อสรุปว่าคนที่น่าจะต้องการคุกกี้หวานๆ ที่พวกเธอมีมากที่สุดคือคนที่เสพกัญชา แล้วคนที่เสพกัญชาอยู่ที่ไหน นั่นก็คือศูนย์จำหน่ายกัญชาทางการแพทย์ เมื่อผู้ป่วยเข้าไปรับกัญชาเพื่อรักษา แน่นอนว่าด้วยคุณสมบัติของกัญชาจึงทำให้คนที่เพิ่งเสพมาต้องการกินของหวานมากอย่างที่สุด

เมื่อคนกลุ่มนี้เดินออกมาจากศูนย์จำหน่ายกัญชาทางการแพทย์ แล้วเจอซุ้มขายคุกกี้ที่ดูหวานสุดๆ แน่นอนว่าทุกคนล้วนเดินเข้ามาซื้อคุกกี้ติดมือกลับบ้านไป ส่งผลให้เนตรนารีกลุ่มนี้มียอดขายพุ่งเป็นอันดับหนึ่งทิ้งอันดับสองขาด

เป็นอย่างไรครับกับกับการขายที่ถ้าใช้ Creativity สักหน่อยก็จะขายดีขึ้นกว่าเดิมมาก เริ่มจากการมองให้ออกว่าเรากำลังขายอะไร และคนแบบไหนที่ต้องการของแบบนั้นมากที่สุด สุดท้ายคือพวกเขาอยู่ที่ไหน และสุดท้ายคือเอาของที่เค้าอยากได้ไปอยู่ใกล้ๆ ให้เขาเจอเราได้ง่ายขึ้น

นั่นก็คือ Contextual Marketing การตลาดแบบฉลาดฉวยโอกาสรอบตัวมาเป็นยอดขายครับ

Creative Matching จับคู่คนที่ใช่ ลดการกำจัดสุนัขจรจัดไปได้ไม่น้อย

สุนัขจรจัดในต่างประเทศถ้าไม่มีคนรับไปเลี้ยงในเวลาที่กำหนด ต้องถูกกำจัดด้วยการทำการุณยฆาต ก็คือการฆ่าสุนัขให้ตายไปนั่นแหละครับ ปัญหาคือการเลี้ยงสุนัขนั้นต้องใช้เวลาในการเอาใจใส่ดูแลมาก และก็ดูเหมือนว่าคนทุกวันนี้ลำพังเวลาให้ตัวเองยังไม่ค่อยมีเลย

พวกเขาจึงเริ่มคิดใหม่ว่า ใครกันนะคือคนที่มีเวลามากที่สุดบ้าง จนพบว่ากลุ่มนักโทษในคุกนี่แหละคือคนที่มีเวลาว่างมากที่สุด พวกเขาจึงริเริ่มเอาสุนัขจรจัดไม่มีคนดูแลไปให้เหล่านักโทษที่อยู่ในเรือนจำช่วยดูแล

ผลคือสุนัขก็ไม่ต้องถูกกำจัดเพราะมีคนดูแล แต่ที่ดีไปกว่านั้นคือเหล่านักโทษเองก็จิตใจอ่อนโยนขึ้น

พวกเขาได้เห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้นผ่านการเอาใจใส่อีกชีวิตหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นการจับคู่ที่ Creativty มากๆ สิ่งหนึ่งต้องการเวลาเอาใจใส่ อีกสิ่งก็มีเวลามากมายแต่ไม่มีอะไรให้ใส่ใจ

ดังนั้นถ้าเรามีสินค้าหรือบริการที่ขายไม่ออก ขายออกยาก หรือต้องทิ้งกำจัดมันไปอย่างน่าเสียดาย อยากให้ลองนึกถึงเคสนี้เข้าไว้ครับ เพื่อที่คุณจะได้เริ่มคิดมุมใหม่มองมุมต่าง แล้วเราจะพบทางออกใหม่ที่คิดไม่ถึงและก็ให้ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดอีกด้วยครับ

สรุปรีวิวหนังสือ Creative Blindness

จริงๆ หนังสือเล่มนี้มีหลายบทหลายตอนที่ผมชอบมากมาย แต่กลัวว่าถ้าเอามาเขียนสรุปหมดคงจะกินเนื้อหาไปกว่าครึ่งเล่มได้ สรุปภาพรวมคือหนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้เห็นแง่มุมต่างๆ ของการใช้ Creativity หรือความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาได้จริงแบบรอบด้าน ไม่ว่าจะปัญหาไหนหรือเรื่องใดในชีวิต ก็สามารถใช้ Creativty แก้ได้ทั้งนั้น

ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองหาหนังสือ Creative Blindness ภาวะสมองบอด พร้อมวิธีรักษาเล่มนี้มาอ่านดูซิครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 21 ของปี

สรุปรีวิวหนังสือ Creative Blindness ภาวะสมองบอด พร้อมวิธีรักษา Dave Trott เขียน พราว อมาตยกุล แปล สำนักพิมพ์ WE LEARN

สรุปรีวิวหนังสือ Creative Blindness
ภาวะสมองบอด พร้อมวิธีรักษา
Dave Trott เขียน
พราว อมาตยกุล แปล
สำนักพิมพ์ WE LEARN

อ่านสรุปหนังสือของ Dave Trott ในอ่านแล้วเล่าต่อ > https://www.summaread.net/?s=dave+trott

สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ทางออนไลน์ > https://click.accesstrade.in.th/go/HKjr4IWx

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/