ผู้เขียนทำงานบริษัทด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งชื่อดังในเครือ Saleforce ในอเมริกา เค้าแชร์ว่าสิ่งสำคัญของการตลาดยุคนี้ไม่ใช่แค่การตะโกนประกาศเหมือนสมัยก่อนว่า “ชั้นมีของดีมาขาย ซื้อมั้ยจ้ะๆ”
เพราะ…แม้เราจะอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยสื่อดิจิทัล เสพย์ติดสมาร์โฟนมากกว่าทีวี หรือเปิดทีวีไว้แต่ก้มหน้าเล่นเฟซบุ๊คแล้วแชตไลน์กับเพื่อน แต่นักการตลาดหรือเอเจนซี่ส่วนใหญ่ก็ยังคิดในรูปแบบเดิมแค่ขยายช่องทางการเข้าถึงใหม่ๆที่เป็นดิจิทัล ก็คือการตะโกนขายของปาวๆเหมือนเดิม
ไม่ได้สนใจผู้บริโภคหรือกลุ่มผู้ชมที่อยู่ในแต่ละบริบทเอาซะเลย เพราะแต่ละ Channel ก็มี Context ของมัน แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าทำไมคนยุคโฆษณาทีวีถึงยังคิดแบบนั้น..
..เพราะสมัยก่อนช่องทางการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมหรือ Audience นั้นมีแค่ 9 ช่องทาง ทำให้การคิดงานนั้นมีรูปแบบและ Platform ที่ไม่ชัดเจนไม่ซับซ้อน แต่ทุกวันนี้ช่องทางการเข้าถึงกลุ่ม Audience นั้นมากกว่า 50 ช่องทางไปแล้ว ไม่แปลกใจที่จะคิดตามไม่ทันหรือปรับตัวไม่ถูก..
..แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเข้าถึงให้ครบทุกช่องทาง เพราะใจความสำคัญคือ
การเข้าถึงให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกความต้องการ และถูกสถานการณ์ มากกว่า..
..การโฆษณาทุกวันนี้วัดผลได้มากขึ้นเรื่อยๆๆๆ การโฆษณาจึงไม่ควรเป็นแค่การทำเพื่อเพิ่มยอดขายเพียงชั่วคราว แต่ควรเป็นการเพิ่มจำนวน Audience ของคุณไปพร้อมๆกัน..
..เมื่อคุณมี Audience แล้วก็ควรบ่มเพาะความสัมพันธ์ให้เป็นความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง หรือที่เรียกกันติดปากว่า Engagement
แล้วก็สร้าง Value จากกลุ่มผู้ชมที่คุณมีให้ได้เพราะนั่นคือเป้าหมายสำคัญที่สุดของการตลาด..
..เปลี่ยนจากผู้ค้นหา Seeker ให้เป็นกระบอกเสียงของแบรนด์ Amplifier ให้เข้าสู่การเป็นผู้เข้าร่วม Joiner ให้ได้
เปลี่ยนจาก Audience ให้กลายเป็น Subscribers, Fans หรือ Followers เพราะนี่คือฐานมูลค่าของแบรนด์คุณที่จะสำคัญมากในอนาคตขึ้นไปอีก
เค้าเหล่านี้จะทำให้คุณประหยัดเงินกับ Paid Media เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ชม คุณสามารถเพิ่มงบให้กับ Own Media ของคุณเองที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อเช่าความสนใจจาก Audience ใหม่ๆทุกครั้งไป
และคุณสามารถใช้ฐานแฟนของคุณให้กลายเป็น Own Media หรือกระบอกเสียงของแบรนด์กระจายไปให้ถึงกลุ่มใหม่ๆเป็นวงจร..
..และทั้งหมดนี้ก็คือสรุปหนังสือ Audience เปลี่ยนจากแค่รู้จักเป็นรักและบอกต่อครับ