การเดินทางของมาร์โค โปโล The Travels of Marco Polo

อ่านหนังสือพันเล่ม หรือจะสู้เดินทางหนึ่งลี้ แต่การเดินทางหมื่นลี้ อาจเริ่มต้นจากหนังสือดีๆหนึ่งเล่ม เหมือนที่ผมได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ The Travels of Marco Polo หรือบันทุกการเดินทางของมาร์โค โปโล ผู้โด่งดัง

มาร์โค โปโล ที่หลายคนคุ้นหูและพอรู้เรื่องราวพอสังเขปว่า เป็นชายในยุคศตวรรษที่ 13 ที่เดินทางจากยุโรปไปสู่เมืองจีนเป็นคนแรกของโลก ด้วยการเดินทางมากกว่า 20 ได้พบเจอเรื่องราวมากมายจนพอกลับมาเล่าให้คนยุโรปฟังในวันนั้น กลับถูกหาว่าเพ้อฝันและไม่มีใครยอมรับ

เรื่องราวการเดินทางของมาร์โค โปโล เพิ่งถูกพิสูจน์เมื่อไม่กี่ศตวรรษที่ 19 ไม่นานมากนี้เอง ว่าบันทึกการเดินทางที่แสนเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะพบเจอชนเผ่าร่างยักษ์ หรือถ่านสีดำไร้เปลวไฟแต่กลับร้อนได้นานมาก (ถ่านหินในปัจจุบัน) เมื่อลองเดินทางตามบันทึกก็พบว่าตรงกับที่มาร์โค โปโล เล่าไว้

มาร์โค โปโล จึงได้รับชื่อเสียงหลังจากเสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยปี ว่าเป็นนักเดินทางผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่ เป็นชาวยุโรปคนแรกที่ไปถึงเมืองจีน แล้วยังไปต่อถึงญี่ปุ่นและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนใครหลายคนนัก

ถ้ามาร์โค โปโล ยังอยู่ทุกวันนี้คงมีหลายสายการบินเป็นสปอนเซอร์การเดินทางให้ และคงเป็นคนดังสายท่องเที่ยวบนโลกออนไลน์ จนผมว่าพี่ติ๊กสายแอดเวนเจอร์นี่กลายเป็นเด็กๆไปเลย

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาของหนังสือจากบันทึกการเดินทางและประสบการณ์ของมาร์โค โปโล ทั้ง 4 เล่มรวมไว้ในเล่มเดียว ดังนั้นซื้อเล่มเดียวผมว่าคุ้ม ทั้ง 4 เล่มในเล่มนี้ประกอบด้วย

เล่มที่ 1 ดินแดนที่ไปเยือนหรือที่ได้ยินมาระหว่างการเดินทางจากอาร์เมเนียน้อย ถึงราชสำนักของข่านผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครเฉิงตู

เล่มที่ 2 กุบไลข่านผู้ยิ่งใหญ่ เมืองหลวง ราชสำนักและคณะบริหารของพระองค์ เมืองและแคว้นต่างๆที่ไปเยือนในระหว่างการเดินทางบนเส้นทางตะวันตกและทางใต้

เล่มที่ 3 ญี่ปุ่น และหมู่เกาะในอินเดียใต้ ชายฝั่งเกาะต่างๆในทะเลอินเดีย

เล่มที่ 4 สงครามระหว่างเจ้าชายแห่งทาร์ทาร์และเรื่องราวต่างๆในดินแดนทางตอนเหนือ

อ่านถึงตรงนี้บางคนอาจสงสัยว่ากุไลข่าน ที่ชื่อดูคล้ายเจงกีสข่านมาเกี่ยวอะไร มาร์โค โปโล เค้าไปเมืองจีนไม่ใช่หรอ ไม่ได้ไปมองโกลนิ

ต้องบอกว่าในยุคนั้นจีนถูกปกครองอยู่ภายใต้มองโกล หรือเจงกีสข่าน ก่อนจะถูกส่งต่อให้ กุบไลข่าน บุตรชายคนที่ 6 ขึ้นเป็นกษัตริย์ในการดูแลดินแดนที่ยิ่งใหญ่ต่อไป

เจงกีสข่าน กษัตริย์ที่สามารถพิชิตดินแดนได้เกือบทั้งโลกในตอนนั้น สามารถบุกไปถึงยุโรปได้ด้วยทักษะการขี่ม้าและยิ่งธนู จนไม่มีกษัตริย์นักรบคนไหนทำได้อีก รองลงมาก็ได้ไม่ถึงครึ่งของเจงกีสข่านด้วยซ้ำ

ในตอนแรกพ่อและลุงของมาร์โค โปโล ได้มาถึงแผ่นดินจีนภายใต้การปกครองของข่านผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้อยู่นานด้วยความที่ต้องรีบเอาข่าวไปบอกให้พวกพ้องตัวเองที่ยุโรปรู้ว่าตัวเองได้มาเจอชาติที่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์มากมาย แต่การเดินทางสมัยก่อนไม่ได้มีรถยนต์หรือสายการบิน Low Cost แบบทุกวันนี้ ก็เลยต้องรอนแรมเป็นปีๆกว่าจะกลับไปถึงบ้านที่อิตาลี

ครั้นกลับไปถึงอิตาลีเมียก็ตาย แถมมาร์โค โปโล ที่เป็นลูกชายก็โตเป็นหนุ่มอายุ 15 แล้ว ก็เลยพาลูกค้าเดินทางกลับไปเข้าเฝ้าข่านอีกครั้ง

พอไปถึงกุลไล ข่าน ก็ดีใจต้อนรับขับสู้ยกใหญ่และมอบตำแหน่งสำคัญในราชการให้ตระกูลโปโล ทั้งพ่อ อา แล้วก็มาร์โค

มาร์โค โปโล เป็นที่ถูกใจของกุบไล ข่าน มากเพราะเวลาได้เดินทางไปทำหน้าที่ต่างๆแทนพระองค์ยังดินแดนต่างๆที่กว้างใหญ่ ก็มักจะจดบันทึกเรื่องราวของผู้คนและบ้านเมืองที่เดินทางไป รวมถึงเรื่องแปลกๆทั้งหลายเอากลับมาเล่าให้กุบไล ข่าน ฟัง

มาร์โค โปโล เลยเป็นที่ชื่นชอบจนถูกคนอื่นในวังหมั่นใส้ไม่น้อยในเวลานั้น (นิสัยมนุษย์อะนะ)

เรื่องแปลกๆก็เช่น ช่างทำรองเท้าตาเดียวที่ไม่ได้เกิดมาตาบอด และไม่ได้ไปสู้รบหรือถูกลงโทษควักลูกตาแต่อย่างไร แต่เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งมีสาวงามผู้หนึ่งมาที่ร้านของเขาเพื่อลองรองเท้า เธอเอาเท้าให้เขาดูและบังเอิญว่าขาของเธอถูกเผยให้เห็น…ต้องบอกว่าสมัยก่อนตาตุ่มยังไม่ค่อยได้เห็นกันเลย

ช่างทำรองเท้าคนนั้นรู้สึกตะลึงกับความงามในขาหญิงสาวคนนั้น แต่ก็รู้สึกถึงบาปนั้นเช่นกัน เขาเลยเรียกสติตัวเองกลับมาด้วยบทสวดในใจทันทีว่า “หากดวงตาของข้าล่วงเกินเจ้าหล่อน ก็เอามันออกซะ มีดวงตาเพียงข้างเดียวแต่ได้อยู่ในดินแดนของพระเจ้าดีกว่ามีดวงตาสองดวงแต่ถูกส่งไปลงนรก” สวดไม่ทันจบเขาก็ใช้เครื่องมือทำรองเท้าควักลูกตาข้างขวาของตัวเองออกมาในทันที เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงแรงศรัทธาอย่างแรงกล้าของเขา
.
ก็เลยกลายเป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้านแต่นั้นมา
.
จนเวลาผ่านมาเมื่อถึงคราวที่กองทัพมุสลิม(ต้องบอกว่าในสมัยนั้นสงครามระหว่างศาสนาเกิดขึ้นเป็นประจำ)บุกเข้ามายึดเมืองและบังคับให้ชาวเมืองเปลี่ยนศาสนามานับถือพระเจ้าของตัวเองนั้น กษัตริย์ที่ชื่อคาลิฟ ก็ให้โอกาสชาวคริสต์ได้แสดงอภินิหารตามคัมภีร์ของชาวคริสต์ ถ้าทำได้จริงก็จะไม่มายุ่งเกี่ยวอีก แต่ถ้าไม่ก็ต้องเลือกเอาระหว่างเปลี่ยนศาสนาหรือโดนประหาร

ชาวเมืองก็เลยไปบอกให้ช่างทำรองเท้าตาเดียวผู้เปี่ยมศรัทธาคนนั้นช่วยสวดอ้อนวอนกับพระผู้เป็นเจ้าให้หน่อย ให้ช่วยเคลื่อนภูเขาตามพระคัมภีร์ให้ที

ช่างทำรองเท้าเป็นงง กูแค่ควักลูกตาตัวเองแต่เรื่องย้ายภูเขาใครจะทำได้ แต่ด้วยความขอร้องแกมบังคับจากชาวบ้านทุกคนก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลยขึ้นไปถึงบนภูเขา และทำท่าทำพิธีสวดขอพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยเคลื่อนย้อนภูเขาให้ที

ทางคาลิฟ กษัตริย์อีกฝ่ายก็รออย่างหวานหมูเพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางเป็นจริง แต่ที่ไหนได้ด้วยความบังเอิญเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ทำเอาภูเขาและแผ่นดินสั่นไปถ้วนหน้า กษัตริย์คาลิฟตกตะลึงในอภินิหารย์แล้วจากนั้นก็ไม่มายุ่งเกี่ยวกับชาวคริสต์ทั้งหลายอีกเลย

หรือเรื่องราวที่แปลกอีกเรื่องของแคว้นเปียน เป็นประเพณีแปลกๆของชาวบ้านที่ว่า หากชายที่แต่งงานแล้วจากบ้านไปเกินยี่สิบวัน ผู้หญิงที่เป็นภรรยาสามารถแต่งงานใหม่ได้เลย และผู้ชายก็เช่นเดียวกันก็สามารถแต่งงานใหม่ได้

หรือเรื่องแปลกสุดประหลาดที่ตำบลคามูล ที่ตั้งอยู่ในแคว้นตังกุธ ที่อยู่ในอาณานิคมของข่านผู้ยิ่งใหญ่ ประเพณีสุดประหลาดกว่าเรื่องเมื่อกี๊คือเมื่อมีผู้แปลกหน้ามาเยือนที่บ้าน และต้องการที่พักอาศัยและเครื่องอำนวยความสะดวก พวกเขาจะยินดีอย่างยิ่งที่จะต้อนรับ แถมยังสั่งให้เมีย ลูกสาว น้องสาว และญาติทั้งบ้านที่เป็นผู้หญิงมาปฏิบัติอย่างดี แล้วผู้ชายก็จะออกจากบ้านไปจนกว่าแขกจะอิ่มเอมพอใจจนกลับ

ถ้าแขกยังไม่กลับก็ยังไม่เข้าบ้าน

เพื่อแลกกับการที่แขกผู้มาพักต้องทิ้งเงินทองข้าวของบ้านนั้นต้องการ สรุปคือการขายผู้หญิงทั้งบ้านแทนค่าเข้าพักนั่นเอง

หรือเรื่องผ้าที่ใช้การเผาไฟแทนการซักน้ำทำความสะอาดที่เมืองชินชิทาลาส เค้ามีผ้าชนิดหนึ่งที่ถักทอด้วยวัสดุพิเศษที่เมื่อเวลาใส่จนดำแล้วไม่ต้องล้างน้ำซัก แค่โยนเข้าไปในกองไฟให้ถูกเผา ผ้าก็จะออกมาขาวสะอาดเหมือนใหม่กลับมาใส่ได้เหมือนเดิม

งานนี้ผงซักฟอก Omo มีร้อง Oho เพราะขายไม่ได้ในเมืองนี้แน่ๆครับ

หรือสุดท้ายเพิ่งรู้ว่าเจงกีสข่านนั้นเสียชีวิตเพราะถูกธนูเข้าที่หัวเข่าจนบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่ปราสาทที่ชื่อว่า “ไทจิน” ทำให้นึกถึงประโยคสุดคลาสสิคเมื่อหลายปีก่อนในเกมนึงว่า “จนกระทั่งถูกธนูเข้าที่เข่า” น่าจะมาจากเรื่องของเจงกีสข่านแน่ๆครับ

หรืออีกเรื่องวัฒธนธรรมที่แปลกๆของชาวทาร์ทาร์ หรือมองโกล ตระกูลข่าน ในยุคสมัยนั้น คือการที่ลูกสามารถเอาแม่เลี้ยงมาเป็นเมียได้เมื่อผู้เป็นพ่อเสียชีวิต หรือเอาง่ายๆผู้หญิงของคนในครอบครัวก็จะถูกเปลี่ยนมือเป็นเมียคนอื่นในครอบครัวเมื่อผู้เป็นสามีตายไป ทำให้หลานสามารถเอาป้ามาหมายปองมาเป็นเมียได้ถ้าลุงตายไป

ฟังดูแหยงๆแปลกๆเหมือนกันครับอันนี้

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งจากเรื่องราวกว่า 327 หน้าของบันทึกการเดินทางมาร์โค โปโล เล่มนี้

บางครั้งการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ ก็เริ่มจากแรงบันดาลใจที่เล็กๆ อย่างหนังสือหนึ่งเล่มนี้แหละครับ ที่กระตุ้นให้ชาวยุโรปส่วนใหญ่แสวงหาดินแดนแห่งโอกาสอย่างเมืองจีน ที่แม้ว่าหลายคนในวันนั้นจะบอกว่าเป็นเรื่องโกหกไร้สาระของชายที่ไม่น่าเชื่อถือคนนี้

บางครั้งความฝัน จินตนาการ กับความจริง ก็มีเพียงเส้นบางๆที่กั้นให้เราข้ามไปอยู่

ชัยชนะไม่ใช่เป็นของผู้ที่ลงมือทำ แต่เป็นของผู้ที่ทำอย่างไม่ลดละต่างหากครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 100 ของปี 2018

The Travels of Marco Polo
การเดินทางของมาร์โค โปโล
Manuel Komroff รวบรวม
รวีโรจน์ เตยต่อวงศกุล แปล
สำนักพิมพ์ ยิปซี

20180808

อ่านสรุปหนังสือแนวประวัติศาสตร์ต่อ https://www.summaread.net/category/history/

สนใจสั่งซื้อได้ที่ http://bit.ly/2m060NS

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/