เป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของ 11 เมืองที่คุ้นหูจากทั่วโลก แต่เนื้อเรื่องนั้นกลับไม่คุ้นที่เคยรู้เอาซะเลย ที่พูดแบบนี้ใช่ว่าไม่น่ารู้ แต่กลับน่ารู้และน่าจะรู้ตั้งนานแล้ว

หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมรู้จัก 11 เมืองในอีกมุมมอง ไม่ว่าจะฮอกไกโดที่เอาสนามบินมาเป็นตัวแทนเมืองทั้งเมือง หรือมิลานเมืองดังอิตาลีที่ไม่ได้ชิลๆแบบอิตาลีที่คุ้นเคย ปารีสเมืองแห่งประวัติศาสตร์ที่แท้จริงแล้วเพิ่งถูกครอบสร้างขึ้นมาใหม่ หรือเกียวโตเมืองใกล้แค่ 6 ชั่วโมงเมื่อบินไป แต่กลับมีประวัติศาสตร์ของผ้าไหมทอมือที่ผ่านมาหลายร้อยปี ซานฟานเมืองแห่งการเริ่มต้น ที่เริ่มต้นเป็นเมืองแรกๆที่จะรีไซเคิลขยะให้ได้ร้อยเปอร์เซนต์ในประเทศ แถมยังมีเป้าว่าจะใช้พลังงานทดแทนทั้งหมดภายในปี 2030 อีกด้วย

โตเกียวเมืองที่สร้างป่าขึ้นมาด้วยน้ำมือมนุษย์ ที่คิดเผื่อไว้เป็นร้อยๆปีให้ป่าอยู่ด้วยตัวเองได้ ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ที่ไม่ได้มาเล่าเรื่องฟุตบอล แต่มาเล่าถึงวันวานสมัยเป็นเมืองอุตสาหกรรมแรกของโลก เดนเวอร์เมืองแห่งความสมดุลของอเมริกา ในวันที่อะไรก็พัฒนาไปทุกด้าน แต่เดนเวอร์กลับเป็นจุดที่ลงตัวในทุกด้านของชีวิตที่กำลังดี ดีทรอยต์เมืองที่ล้มละลาย ควรศึกษาไว้ให้ไม่ซ้ำรอย และสุดท้ายเมืองเทพเมืองสวรรค์ เมืองกรุงอย่างกรุงเทพ กับเรื่องราวของถนนเจริญกรุงที่เคยรุ่งเรืองและซบเซา พร้อมกับกำลังหาทางกลับมาเป็นถนนเส้นสำคัญอีกครั้ง

เห็นมั้ยครับว่าเต็มไปด้วยเรื่องราวของเมืองจริงๆ แต่เป็นเรื่องราวที่อ่านสนุก ถ้าเปรียบเป็นอาหารก็บอกได้เลยว่ากินอร่อย แถมยังกินเพลินกินได้บ่อยแบบไม่เลี่ยน ดีไม่ดีกินหมดแล้วยังไม่อยากให้จบเสียด้วยซ้ำ

อย่างผมเพิ่งรู้ว่าช็อคโกแลต Royce นั้นผลิตที่ฮอกไกโด เพราะเป็นเมืองที่มีทั้งวัวเนื้อและวัวนมชั้นดีมากมาย จนทำให้เกิดผลผลิตนมมากมายออกสู่ท้องตลาด จนช่วงนึงต้อง PR ให้คนทั้งประเทศหันมาดื่มนมจากฮอกไกโดมากขึ้น ผ่านองค์จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นที่ออกมาป่าวประกาศว่าดื่มนมทุกวันๆละสองเวลา เท่านั้นแหละครับกระแสดื่มนมก็พรั่งพรูทั่งญี่ปุ่นในทันทีเลย

แล้วที่เราเห็นว่าฮอกไกโดเป็นภูมิภาคที่ดูอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ ไหนจะผลไม้ ไหนจะนม ไหนจะเนื้อ แต่แท้จริงแล้วสภาพภูมิอากาศของฮอกไกโดไม่ได้เอื้อต่อการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์แต่อย่างไรเลยนะครับ ด้วยอากาศที่ทั้งหนาวและแห้งแล้ว แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทั้งประชาชนและภาครัฐ ทำให้ผืนดินที่แห้งแล้งก็ชุ่มฉ่ำได้ด้วยหัวใจคน

Milan เมืองแห่งแฟชั่นที่ประกาศชัดว่าไม่เอาแมค

แมคโดนัลด์ฟาสต์ฟู้ดังคับโลก ครั้งนึงเคยได้ที่ๆดีที่สุดกลางเมืองมิลาน แต่ทางการเมืองมิลานกลับยอมจ่ายค่าปรับแสนแพงเพื่อยกเลิกสัญญาแมคโดนัลด์ เพื่อเอาพื้นที่นั้นกลับมาให้แบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Prada ได้อวดโฉมเฉิดฉาย เป็นการสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นที่น่านับถือของข้าราชการเมืองมิลานตอนนั้นมากเลยครับ

ดังนั้นถ้าเราคยเห็นภาพชาวอิตาลีที่เป็นพวกสโลว์ไลฟ์ ใช้ชีวิตสบายๆชิลๆอาบแดดไปเรื่อยๆ ก็ต้องบอกว่านั้นก็ไม่ใช่ความเข้าใจผิด แต่เป็นการเข้าใจถึงวิธีชีวิตชาวอิตาลีแค่ครึ่งเดียว เพราะนั่นคือวิถีชีวิตแบบอิตาลีตอนใต้ แต่สำหรับอิตาลีตอนเหนืออย่างมิลานแล้วนั้น กลับทำงานอย่างเอาจริงเอาจังไม่แพ้เมืองใดในยุโรปเลย

เสน่ห์อีกอย่างของอิตาลีคืองานศิลปะ และหนึ่งในงานศิลปะที่ดังก้องโลกก็คือภาพ The Last Supper ที่ดังจากหนังสือ Da Vinci Code ที่สร้างสรรค์โดยศิลปินดังก้องโลกอย่าง Leonado Da Vinci โชคดีของอิตาลีที่ภาพนี้ไม่ใช่ภาพวาดบนผืนผ้าใส่กรอบ เพราะไม่อย่างนั้นมันคงจะถูกขนย้ายไปตอนช่วงสงครามโลก โชคดีที่ว่าคือภาพนี้ถูกวาดเอาไว้ที่ผนัง ทำให้ย้ายไปไหนไม่ได้ นอกจากจะย้ายตัวเข้ามาหาภาพเอง

และที่สำคัญคือภาพวาดนี้ถูกทำให้เข้าถึงยากมาก ใช่ว่าจะเดินดุ่มๆเข้าไปดูได้เลย เพราะต้องจองคิวล่วงหน้าเป็นเดือนๆ หรือไม่ก็ต้องจ่ายเงินค่าลัดคิวราคาแพงเพื่อได้เข้าชมเพียง 15 นาที

แต่ 15 นาทีนั้นก็เพียงพอที่จะได้ซึมซับความงามระดับโลกที่อาจจะพาคุณไปอีกโลกเลยก็ได้

Paris เมืองแห่งความโรแมนติค และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ แต่ถ้าผมไม่ได้อ่านเล่มนี้ผมก็จะไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวของปารีสนั้นเพิ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้เอง

จากเดิม Paris คือเมืองแห่งศาสนาคริสต์ แต่เปลี่ยนแปลงการปกครองทำให้บรรดาผู้นำอยากจะลบล้างภาพเมืองแห่งศาสนาคริสต์ออกไป จากความเชื่อถูกครอบงำด้วยความคิด อย่างมหาวิหารนอร์ทเทรอดาม จากศาสนสถานของคาทอลิกจากยุคกลาง ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่เพื่อรับใช้ลัทธิเหตุผล หรือที่เรียกว่า Cult of Reason และต่อยอดไปอีกขั้นเป็น ลัทธิแห่งสิ่งสูงสุด หรือ Cult of the Supreme Being

เอาเป็นว่าขนาดรูปปั้นพระแม่มารียังถูกแทนที่ด้วยเทพีเสรีภาพในปารีสเลยครับ

แล้วใครจะรู้ว่าปารีสเดิมทีนั้นเป็นเมืองแออัด ถนนหนทางก็เล็กคับแคบ แต่ที่เราเห็นว่าเมืองดูโปร่งโล่งสบายมีถนนสายใหญ่อย่างทุกวันนี้ นั้นมาจากการรื้อสร้างเมืองใหม่ที่ต้องทำลายเมืองเก่าไปกว่า 60%

ถ้าจะบอกว่าปารีสเป็นเมืองที่สร้างใหม่จากการทำลายก็ว่าได้ครับ

เมืองสุดท้ายที่น่าทึ่งในเล่มที่ผมชอบมากคือโตเกียว

คุณเคยไปศาลเจ้าเมจินมั้ยครับ ทุกครั้งที่ผมไปโตเกียวผมต้องแวะไปสถานที่แห่งนี้ทุกที เพราะที่แห่งนี้คือป่ากลางเมืองที่แท้จริง เรียกได้ว่าพอเดินเข้าไปปุ๊บคุณจะรู้สึกทันทีว่ามันเย็นขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ครั้งนึงผมเคยเดินเข้าไปตอนหน้าหนาว จากที่ถอดถุงมือเดินสบายๆนั้นหนาวจนรีบหยิบมาใส่แทบไม่ทัน

และป่ากลางเมืองอย่างศาลเจ้าเมจินแห่งนี้ก็ถูกออกแบบมาให้อยู่ได้เป็นร้อยปี แถมเพิ่งรู้ว่าการปลูกป่าไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้นะครับ แต่เป็นการเข้าใจในระบบนิเวศ เข้าใจว่าป่าต้องมีต้นอะไรมากน้อยแค่ไหนบ้าง ต้องคำนึงถึงอายุต้นไม้ที่ใส่เข้าไป เพื่อให้ต้นไม้ทั้งหลายที่ลงมือปลูกไปสามารถสร้างระบบนิเวศที่อยู่ด้วยตัวเองได้เป็นร้อยๆปี

การปลูกต้นไม้ไม่ใช่การปลูกป่า และการปลูกป่าก็ไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้นะครับ

สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่เมืองไหน จะเมืองหลวงหรือเมืองรอง จะเมืองรองหรือเมืองย่อย ทุกเมืองก็ย่อมมีเรื่องราวที่เป็นเรื่องเล่าในแบบของตัวเอง แต่ละเมืองก็มีเสน่ห์ต่างกันไป ไม่ต้องไปอิจฉาเมืองใคร แค่หาความสุขใจในเมืองที่อยู่ให้เจอก็พอ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 17 ของปี 2019

CITIES
ความเมืองเรื่องบ้าน
Little Thoughts

20190321

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/