เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นอยู่รวมถึงสิทธิของหญิงไทยแต่อดีตให้เราเข้าใจ ว่าแต่ดั้งเดิมแล้วหญิงไทยนั้นมีสิทธิมากมายกว่าหญิงใดในโลก ไม่ว่าจะฝรั่ง จีน แขกชาติใดก็ตาม ที่รู้แล้วจะพาลอิจฉาว่าทำไมหญิงไทยถึงแลดูมีอภิสิทธิ์เหนือชายซะเหลือเกิน จนไม่แน่ใจว่าควรจะเป็นฝ่ายชายหรือไม่ที่ต้องออกมาเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศที่แท้จริง

ก่อนจะสรุปต่อขอเล่าถึงผู้เขียนนิดนึงครับ ผู้เขียนคืออาจารย์ธาวิต สุขพานิช ท่านเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ครอบครัวที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นสิบๆปี ถ้าจะบอกว่าท่านเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ก็คงไม่ผิดนัก และนั่นก็เลยเป็นเหตุผลสำคัญที่ออกหนังสือเล่มนี้ เพราะต้องการให้คนทั่วไปได้รู้ว่าสิทธิสตรีที่เรียกร้องกันในวันนี้นั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นการเข้าใจผิดคิดตามฝรั่ง หลงตามราชสำนักจีน(ที่เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง) เพราะสตรีไทยแต่เดิมนั้นแทบจะเรียกได้ว่ามีอภิสิทธิ์จนหญิงทั่วโลกต้องอิจฉา ขนาดหมอฝรั่งบรัดเลย์ชื่อดังที่เคยมาอยู่บางกอกเมื่ออดีตยังอดพูดไม่ได้เลยว่าดีกว่าที่ยุโรปประเทศตนนัก

ส่วนหญิงไทยนั้นมีอภิสิทธิ์ยังไง ต้องตกเป็นเสมือนทาสในเรือนเบี้ยถูกชายข่มเหงต่างๆนาๆจริงมั้ย มาครับมา ผมจะสรุปให้ฟังครับ

ชางเท้าหน้าคือขี้ข้าช้างเท้าหลัง

สุภาษิตแสนคลาสสิคประโยคนี้ที่เรามักเข้าใจกันว่า ผู้ชายคือผู้นำ ส่วนผู้หญิงคือผู้ตามนั้น ผู้เขียนบอกว่าแท้จริงแล้วเราอาจเข้าใจผิด เพราะสังคมไทยนั้นไม่ได้เป็นระบบผู้นำกับผู้ตาม แต่เป็นระบบการปกครองแบบบนลงล่าง พอมองมุมกลับเมื่อเปรียบเทียบกับการเดินทัพจะพบว่า ทัพหน้านั้นคือพวกที่ถูกส่งไปตายก่อน ส่วนผู้มีอำนาจแท้จริงนั้นอยู่ทัพหลัง พอฟังแบบนี้ก็ทำให้คิดได้ว่าแท้จริงแล้วช้างเท้าหน้าที่ชายไทยภูมิใจ ก็อาจจะเป็นแค่ตัวตายตัวแทนของช้างเท้าหลังที่เป็นหญิงไทยเป็นผู้สั่งการก็ได้ครับ

ฟังแบบนี้แล้วรู้สึกใจสั่นๆเลยใช่มั้ยครับ

การแต่งงานเลือกคู่สมัยก่อนหญิงไทยนี่มีอภิสิทธิ์เต็มๆ

อย่างคำว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่เราคุ้นเคยกันเวลาพิธีแต่งงานนั้น บางคนอาจจะพอรู้ว่าเจ้าบ่าวที่ใช้เรียกฝ่ายชายนั้นแต่เดิมหมายถึงคนรับใช้ ผู้ชายต้องเข้าไปเป็นคนรับใช้ให้บ้านหรือครอบครัวฝ่ายหญิง จนกว่าครอบครัวและตัวผู้หญิงจะพอใจถึงจะรับไว้เป็นผัวอย่างเป็น officially ครับ

เมื่อการแต่งงานแต่เดิมของสังคมไทยคือฝ่ายชายต้องย้ายเข้าบ้านฝ่ายหญิง แล้วเรือนหอนั้นก็เท่ากับว่าผู้หญิงเป็นเจ้าของ ฝ่ายขายเลยมีสถานะเป็นเหมือนผู้อยู่อาศัยเท่านั้น ถ้าวันใดฝ่ายหญิงไม่พอใจอยากหย่า ก็สามารถไล่ฝ่ายชายออกจากเรือนหอได้ง่ายๆไม่ต้องวุ่นวายเหมือนสมัยนี้เลยครับ

และจากข้อนี้เองก็เป็นเหมือนข้อแก้ต่างให้ฝ่ายชาย ที่เคยเชื่อกันว่าผู้ชายไทยสมัยก่อนชอบตบตีเมีย หรือบังคับกดขี่เมียต่างๆนาๆ ลองคิดดูซิครับว่าถ้าคุณเป็นผู้ชายที่ต้องไปอาศัยอยู่บ้านครอบครัวเมีย คุณจะกล้าลงไม้ลงมือกับเมียจริงๆหรือ เพราะถ้าทำจริงมีหวังคงโดนฝ่ายครอบครัวเมียรุมกระทืบจนม้ามแตกก่อนถูกโยนออกจากเรือนหอที่เป็นบ้านของเมียแน่ๆครับ

พออ่านถึงตรงนี้คุณอาจมีข้อโต้แย้งที่ว่า แต่สมัยก่อนชายไทยเจ้าชู้ มีหลายเมีย ผู้หญิงที่ไหนจะไปทนได้

โอเคครับ ข้อนี้ไม่เถียง ชายไทยอาจมีหลายเมียจริง แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถทำได้ไปทั่วหรือชายไทยทุกคนสามารถทำได้เสมอไป เพราะการจะมีอะไรกับผู้หญิงซักคนนึงตามกฏหมายสมัยนั้นผู้ชายต้องสามารถดูแลรับผิดชอบฝ่ายหญิงได้ ต้องมีเรือนหอใหม่ให้ฝ่ายหญิง เรียกได้ว่าถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถมีเมียเพิ่มได้ ดังนั้นผู้ชายที่สามารถมีหลายเมียได้จริงๆก็จะเป็นแค่คนส่วนน้อย ที่เป็นพวกเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น ก็คงไม่ต่างอะไรกันกับอาเสี่ยหรือคนรวยๆทุกวันนี้ที่มีบ้านเล็กบ้านน้อยซ่อนไปทั่วใช่มั้ยครับ

และใช่ว่าจะมีแต่ชายเท่านั้นที่ทำได้ ผู้หญิงเองถ้าไม่พอใจก็สามารถเลิกไปมีผัวใหม่ได้ทันใจเหมือนกันครับ

กฏหมายสมัยก่อนให้อภิสิทธิ์ผู้หญิงค่อนข้างมาก มากเสียใจบอกว่าถ้าผู้หญิงใดต้องมีชู้ก็ให้ถือว่าเป็นความผิดชอบผัว เพราะการที่ผู้หญิงต้องมีชู้นั่นหมายความว่าตัวผัวคงไม่สามารถทำให้เมียมีความสุขหรือพอใจได้ ก็ให้ถือว่าถ้าเมียมีชู้เมื่อไหร่ ก็ให้เป็นการหย่าขาดกันไปโดยอัตโนมัติ

ฟังแล้วยังไงครับคุณผู้ชาย ความผิดคุณเต็มๆเลยนะครับเนี่ย

แล้วค่านิยมผัวเดียวเมียเดียวมาจากไหนล่ะ

อันนี้ก็ต้องบอกว่าไทยเราน่าจะรับมาจากฝรั่ง เพราะนี่เป็นค่านิยมของฝรั่งมาช้านานว่าผู้หญิงควรมีผัวเดียว เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของสายเลือดหรือวงศ์ตระกูลของฝ่ายชายเอาไว้ เพื่อป้องกันปัญหาเด็กที่เกิดมาไม่ใช่ทายาทที่แท้จริงของฝ่ายชาย เพราะสังคมฝรั่งนั้นมีการสืบทอดทรัพย์สินจากรุ่นสู่รุ่นมาช้านานแล้วครับ และยิ่งบวกกับศาสนาคริสต์ยิ่งทำให้การแต่งงานเป็นไปเพื่อพระเจ้า เป็นไปเพื่อการมีลูกเพื่อเพิ่มสมาชิกของคริสตศาสนาไปพร้อมๆกัน ดังนั้นการมีผัวเดียวเมียเดียวจึงเป็นวัฒนธรรมของฝรั่งหาใช่ของสังคมไทยแต่เดิมไม่

และยิ่งเรื่องการรักษานวลสงวนตัวนี่ก็หาใช่ของไทยแต่เดิมไม่ แต่เป็นค่านิยมจากราชสำนักจีน ที่ถือกันว่าผู้หญิงต้องเก็บตัวให้มิดชิดห้ามเข้าใกล้ชายใด ต้องเก็บไว้ให้ชายที่จะมาเป็นสามีเท่านั้น แต่กับผู้ชายนั้นต่างไปจะมีกี่เมียก็ได้ แต่ทุกเมียที่กำลังจะมีควรต้องเป็นหญิงบริสุทธิ์ไร้มลทินเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อไทยเราเปิดประเทศมีการติดต่อค้าขายกับฝรั่ง และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีนเป็นประจำ ทั้งสองค่านิยมอย่างผัวเดียวเมียเดียวและการรักนวลสงวนตัวถือความบริสุทธิ์เอาไว้ก็เลยค่อยๆกลายเป็นค่านิยมของไทยไปโดยไม่รู้ตัว โดยเริ่มจากชนชั้นสูงที่เป็นผู้ติดต่อก่อนในตอนนั้น จนถ่ายทอดมาสู่ชนชั้นกลางและก็กลายเป็นค่านิยมของคนทุกชนชั้นในวันนี้

กลับมาที่หญิงไทยทำไมถึงมีอำนาจซะเหลือเกินในบ้าน ต้องบอกว่าด้วยระบบเกณฑ์แรงงานชายไทยหรือ “ไพร่” ที่เรียกกันให้เข้ากรมเข้าวังไปรับใช้ตามคำสั่งนโยบาย ซึ่งแรงงานที่ต้องเสียให้นี้ก็คือภาษีอย่างหนึ่งในสมัยนั้นแหละครับ

ชายไทยจะถูกเรียกเข้าไปทำงานในวังเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนและออกมาพักหนึ่งเดือน หรืออาจจะเข้าไปครึ่งปีและออกมาอยู่บ้านครึ่งปี เพราะแบบนี้ชายไทยถึงอยู่ไม่ติดบ้าน ผู้หญิงเลยต้องดูแลทั้งบ้านทั้งครอบครัว รวมไปถึงธุรกิจที่ต้องทำเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว รวมไปถึงหาเลี้ยงชายผู้เป็นผัวไปด้วยครับ

เพราะผู้ชายไทยสมัยก่อนทำอะไรไม่ค่อยเป็น อย่างที่บอกโดนเรียกเข้าไปในวัดในวังก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่นอกจากใช้แรงงานบ้าง พอกลับออกมาอยู่บ้านก็เลยได้แต่นั่งๆนอนๆ ครั้นจะหือกับเมียก็คงไม่กล้าเพราะถ้าเมียไม่ให้ข้าวกินก็คงต้องอดตายเป็นแน่

ขอกลับมาเรื่องความบริสุทธิ์หรือรักนวลสงวนตัวอีกนิด ผู้เขียนให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจว่าสมัยก่อนสังคมไทยน่าจะให้เครดิตกับผู้หญิงที่มีประสบการณ์มากกว่าความบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก เพราะไม่งั้นคงไม่มีสุภาษิตที่ให้ค่ากับผู้หญิงที่มีประสบการณ์แล้วอย่าง “กระดังงาลนไฟ” หรือ “กระท้อนทุบ” ที่ยิ่งทุบยิ่งหวานหรอกนะครับ

สุดท้ายแล้วครอบครัวไทยในสมัยก่อนก็ไม่ได้เน้นความ “อบอุ่น” หรือ “ใกล้ชิด” แบบฝรั่ง แต่ครอบครัวไทยออกจะไปแนวดูแลให้ “ร่มเย็น” มากกว่า ครอบครัวไทยแต่อดีตนั้นค่อนข้างให้อิสระกับลูกๆมาก เรียกได้ว่าใครอยากทำอะไรก็ทำ อยากไปมีผัวก็ไป พ่อแม่ห้ามหรือบังคับไม่ได้ เพราะมีคดีความเป็นหลักฐานที่พ่อแม่ขายลูกบังคับให้ไปเป็นเมียคนมีเงิน โดนสั่งปรับสั่งเฆี่ยนโบยก็มี

ความร่มเย็นแบบครอบครัวไทยคือการที่ปล่อยให้แต่ะคนมีอิสระของตัวเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีปัญหาก็ค่อยกลับมาบ้านให้พ่อแม่ช่วยหาทางแก้ให้ ก็เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “หนีร้อนมาพึ่งเย็น” ที่เหมือนพวกลูกนักการเมืองบ้านเราชอบพูดกัน “รู้มั้ยกูลูกใคร” ประมาณนี้แล้วกันครับ

ที่เหลืออยากให้ลองหาอ่านเอาเอง แต่คงจะหายากนิดนึง เพราะหนังสือเล่มนี้ผมบังเอิญไปได้มาที่ร้านของสำนักพิมพ์สมมติ ที่อยู่นอกเมืองตรงเส้นกาญจนา และก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆที่ได้หนังสือเล่มนี้มา เป็นเรื่องราวใกล้ตัวของเราที่เราคิดว่าเรารู้แต่แท้จริงแล้วเรากลับไม่รู้อะไรเลย

ในอดีตหญิงไทยโชคดีมากที่มีอิสระไม่เหมือนหญิงชาติไหนในโลก แต่เพราะความพยายามรับเอาความเป็นฝรั่งตะวันตก รับเอาความเป็นโลกาภิวัฒน์เข้ามามากไปในช่วงเวลาหนึ่ง โดยไม่ดูสภาพสังคมไทยว่าอะไรใช้ได้ใช้ไม่ได้ซักเท่าไหร่ ทำให้ความเป็นไทยมันผิดๆเพี้ยนๆไปประมาณนึง ในวันนี้เราก็เลยเหมือนการพยายามเรียกหาสิ่งเดิมที่เคยมีแต่กลับไม่รู้ว่าเคยมีคืนมาอีกครั้ง

อ่านแล้วเล่า 108 เรื่องที่หญิงไทยควรรู้ (แต่ไม่เคยรู้ เพราะหลงนึกว่ารู้ๆดีกันอยู่แล้ว)

ธาวิต สุขพานิช เขียน
สำนักพิมพ์ จักรวาลวิทยา

เล่มที่ 129 ของปี 2018
20181129

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/