สรุปหนังสือ งานศพ ยุคแรกอุษาคเนย์ ที่เขียนโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ เล่มนี้ เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ในเรื่องของ “งานศพ” ที่เกิดขึ้นในบ้านเราและแถบเพื่อนบ้านเราตั้งแต่อดีตกาลจนถึงเกือบปัจจุบัน อ่านแล้วจะเห็นว่างานศพยุคก่อนนั้นต่างกับยุคนี้สิ้นเชิง บ้างก็ต้องจัดความรื่นเริ่งขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนรีบมีเพศสัมพันธ์กัน เพื่อให้รีบมีสมาชิกมาทดแทนคนเดิมที่ตายไปให้เร็วที่สุด
ถ้าอ่านถึงตรงนี้แล้วยังสนใจ รู้สึกสนุกที่จะหาความสุขจากประวัติศาสตร์งานศพ เชิญอ่านสรุปหนังสือเล่มนี้ต่อได้เลยครับ
งานศพ ที่ครั้งนึงเราต้องเป็นเจ้าภาพอย่างหนีไม่ได้ และอีกหลายครั้งในชีวิตที่เราต้องไปร่วมงานศพอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะคนในครอบครัว หรือคนใกล้ตัวอันเป็นที่รัก ล้วนก็ต้องมีงานศพเป็นของตัวเองครั้งหนึ่ง และครั้งเดียวในชีวิต
แต่รู้มั้ยว่า งานศพ เองก็มีที่มาที่ไปที่น่าสนใจและยาวนานให้เราได้เรียนรู้ หรือน่ารู้ไว้ก่อนตายเหมือนกัน
เริ่มจากกว่า 5,000 ปีก่อน ยังไม่มีการเผาเหมือนทุกวันนี้ มีแต่การฝังกับทิ้งไว้ให้แร้งกากิน
การฝังศพในสมัยนั้น เป็นพิธีกรรมของคนที่เป็นชนชั้นนำ ผู้มีอำนาจ และมีบริวาร หากเป็นสามัญชนคนทั่วไป ก็ทิ้งศพไว้ในที่ทั่วไปให้แร้งกาจิกกิน
1,500 ปีก่อน เริ่มมีการเผาศพ ที่ได้รับมาจากอินเดียหรือชมพูทวีป ที่แพร่เข้ามาถึงอุษาคเนย์หรือบ้านเรา พร้อมศาสนาพราหมณ์-พุทธ
400 ปีก่อน เริ่มมีเมรุเผาศพ แต่รู้มั้ยว่าเมรุเผาศพนั้นเป็นการเลียนแบบนครวัด เมรุเผาศพแรกมีราวหลัง พ.ศ. 2100
เมรุ อ่านว่า เมน เป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุ ไว้สำหรับเผาศพเจ้านายชั้นสูง เริ่มในสมัยพระเจ้าปราสาททอง
เมรุ หรือ พระเมรุ แรกมีในยุคกรุงศรีอยุธยา สร้างเลียนแบบนครวัด “วิษณุโลก” ที่จำลองเขาพระสุเมรุจากปราสาทนครวัด ที่เป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์
ปราสาทนครวัดนั้นแท้จริงแล้วเป็นเทวสถานที่เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ หรือศพของเชื้อพระวงศ์ชนชั้นนำ
ส่วนเมรุแบบถาวรในบ้านเรานั้น แห่งแรกที่สร้างขึ้นอยู่ในวัดเทพศิรินทราวาส ราวเกือบ 100 ปีมาแล้ว และยังใช้พระราชทานเพลิงศพจวบจนทุกวันนี้
แต่เดิมคนโบราณหลายพันปีก่อนเชื่อว่าคนตายเพราะขวัญหาย ต้องทำพิธีเรียกขวัญนานหลายวันในบ้านคนตาย มีการขับลำทำเพลงสนุกสนานเฮฮาอึกทึกครึกโครมเพื่อให้ขวัญได้ยิน แล้วจะได้กลับเข้าร่างถูกทาง จนกลายเป็นต้นแบบมหรสพของงานศพในบ้านเราทุกวันนี้ ว่าทำไมต้องมีรำ มีลิเก มีความบันเทิงในงานศพทั้งๆที่ควรจะเศร้า
แถมสมัยก่อนงานศพบ้านเราก็ไม่ได้แต่งดำไว้ทุกข์กันเหมือนทุกวันนี้ แต่ทุกคนต่างแต่งตัวสีสันฉูดฉาดอย่างกับไปงานวัด เพราะต่างคนต่างไปดูลิเกโขนรำ ไปเสพความบันเทิงจากงานศพไม่ใช่ไปเพื่อเศร้า
การแต่งดำไว้ทุกข์เพิ่งมาเริ่มในสมัย ร.5 ด้วยการเลียนแบบฝรั่งตะวันตก เริ่มที่กรุงเทพเมืองหลวง จนค่อยๆกระจายไปทั่วประเทศ
ถ้าใครจะแต่งสีสันไปงานศพจะบอกว่าเป็นการทำตามประเพณีโบราณของไทยก็ไม่ผิดนะครับ (แต่ระวังโดนดีเอาเองนะ)
เมื่อ “ขวัญ” เกี่ยวกับ “ชีวิต” สังเกตมั้ยว่าเราทุกคนล้วนมี “ขวัญอยู่บนหัว” ที่ดูว่าผมขึ้นหมุนวนซ้ายหรือวนขวา หรือบางคนพิเศษหน่อยก็มีสองขวัญ สามขวัญ ด้วยขวัญที่อยู่บนหัวนี้จึงทำให้คนไทยแต่เดิมนั้นถือเรื่องการ “เล่นหัว”
เพราะว่ามี “ขวัญอยู่บนหัว” เลยเชื่อว่าเป็นศูนย์รวบรวมความมีชีวิตของเจ้าตัว ต้องดูแลรักษาไม่ให้ถูกกระทำรุนแรง เพราะถ้ากระทบกระเทือนจนขวัญเสียขวัญหาย ย่อมเป็นอันตรายถึงชีวิต เลยบอกได้ว่าเพราะเหตุใดทำไมคนไทยถึง “ถือหัว” ผิดกับคนชาติอื่น
ส่วนพิธีกรรมงานศพของชาวไทยหรืออุษาคเนย์ก็ใช้เวลานานมาก และอาจจะนานที่สุดในโลกได้ เพราะต้องมีทั้งทำพิธีเรียกขวัญด้วยความบันเทิงเสียงดังให้ขวัญกลับเข้าร่างเพื่อจะได้ฟื้นคืน และถ้าขวัญไม่กลับเข้าร่างก็ต้องทำพิธีส่งขวัญไปสวรรค์ให้ถูกต้องอีก เลยทำให้งานศพไทยนั้นนานกว่าชาติใดในโลกก็ว่าได้
สุดท้ายแล้วเรื่องแปลกที่สุดคือ สมัยก่อน(โบราณ)การมีเซ็กส์หน้าศพ หรือในงานศพถือเป็นเรื่องปกติ
เพราะการมีเซ็กส์ในงานศพถือเป็นพิธีกรรมสำคัญอย่างหนึ่งของบางชนเผ่า เพื่อต้องการรักษาสมดุลของจำนวนสมาชิกในเผ่า เพราะการสูญเสียแรงงานหนึ่งคนในชุมชนสมัยก่อนถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ก็เลยต้องสร้างแรงงานใหม่ขึ้นมาให้เร็วที่สุด
เป็นยังไงครับเรื่องราวของงานศพ งานใกล้ตัวที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร และไอ้ที่ทำๆกันเป็นปกติในงานศพนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร
อย่างน้อยก็รู้ไว้ เผื่อเวลาไปงานศพแล้วเจอคนที่สนใจแล้วไม่มีเรื่องคุย จะได้มีเรื่องคุยยังไงล่ะครับ
อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 91 ของปี 2018
สรุปหนังสือ งานศพ ยุคแรกอุษาคเนย์
สุจิตต์ วงษ์เทศ เขียน
สำนักพิมพ์ นาตาแฮก
20180713
อ่านสรุปหนังสือเล่มอื่นของสำนักพิมพ์ นาตาแฮก ต่อ > คลิ๊กที่นี่