สรุปหนังสือ สงครามที่ไม่มีวันชนะ

สรุปหนังสือ สงครามที่ไม่มีวันชนะ ของ นพ.ชัชพล เกียรติขจรธาดา เล่มนี้ น่าจะนิยามให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์อ่านสนุกอีกเล่ม เพราะนี่คือหนังสือประวัติศาสตร์ของการแพทย์ และเชื้อโรค ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเราทุกคนบนโลกครับ

หนังสือเล่มนี้ค่อยๆไล่เรื่องราวของการแพทย์ที่พยายามต่อสู้กับเชื้อโรค หรือความเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษยชาติมายาวนานมาก ตั้งแต่สมัยโบราณที่เจ็บป่วยที่ก็ต้องเข้าวัดวิหารไปนอนฝัน แล้วเอาฝันนั้นมาเล่าให้นักบวชฟัง จากนั้นนักบวชก็จะตีความให้ว่าเราป่วยเพราะไปขัดใจเทพเจ้าองค์ไหน จากนั้นก็ไปแก้บนให้เรียบร้อยซะแล้วจะหายป่วย

แต่ถ้าไปแก้บนตามคำแนะนำแล้วไม่หาย ก็ถือซะว่าเทพเจ้าท่านโกรธแค้นอาฆาตมาก ก็จบกันไปง่ายๆเท่านี้แหละครับ

การแพทย์ในยุคโบราณนั้นไม่ได้มองว่าการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับเรานั้นเกิดจากความผิดปกติภายใน แต่เชื่อกันว่าเกิดจากปัจจัยภายนอก เพราะธรรมชาติของมนุษย์ต้องสมบูรณ์แข็งแรงอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่สมบูรณ์แข็งแรงต้องเป็นปัจจัยภายนอกแน่ๆที่มาทำร้ายเราโดยไม่รู้ตัว

จนมาถึง Hippocrates (ฮิปโปคราตีส) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาการแพทย์แผนตะวันตก เพราะ Hippocrates ผู้นี้เป็นผู้ Dirupt วงการแพทย์ทั้งหมดในยุคนั้น จากที่บรรดาหมอมักจะชอบฉวยโอกาสจากคนใข้ ทั้งขูดรีดเงินทอง หลอกลวงต้มตุ๋น รวมจึงถึงใช้ประโยชน์ทางเพศจากคนใข้ตามใจชอบ ด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่ให้คนที่จะเป็นแพทย์ในสำนักของเขา ด้วยการเริ่มจากให้ปฏิญาณสาบานตนว่าจะรักษาคนใข้อย่างเต็มที่ และจะไม่เอาเปรียบคนใข้แต่อย่างใด และยังมีข้อห้ามต่างๆอีกมากมาย เอาทำให้ผู้คนในยุคสมัยนั้นนับถือแพทย์สำนัก Hippocrates มาก จนพาลให้แพทย์จอมหลวงลวงสำนักอื่นเจ๊งกันไปถ้วนหน้าครับ

และ Hippocrates คนนี้ที่ใช้การจดบันทึกอาการผู้ป่วยแต่ละคนอย่างละเอียด เพื่อเอาความรู้มารวบรวมถ่ายทอดสู่ลูกศิษย์ต่อๆกัน แล้วโรคไหนที่รักษาได้ก็จะเอาความรู้นั้นถ่ายทอดให้แพทย์คนอื่นในสำนัก เพื่อจะได้ช่วยกันรักษาคนออกไปให้ได้มากที่สุดครับ

แหม แล้วแบบนี้ผู้คนในยุคนั้นจะไม่รักและยกย่อง Hippocrates ได้อย่างไร

แต่วิธีการรักษาของ Hippocrates ก็ยังใช้กรอบการรักษาด้วยการสร้างสมดุลจากธรรมชาติรอบตัว ยังเป็นการดูที่ปัจจัยภายนอกไม่ใช่ภายในเหมือนการแพทย์ในปัจจุบันนี้ เช่น ถ้าตัวร้อนช่วงหน้าหนาว ก็ให้เพิ่มความร้อนภายในบ้านเพื่ออุณหภูมิร่างกายจะได้ลดลง เป็นต้น

ที่น่าสนใจในช่วงนี้คือ แนวความคิดเรื่องวิญญาณของมนุษย์เรานั้นก็มาจากกองไฟ เพราะเชื่อกันว่ามนุษย์มีธาตุไฟอยู่ในตัวร่างกายเลยมีความร้อน แล้วพอเสียชีวิตความร้อนในร่างกายก็หายไป คนในยุคนั้นก็เลยจินตนาการถึงกองไฟว่า ถ้ากองไฟดับลบสิ่งที่จะตามมาก็คือควันไฟ ดังนั้นก็เลยเกิดการจินตนาการไปว่าน่าจะมีควันไฟออกมาจากร่างกายเรา และนั่นก็น่าจะเป็นดวงวิญญาณที่เราเชื่อมาถึงวันนี้ ที่มันจะลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าไปยังสรวงสรรค์นั่นเอง

คุณรู้มั้ยว่าร้านตัดผมสมัยก่อนคือห้องผ่าตัด สมัยก่อนเวลาแพทย์จะสั่งให้ใครไปรักษาผ่าตัด แพทย์จะไม่เป็นคนลงมือเอง แต่จะให้นักตัดเป็นคนทำ และนักตัดคนนั้นก็เกิดร้านสำหรับตัดทุกอย่าง ตั้งแต่ตัดผมไปยันตัดแขนตัดขา เลยเป็นที่มาของแท่งกลมๆหมุนหน้าร้านที่เป็นสีขาวและแดงสลับกันเป็นเกลียว เพราะสมัยก่อนช่างตัดผม(หรือตัดทุกอย่างตามแต่จะได้ใบสั่งจากแพทย์มา)จะเอาผ้าพันแผลที่ซับเลือดไปแขวนหน้าร้านให้แห่ง แล้วพอลมพัดมามันก็จะหมุนๆแบบนั้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของร้านตัดผมจนถึงทุกวันนี้ครับ

แต่วิถีทางการแพทย์ทั้งหมดกำลังจะเปลี่ยนไปด้วยใส้ติ่งแตกอันเดียว

การแพทย์ในสมัยก่อนนั้นเชื่อว่าการเจ็บป่วยนั้นเป็นเรื่องขององค์รวม ไม่ใช่เรื่องเฉพาะจุดเฉพาะทาง จนกระทั่งพบว่าชายคนหนึ่งที่เจ็บช่องท้องด้านขวาจนเดินกะเผลกๆอยู่นานก่อนเสียชีวิตนั้นเกิดจากใส้ติ่งอักเสบจนแตกไป

ถ้าแพทย์ที่สงสัยคนนั้นไม่ลงมือศพเพื่อศึกษาก็คงจะไม่พบว่าในช่องท้องด้านขวานั้นเต็มไปด้วยหนองมากมาย ที่สะท้อนไปถึงอาการคนผู้ป่วยก่อนเสียชีวิตว่าปวดท้องด้านนั้นเป็นพิเศษ และต้องเดินกะเผลกเพื่อลงน้ำหนักไปอีกด้านของที่ปวด นี่เป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ที่ปฏิวัติวงการแพทย์ในยุคนั้นไปอีกครั้งครับ

และก็ด้วยเลนส์ขยายที่ทำให้เราได้รู้จักสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่จะกลายเป็นเชื้อโรคในครั้งแรก ด้วยเลนส์ขยายกำลังสูงทำให้มนุษย์ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วยังมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมากที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด แม้ขนาดขี้ฟันของเราเองยังมีสิ่งมีชีวิตพวกนี้มากมาย จนทำให้เกิดชื่อเรียกของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ทั่วไปและในร่างกายของเราว่า “Animacula” ครับ

แต่ผู้คนและวงการแพทย์ในยุคนั้นก็ยังไม่รู้จักเชื้อโรคอยู่ดี เพราะจากการค้นพบเจ้าสิ่งมีชีวิตจิ๋ว Animacula นี้ไม่มีใครคิดว่ามันจะกลายเป็นเชื้อโรคแบคทีเรียที่จะเป็นต้นตอการเจ็บป่วยของเราได้ เพราะเราเห็นมันอยู่ในร่างกายเราโดยที่ยังเป็นปกติ ดังนั้นก็ไม่แปลกใจว่าคนจะคิดว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆพวกนี้จะไม่มีพิษภัยอะไร จนหลุยส์ ปาสเตอร์ นักเคมีที่กลายมาเป็นนักจุลชีววิทยาพบว่า เจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆพวกนี้แหละมีฤทธิ์ทำให้เบียร์เปรี้ยวได้

เพื่อนของหลุยส์ ปาสเตอร์ เดินเข้ามาปรึกษาว่าทำยังไงดีเบียร์ที่หมักไว้เปรี้ยวหมด ถ้าเป็นแบบนี้กิจการต้องเจ๊งแน่ๆ หลุยส์ ปาสเตอร์ เลยเข้ามาหาคำตอบให้ว่าเพราะอะไร และด้านการส่องกล้องดูก็พบว่าเบียร์ที่เปรี้ยวนั้นมีสิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาดอยู่ในน้ำเบียร์ นั่นก็คือเจ้า Animacula ที่เคยเชื่อว่าไม่มีพิษภัยหรือไร้ซึ่งความสามารถใดๆนั้น แท้จริงแล้วสามารถทำให้ออกฤทธิ์ทำให้เบียร์เปรี้ยวได้ครับ

เมื่อแก้ปัญหาเบียร์เปรี้ยว หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็กลับไปทำงานด้านเคมีต่อเพราะเค้าเป็นนักเคมี แต่หลังจกนั้นไม่นานประเทศฝรั่งเศสก็เกิดปัญหาไวน์องุ่นมีรสเปรี้ยว ซึ่งนี่เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติ เพราะถ้าไวน์เปรี้ยวก็เท่ากับว่าส่งออกไปขายไม่ได้ แล้วถ้าส่งออกไปขายไม่ได้ประเทศก็เศรษฐกิจพังพินาศแน่นอนครับ

ทางพระเจ้านโปเลียนที่ 3 เลยส่งข้อความตรงหาหลุยส์ ปาสเตอร์ อย่างเร่งด่วนให้รีบเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ที ทีนี้หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็พบเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆในไวน์ที่เปรี้ยวเหมือนกับตอนที่เจอในเบียร์ร้านเพื่อน หลุยส์ ปาสเตอร์ เลยค้นพบว่าแค่ต้มไวน์ให้พออุ่นๆที่ 55 องศาเซลเซียสไม่กี่นาทีก่อนปิดจุกขวด ก็ทำให้ไวน์ไม่มีรสเปรี้ยวอีกต่อไป

และจากการค้นพบของหลุยส์ ปาสเตอร์ นี้ ทำให้โลกรู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆเหล่านั้นมีฤทธิ์มากกว่าที่เราคิดครับ

แล้วในตอนนั้นที่ช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่มีสองตึกในการดูแลการคลอดลูก กลับพบว่ามีอัตราแม่ที่คลอดแล้วเสียชีวิตที่แตกต่างกันมากทั้งที่สองตึกอยู่ติดกัน มีสภาพแวดล้อมขั้นตอนการทำงานเหมือนกันทุกประการ จนมีชายคนหนึ่งพบว่าที่ตึก 2 มีอัตราการเสียชีวิตหลังคลอดน้อยกว่าตึก 1 หลายเท่านั้นมาจากพยาบาลผู้ทำคลอดนั้นล้างมือล้างไม้ ใส่ใจความสะอาดมากกว่าบรรดาแพทย์ในตึกแรกหลายเท่านัก

เพราะสมัยก่อนตอนเช้าแพทย์จะออกไปผ่าศพเพื่อเรียนรู้ จากนั้นตอนสายก็มาทำคลอด แต่ด้วยการที่แพทย์ในสมัยก่อนไม่นิยมล้างมือ คือมือจับหนองจับเชื้อโรคมายังไงก็เอามาไปผ่าตัดทำคลอดต่อทั้งอย่างนั้น เลยส่งผลให้เชื้อโรคส่งผ่านถึงกัน จนทำให้มีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก

แถมแพทย์ในตอนนั้นยังมีค่านิยมความเชื่อที่ว่า ยิ่งสกปรกเลอะเทอะยิ่งดูขลัง ดูแมน ดูน่าเชื่อถือ ดังนั้นพวกเค้าจึงต่อต้านการรณรงค์ให้ล้างมือในช่วงแรก ด้วยการตั้งคำถามว่า “ล้างมือจากอะไร” ในเมื่อตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก “เชื้อโรค” หรือสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่ชื่อว่า Animacula เลยด้วยซ้ำ

แถมการผ่าตัดในสงครามก็เป็นตัวคร่าชีวิตทหารยิ่งกว่ากระสุนเสียอีก

ในสมัยนั้นการผ่าตัดให้รอดชีวิตได้นั้นต่ำมาก เรียกได้ว่าผ่าหมื่นตายซะ 7,000 เป็นอย่างน้อย ทั้งหมดนั้นก็มาจากการไม่ดูแลความสะอาดของแพทย์ในระหว่างการผ่าตัด เหมือนที่หมอในโรงพยาบาลทำคลอดตึก 1 ทำในด้านบนนั่นแหละครับ

จนคุณหมอลิสเตอร์พบว่าการล้างมือและเครื่องไม้เครื่องมือนั้นก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนใข้อย่างมาก ตัวเค้าเองก็ค่อยๆรณรงค์ไประหว่างผ่าตัดเพื่อพิสูจน์ผลลัพธ์ไปด้วย จนในที่สุดคุณหมอลิสเตอร์ก็ได้รับการยกย่องจนเอาชื่อมาตั้งเป็นน้ำยาบ้วนปากที่ชื่อว่า Listeria ที่กลายเป็น Listerine ในวันนี้ ที่สำคัญสามารถผลักดันให้ความสะอาดในการผ่าตัดรักษากลายเป็นมาตรฐานใหม่จนถึงทุกวันนี้ครับ

Alexander Flaming ผู้โด่งดังจากการค้นพบว่าฆ่าเชื้อ หรือที่เรียกกันว่ายาปฏิชีวนะที่ชื่อว่า “เพนิซิลลิน” นั้นแท้จริงแล้วเกิดขึ้นโดยบังเอิญมากๆ บังเอิญว่าเค้าทำการทดลองในช่วงหน้าร้อนที่เชื้อราที่ผลิตสารฆ่าเชื้อแบคทีเรียไม่สามารถเติบโตได้ แต่ดันบังเอิญช่วง 9 วันที่ทำการทดลองนั้นเป็นช่วงที่อากาศหนาวผิดปกติขึ้นมา บังเอิญว่าอากาศหนาวนั้นดีต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรานั้น และไม่ดีต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียไปพร้อมกัน และที่สำคัญยังบังเอิญไม่เอาจานเพาะเชื้อไปเก็บไว้ในตู้แช่ที่อาจจะทำให้อุณหภูมิร้อนขึ้นได้ จนทำให้เกิดการค้นพบสารที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ จนเอามาต่อยอดเป็นเพนิซิลลิน ยาที่ช่วยชีวิตคนหลายพันล้านคนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ครับ

แต่รู้มั้ยครับว่าเชื้อต้นกำเนิดของเม็ดยาเพนิซิลลินในวันนี้ไม่ได้มาจากจานเพาะเชื้อของ Alexander Flaming ผู้โด่งดังหรอกนะครับ เพราะเชื้อราตัวนั้นไม่สามารถผลิตสารพิษที่ใช้ฆ่าแบคทีเรียได้ดีพอ แต่นักวิทยาศาสตร์กลับได้มันมาจากเมลอนเน่าๆหนึ่งลูกที่ตลาด ที่พบว่าเชื้อราบนเมลอนลูกนี้นั้นแรงมาก สามารถผลิตสารฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีกว่าถึง 50 เท่า จนกลายมาเป็นต้นกำเนิดของยาเพนิซิลลินจนถึงวันนี้ครับ

และหลังจากการค้นพบยาปฏิวัติโลก “เพนิซิลลิน” ก็เกิดอาการดังเป็นพลุแตกจนฟีเวอร์มาก มากขนาดที่อะไรเพนิซิลลินกลายเป็นส่วนประกอบของสิ่งของรอบตัวในชีวิตคนยุคนั้นมากเหลือเกิน ขนาดสบู่ก็ยังมีส่วนผสมของเพนิซิลลิน น้ำยาบ้วนปากก็มีส่วนผสมของเพนิซิลลิน เอาเป็นว่าขนาดลิปสติกยังมีเพนิซิลลินผสมอยู่ เพื่อให้คุณจูบได้อย่างมั่นใจว่าจะไม่ติดเชื้อมายังไงล่ะครับ

และนั่นก็เป็นสาเหตุของโรคดื้อยาปฏิชีวนะที่เริ่มส่งผลในวันนี้ จะเห็นว่าหลายโรคที่เคยใช้ยาปฏิชีวนะรักษาได้ดีนั้นกลับไม่ค่อยได้ผลแล้ว เพราะจากการใช้ยาฆ่าเชื้อ หรือยาปฏิชีวนะกันอย่างพร่ำเพรื่อมายาวนาน ทำให้บรรดาเชื้อโรคแบคทีเรียนั้นดื้อยามากขึ้นเรื่อยๆ และนี่ก็กำลังเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกเลยล่ะครับ

เพราะยาปฏิชีวนะในวันนี้นั้นเป็นสูตรเดิมที่คิดค้นมาเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ทุกวันนี้เราไม่มียาปฏิชีวนะใหม่ที่ถูกค้นพบแต่อย่างไร แต่เราเอายาเก่ามาปรับสูตรจดสิทธิบัตรใหม่ขายกันมากขึ้นครับ

น่ากลัวว่าถ้าวันนึงยาปฏิชีวนะเราไม่สามารถใช้งานได้ดีเหมือนเดิมแล้ว เราจะกลับไปสู่ยุคที่เราหวาดกลัวโรคติดเชื้อมากกว่าโรคหัวใจหรือมะเร็ง เพราะการถูกลวดหนามเกี่ยวปากเป็นแผล อาจหมายถึงเชื้อโรควิ่งเข้าไปในร่างกายแล้วกำจัดมันไม่ได้ จากนั้นใบหน้าเราก็จะปูดบวมด้วยหนองจนเต็มหน้า แล้วเราก็อาจจะต้องควักลูกตาออกมาก่อนหนึ่งข้าง จากนั้นค่อยตามมาอีกหนึ่งข้าง แล้วเราก็จะต้องเสียชีวิตอย่างทรมานหลังจากนั้นอีกไม่นานครับ

รู้แบบนี้แล้วก่อนจะใช้ยาปฏิชีวนะในครั้งหน้า คิดหน้าคิดหลังให้ดีนะครับ

เพราะมนุษย์เรายังต้องอยู่ร่วมโลกกับเชื้อโรคไปอีกนาน เพราะตัวเชื้อโรคแบคทีเรียเองก็พัฒนาตัวเองให้ดื้อยาเพื่ออยู่รอดได้เหมือนที่เราพยายามพัฒนายาใหม่ๆมาเพื่อกำจัดมัน

ธรรมชาติคือการสร้างสมดุลของทุกฝ่าย ดังนั้นเราก็อย่ากินยาเกินสมดุลไปนะครับ ถ้าแค่เป็นหวัดเจ็บคอนิดหน่อย ไม่ต้องหายาปฏิชีวนะมากินทุกครั้งไป ไม่อย่างนั้นวันนึงที่ยาเหล่านี้ใช้การไม่ได้ ก็จะไม่มีใครช่วยคุณได้อีกเหมือนการแพทย์ยุคก่อนเมื่อร้อยปีที่แล้วเลยครับ

สรุปหนังสือ สงครามที่ไม่มีวันชนะ
ถ่ายที่ร้าน Hummingbird Cafe บางขุนนนท์

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 46 ของปี

สรุปหนังสือ สงครามที่ไม่มีวันชนะ
ประวัติศาสตร์การต่อสู้ระหว่างมนุษย์และเชื้อโรค
นพ.ชัชพล เกียรติขจรธาดา เขียน
สำนักพิมพ์ Chatchapol Books

อ่านครั้งแรกเมื่อ 2019 07 24

อ่านสรุปหนังสือของผู้เขียนคนนี้เพิ่ม https://www.summaread.net/tag/%e0%b8%99%e0%b8%9e-%e0%b8%8a%e0%b8%b1%e0%b8%8a%e0%b8%9e%e0%b8%a5-%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a3%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%82%e0%b8%88%e0%b8%a3%e0%b8%98%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%b2/
สนใจสั่งซื้อได้ที่ http://bit.ly/2LK7h7i

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/