สรุปหนังสือ 2030 อนาคตอันใกล้ไม่มีอะไรเหมือนเดิม How Today's Biggest Trends Will Collide and Reshape the Future of Everything

สรุปหนังสือ 2030 อนาคตอันใกล้ไม่มีอะไรเหมือนเดิม How Today’s Biggest Trends Will Collide and Reshape the Future of Everything จับกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกมิติ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าโลกจะเผชิญกับความจริงแบบใหม่ที่เราไม่คุ้นเคย เขียนโดย Mauro F. Guillen เป็นหนังสือที่เล่าให้เห็นภาพในอนาคตอีก 27 ปีข้างหน้าในปี 2030 ว่าน่าจะเป็นอย่างไร

ไม่ได้เขียนจากสิ่งที่มโนหนักมากแบบหนังสือเทรนด์ปกติ แต่เขียนจากความน่าจะเป็นที่เกิดขึ้นในวันนี้ และเมื่อถึงปี 2030 สิ่งเหล่านี้จะผลิบานขนาดไหน

ถ้าให้สรุปสั้นๆ หนังสือเล่มนี้ถือเป็นหนังสือ Mega Trends ที่ดีเล่มหนึ่ง ซึ่งภาพรวมของสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในปี 2030 ประกอบด้วย 8 Mega Trends หลักดังนี้ครับ

8 Mega Trends 2030

  1. เด็กเกิดน้อยลง
  2. คนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่ Millennials และเกิดมาพร้อมกับบริบทของเทคโนโลยีที่ใช้เป็นตั้งแต่ยังพูดไม่ได้
  3. ชนชั้นกลางยุคใหม่ ที่ไม่ใช่ฝรั่งหัวทอง แต่เป็นอาเซียตาตี่ผิวขาว และอินเดียผิวคล้ำ
  4. ผู้หญิงรวยเยอะขึ้น
  5. ชีวิตเมืองสองชนชั้น
  6. เทคโนโลยี IoT และ IoE
  7. Sharing Economy
  8. Cryptocurrency

ถ้าอยากรู้ว่าแต่ละเทรนด์น่าสนใจยังไง จะส่งผลกระทบขนาดไหนในปี 2030 เดี๋ยวผมจะสรุปให้ฟังครับ

1. 2030 เด็กเกิดน้อยลง

ปัญหาเรื่องสังคมสูงวัยกลายเป็นปัญหาเงียบแต่ใหญ่มากที่คืบคลานเข้ามาในสังคมทุกประเทศทั่วโลก เมื่อคนรุ่นใหม่มีลูกกันน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด จนถึงขั้นบางคู่ไม่ยอมมีลูก หรือไม่ก็ข้ามไปเลี้ยงสัตว์แทน

อีกหนึ่งปัจจัยคือการใช้โซเชียลมีเดีย หรือการออนไลน์ ทำให้คนปัจจุบันไม่ค่อยสนใจจะมีเซ็กส์เท่ากับการเล่นโซเชียลแล้ว

เพราะสมัยก่อนเซ็กส์ เปรียบเสมือนกิจกรรมที่สร้างความเพลิดเผลินผ่อนคลายของผู้คน แต่วันนี้ผู้คนเต็มไปด้วยความบันเทิงมากมาย เอาแค่โซเชียลมีเดียวันนึงก็ดึงเวลาเราไปไม่รู้เท่าไหร่ ไหนจะการช้อปปิ้งตามคนดังในออนไลน์อีก อาจสรุปได้ว่าผู้คนทุกวันนี้มีอะไรสนุกๆ ให้ทำมากกว่าการมีเซ็กส์ไปแล้ว

นั่นทำให้ผมคิดต่อว่าอนาคตธุรกิจ SexTech อาจก้าวเข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญของการลดลงของการมีเซ็กส์ ซึ่งจะส่งผลต่อทารกเกิดใหม่ก็ได้

เมื่อผู้คนสามารถฟินด้วยตัวเองได้ผ่านเทคโนโลยีที่ดูจะฉลาดขึ้นทุกวัน อุปกรณ์ Sex Toy แบบ IoT เอยหรืออื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ คงจะส่งผลต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติอย่างมากเป็นแน่ครับ

ปัญหาทารกเกิดน้อยลงที่หนักมากๆ ในพื้นที่นึงของโลกก็คือที่ประเทศจีน ด้วยค่านิยมอยากได้ลูกชายมากกว่าลูกสาวมานาน ส่งผลให้สัดส่วนประชากรชายหญิงในจีนนั้นเพี้ยนกว่าที่ใดๆ ในโลก และนั่นก็หมายความว่าผู้หญิงจีนจะสามารถเลือกผู้ชายที่ใช่ได้มากกว่าที่อื่นๆ ในโลก ทำให้การแต่งงานอาจเลื่อนออกไปได้เรื่อยๆ เพราะยังมีตัวเลือกใหม่ๆ เข้ามาเสมอ และนั่นก็ส่งผลต่อความพร้อมของร่างกายในการมีลูกหลังจากนั้นซึ่งอาจจะยากขึ้นไปอีก จนส่งผลให้ทารกเกิดใหม่ยิ่งมีโอกาสน้อยลงไปอีก

พอทารกเกิดใหม่น้อย ส่งผลให้ประเทศนั้นเปิดรับผู้อพยพมากขึ้น และสิ่งหนึ่งที่ผู้อยู่อาศัยเจ้าของประเทศเดิมมักกังวลคือ แรงงานต่างด้วย หรือผู้อพยพนั้นจะมาแย่งงานเจ้าของประเทศไปหมดหรือเปล่า

จากข้อมูลบอกว่าไม่ครับ เพราะผู้อพยพมักจะได้งานไม่ค่อยดี ที่คนในประเทศไม่ค่อยอยากทำ และที่น่าสนใจกว่านั้นคือจำนวนผู้ก่อตั้งบริษัทในอเมริกามักจะมาจากผู้อัพยพมากกว่าผู้อยู่อาศัยเดิมในประเทศด้วยซ้ำ

เพราะเมื่อเป็นคนนอก มักไม่ได้งานดีๆ เหมือนกับคนในประเทศทำ ทำให้พวกเขาต้องดิ้นรนสร้างงานให้ตัวเอง จนนำไปสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจในที่สุด

ซึ่งผู้อพยพเองก็มักหนีมาจากประเทศที่พวกเขารู้สึกว่าอยู่ไปก็ไร้อนาคต สู้ไปตายดาบหน้าเอาดีกว่า หนังสือ 2030 เล่มนี้ก็บอกให้รู้ว่าถ้ารัฐบาลทำการจัดสรรที่ดินทำกินให้ประชาชนในประเทศดีๆ จำนวนคนที่จะอพยพหนีประเทศก็จะลดลง เพราะเขารู้สึกว่าพอจะมีความหวังถ้าต้องดิ้นรนทำงานในประเทศนี้

2. สังคมผู้สูงวัยเต็มตัว

Millennials ที่เป็นวัยรุ่นในวันวาน เป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ จะกลายเป็นผู้สูงวัย สูงอายุ และเริ่มเกษียณในปี 2030 นี่คือภาพของโลกที่เปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อโลกเข้าสู่โลกของผู้สูงวัยคือประชาหลักคนกลุ่มใหญ่ สินค้าและบริการต่างๆ ต้องออกแบบมาให้เข้ากับบริบทของร่างกายผู้สูงวัยอีกด้วย

อย่างเครื่องซักผ้าเดิมที่ฝาหน้าขายดีเพราะสะอาดกว่า เงียบกว่า แต่ไม่สะดวกกับคนสูงวัยที่ต้องก้มๆ เงยๆ เพื่อเอาผ้าเข้าและออกเท่าไหร่ แต่จะสะดวกกับเครื่องซักผ้าฝาหน้ามากกว่า ที่ไม่ต้องก้มๆ เงยๆ มาก และเรื่องถัดมาก็คือปุ่มต่างๆ ต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น ตัวหนังสือใหญ่ขึ้น ชัดขึ้น เพื่อให้เข้ากับสายตาที่ไม่คมชัดเหมือนหนุ่มสาว

นั่นน่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมมือถือรุ่นใหม่ๆ หน้าจอใหญ่จัง และทำไม iPhone ถึงมีการให้ปรับขนาดไซส์ตัวหนังสือให้เข้ากับวัยผู้ใช้งานนี่เอง

หรือเมื่อคนทำงานมีน้อยลง อาจถึงคราวของหุ่นยนต์ช่วยดูแลผู้สูงวัยต้องมา อย่างตอนนี้เราก็มีหุ่นยนต์แมวน้ำที่ชื่อว่า Paro เอาไว้คุยเล่นกับผู้สูงวัยที่ป่วยติดเตียงแล้ว ซึ่งเหตุผลการสร้างว่าทำไมต้องแมวน้ำมาจากมีบางคนไม่ชอบหมา บางคนไม่ชอบแมว จะทำสองตัวเลยก็วุ่นวาย ก็เลยเอาแมวน้ำแล้วกัน มันเป็นสัตว์ที่คนไม่รู้จะวางตัวกับมันยังไง ก็น่าจะตอบทุกคนที่ไม่ชอบหมาหรือแมวได้หมด

สุดท้ายในปี 2030 ธุรกิจที่ต้องปรับตัวตามวัยที่เพิ่มขึ้นของประชากรโลกส่วนใหญ่คือภาคการเงินธนาคาร คนวัยนี้ไม่พร้อมเสี่ยงเงินเก็บก้อนสุดท้ายของชีวิต เขาต้องการการลงทุนที่ปลอดภัยสุดๆ หรืออาจเอาบ้านที่อยู่อาศัยแล้วผ่อนหมดแล้ว กลับมาขายธนาคารแต่รับเงินแบบเป็นเดือนๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสียชีวิตครับ

เตรียมพร้อมสำหรับสังคมผู้สูงวัยเอาไว้ เหลืออีกแค่ 7 ปีเท่านั้นเอง

3. จีนและอินเดีย มหาอำนาจชนชั้นกลางของโลก

ประเทศที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกไม่ใช่แค่ร่ำรวยสุด แต่เป็นประเทศที่มีชนชั้นกลางเยอะสุด เพราะชนชั้นกลางคือชนชั้นที่มีกำลังจับจ่ายใช้สอยพอประมาณ แล้วยิ่งคูณด้วยจำนวนที่มากยิ่งส่งผลให้ภาคธุรกิจหรือแบรนด์ต่างๆ ต้องปรับตัวเข้าหาชนชั้นกลางจากประเทศที่มีประชากรสูงสุด

ซึ่งเดิมชนชั้นกลางจะอยู่ในอเมริกาหรือยุโรปมานาน แต่ในปี 2030 จำนวนชนชั้นกลางน่าจะเยอะมากๆ ในจีนและอินเดีย นั่นหมายความว่านี่คือตลาดขนาดใหญ่ที่ไม่มีแบรนด์ไหนอยากพลาดเป็นแน่

แต่สิ่งหนึ่งที่ตามมาจากชนชั้นกลางคือจำนวนขยะที่เยอะขึ้นมา แล้วยิ่งจีนประกาศไม่รับขยะจากต่างประเทศเข้ามารีไซเคิลในประเทศก็ยิ่งทำให้เทคโนโลยีด้านนี้ต้องรีบพัฒนาโดยไว ไม่งั้นเราจะหายใจในกองขยะในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแน่

หนังสือเล่มนี้ยังฉายภาพกลุ่มคนแต่ละชนชั้นถึงพฤติกรรมการจับกลุ่มไว้อย่างน่าสนใจ

  • ชนชั้นสูง มักหาโอกาสจับกลุ่มกันทำกำไรจากชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง
  • ชนชั้นกลาง มักใช้ชีวิตแบบไม่เกี่ยวข้องกับใครจริงจัง กลับบ้าน ดูทีวี เล่นมือถือ นอน แล้วก็ตื่นมาทำงาน
  • ชนชั้นล่าง มักจับกลุ่มกันเพื่อประคองให้รอดไปด้วยกัน

เราเริ่มเห็นแบรนด์ต่างๆ มุ่งเป้าเข้าสู่ประเทศจีนเป็นจำนวนมาก นั่นก็เพราะว่าประเทศนี้มีชนชั้นกลางเป็นจำนวนมหาศาลครับ

4. ปี 2030 ผู้หญิงรวยเยอะขึ้น

ผู้หญิงพอไม่ค่อยคิดจะมีลูก ก็จะมีเวลาทุ่มเทกับเส้นทางอาชีพหน้าที่การงาน จนส่งผลให้พวกเธอร่ำรวยขึ้นจนกลายเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่แบรนด์ต่างๆ อย่างได้ และวิธีการใช้เงินของพวกเธอก็น่าสนใจ เมื่อพวกเธอไม่ได้ชอบอะไรหวานๆ ชมพูๆ อีกต่อไป

ตัวอย่างตอนประเทศซาอุดิอาระเบีย ประกาศให้ผู้หญิงสามารถขับรถไปไหนมาไหนคนเดียวได้ (จากเดิมไม่ได้ครับ ต้องไปกับสามีหรือคนในครอบครัวเท่านั้น) ทีแรกแบรนด์ต่างๆ คิดว่าผู้หญิงน่าจะต้องการรถเล็กๆ น่ารักๆ เอาไว้ขับไปช้อปปิ้งทำธุระโน่นนี่นั่นของตัวเอง

แต่กลายเป็นว่ายอดขายรถสปอร์ตอย่าง Ford Mustang กลับขายดีมากในหมู่ผู้หญิงมุสลิมที่เพิ่งขับรถได้ มันเหมือนกับอาการอัดอั้นมานานเห็นแต่ผู้ชายได้ขับ พอมีโอกาสก็เลยอยากได้อะไรแบบจัดเต็มบ้าง เรียกได้ว่าทำเอานักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ งงเป็นไก่ตาแตกเลย

5. เมืองแยกชนชั้นในปี 2030

ประชากรทั่วโลกจะกระจุกกลับเข้ามายังตัวเมืองอีกครั้ง ความน่าสนใจคือเมืองจะยิ่งถูกแบ่งออกเป็นสองชนชั้น ระหว่างเมืองชั้นในหรือพื้นที่กลุ่มคนมีเงินมากๆ กับเมืองที่ทรุดโทรมของคนชนชั้นกลางที่กลายเป็นชนชั้นล่างของเมืองส่วนใหญ่ คิดถึงภาพหนังเรื่อง in time ก็ได้ครับ ที่เมืองถูกแบ่งแยกออกจากกันให้เห็นชัด

เพราะคาดการณ์ว่าในปี 2030 ความมั่งคั่งกว่า 2 ใน 3 ของทั้งโลกจะกระจุกอยู่ในมือคนที่รวยที่สุดแค่ 1% เท่านั้น

อีก 7 ปีข้างหน้าเอง เตรียมใจพร้อมกับความเหลื่อมล้ำแบบสุดขั้วหรือยังครับ

6. มีมือถือมากกว่าส้วม ทุกสิ่งรอบตัวล้วน IoT

ในปี 2030 เราทุกคนจะมีโทรศัพท์มือถือทุกเครื่อง นั้นหมายความว่าเรากำลังพกอุปกรณ์รับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่รอบตัวเราก็จะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปทั้งหมด

อย่างรถยนต์เองก็ปรับตัวมาเป็นอุปกรณ์ IoT มากขึ้นทุกวัน สิ่งที่มันจะส่งผล Disrupt ก็คือว่าธุรกิจการประกันภัยจะถูกย้ายมาสู่บริษัทค่ายรถยนต์ผู้ผลิตรถยนต์เองแทบจะ 100% ครับ

จากเดิมทีค่าเบี้ยประกันมักคำนวนจากเพศและอายุเป็นหลัก ถ้าเป็นผู้ชายก็จะมีความเสี่ยงในการขับขี่ด้วยความเร็วมากหน่อย ค่าเบี้ยประกันภัยของผู้ชายมักจะสูงกว่าผู้หญิงเป็นปกติ

ส่วนในคนอายุน้อยก็จะต้องเสียมากขึ้น ก็เพราะอาจจะยังวู่วาม แต่ทั้งหมดนี้ก็มาจากหลักสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ที่เอามาคำนวนใช้แบบเหมาะรวม ไม่ได้วิเคราะห์ข้อมูลการขับขี่แยกเป็นรายบุคคลไป

เพราะสมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าพอจะให้ติดตามทุกฝีก้าวการขับหรือการเหยียบของคนขับได้ แต่วันนี้รถยนต์เต็มไปด้วยเซนเซอร์มากมาย อย่างรถยนต์ไฟฟ้า Tesla เองในประเทศสหรัฐอเมริกาก็จะมีให้คนขับสามารถจ่ายค่าประกันกับ Tesla แบบเดือนต่อเดือนได้

หมายความว่าเดือนนี้อาจถูกกว่าเดือนก่อน หรือแพงกว่าเดือนก่อนก็ได้ เพราะ Tesla จะเก็บข้อมูลทุกพฤติกรรมการขับขี่ของเราแล้วเอาไปประเมินว่าควรคิดเบี้ยประกันเท่าไหร่ดี

ตอนนี้มีมีข้อจำกัดเรื่องเพศและวัยมาเป็น Bias แล้ว ขับดีก็จ่ายน้อย ขับแย่ก็จ่ายมาก ยังไม่นับว่ารัฐบาลประเทศต่างๆ มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วประเทศ และอาจนำไปสู่การประเมินหรือให้คำแนนประชาชนรายคนเหมือนที่ประเทศจีนทำครับ

คะแนนที่ได้จะส่งผลต่อสวัสดิการที่เราจะได้รับ คะแนนดีก็ได้ก่อน คะแนนน้อยก็ได้ทีหลัง นี่แหละครับโลกยุค IoT 2030 ที่ทุกอย่างเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันตลอดเวลา

7. Sharing Economy โลกที่เรามีได้ทุกอย่างแต่ไม่ต้องเป็นเจ้าของสักอย่าง

เดิมคนยุคก่อนหน้าจะต้องเก็บเงินซื้อเป็นเจ้าของอะไรสักอย่างถ้าเราต้องใช้มัน แต่ผู้คนในโลกยุคใหม่ตั้งแต่เกิด Digital Disruption เกิดการมาของแพลตฟอร์มที่ทำให้เราลดการเป็นเจ้าของข้าวของลงไป อย่าง Uber หรือ Grab ที่ทำให้การเข้าถึงรถยนต์สักคันเมื่อต้องการเป็นเรื่องสะดวกสบายแค่เปิดมือถือแล้วกดเรียก จากนั้นก็นั่งรอสักหน่อยครับ

ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ทำใบขับขี่น้อยลง เป็นเจ้าของรถยนต์น้อยลง บริษัทค่ายรถยนต์ต่างๆ เองก็พยายามตามเกมนี้ให้ทันอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเราอยากใช้อะไรสักอย่าง ก็แค่เข้าถึงแล้วใช้มันจนพอใจ จากนั้นก็ปล่อยคืนสู่ระบบให้คนถัดไปที่ต้องการได้ใช้ต่อจากเรา แล้วในปี 2030 เราจะต้องเป็นเจ้าของสิ่งนั้นไปอีกหรอ?

8. Cryptocurrency เมื่อการสร้างสกุลเงินของตัวเองเป็นเรื่องง่าย

แม้สถานการณ์คริปโตในช่วงนี้จะดูวิกฤตอย่างมาก แต่คาดว่าพอถึงปี 2030 ผู้คนจะใช้จ่ายผ่านคริปโตเป็นหลักจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิจประจำวันแทนเงินปกติครับ

สกุลเงินคริปโตแรกที่เกิดขึ้นบนโลกก็ดูน่าจะเป็น Bitcoin ที่โด่งดัง ซึ่งความบังเอิญคือเงินสกุลนี้เกิดขึ้นหลังจากสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในอเมริกาล้มได้ไม่นาน เจ้าเงินสกุลนี้ก็เกิดขึ้นมาเพราะดูเหมือนว่าจะไม่เชื่อมั่นในระบบการเงินโลกอีกต่อไป

จากนั้นก็เกิดสกุลเงินคริปโตอีกมากมายตามมา มีทั้งที่อ้างอิงกับ Stable coin เงินเดิม หรือแม้แต่ไม่อ้างอิงจากอะไรเลย เอาเป็นว่าถ้าคุณอยากจะสร้างสกุลเงินของตัวเองก็ดูจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปครับ

แต่หนังสือเล่มนี้พาย้อนกลับไปถึงคนแรกที่สร้างเงินของตัวเองขึ้นมาและได้รับการยอมรับ

คนนั้นคือ Salvador Dali ศิลปินดังในยุคหนึ่ง ครั้งแรกเขาก็เขียนเช็คจ่ายเงินค่าอาหารตามปกติ แต่เขาได้เพิ่มลูกเล่นด้วยการวาดลายเส้นลงไปบนเช็คใบนั้น

กลายเป็นว่าเจ้าของร้านไม่ยอมเอาเช็คใบนั้นไปขึ้นเงิน แต่เอาใส่กรอบติดไว้ที่ร้านแทน เท่ากับว่าเช็คใบนั้นมีค่าแค่กระดาษแผ่นหนึ่งพร้อมลายเซ็น และนั่นทำให้ Salvador Dali ค้นพบว่าตัวเองสามารถสร้างเงินของตัวเองด้วยการวาดลายเส้นลงบนเช็คได้

นานวันเข้าเช็คพร้อมลายเซ็นของเขาเริ่มไร้มูลค่า เพราะเขาเขียนมันมากเกินไปจนใครๆ ก็มีกัน ทำให้ร้านอาหารต่างๆ เอาเช็คของศิลปินคนนี้ไปทยอยขึ้นเงิน และเขาก็อดกินฟรีนับจากนั้น

หนังสือ 2030 เล่มนี้บอกว่าการเลือกตั้งอีกหน่อยควรจะเอานโยบายของผู้หาเสียงเขียนใส่ Smart Contract บน Blockchain ไปเลย ถ้าคนไหนได้รับการเลือกตั้งขึ้นมาเป็นรัฐบาลผู้มีอำนาจ นโยบายต่างๆ ก็จะเริ่มปฏิบัติการทันทีด้วยการจัดแจงงบประมาณไปใช้กับสิ่งต่างๆ ตามที่หาเสียงไว้

และนั่นก็ทำให้ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าร่วมตรวจสอบการใช้งบประมาณได้ทุกบาท ไม่มีกลายเป็นรถหรูของ สส หรือ สว คนไหน ไม่มีนาฬิกาเพื่อนตายอีกต่อไปครับ

สรุปหนังสือ 2030 อนาคตอันใกล้ไม่มีอะไรเหมือนเดิม

หนังสือที่ว่าด้วย 8 Mega Trends 2030 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงสิบปีข้างหน้าในปี ด้วยการคาดการณ์จากภาพปัจจุบัน มองถึงแนวโน้มผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ บอกให้เรารู้ว่าเราควรจะต้องเตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงอย่างไร ทารกเกิดน้อย คนสูงวัยมาก จีนอินเดียมา ผู้หญิงรวยขึ้น ความห่างของชนชั้น ทุกอย่างล้วนต่อเน็ต ไม่ต้องเป็นเจ้าของให้วุ่นวาย และสกุลเงินคริปโตจะกลายเป็นเรื่องปกติครับ

อ่านก่อน รู้ก่อน เตรียมตัวก่อน เปลี่ยนแปลงก่อน อย่ารอให้โลกบังคับให้เราเปลี่ยน จงเปลี่ยนรอโลกเนิ่นๆ ตั้งแต่วันนี้ครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 37 ของปี

สรุปหนังสือ 2030 อนาคตอันใกล้ไม่มีอะไรเหมือนเดิม
How Today’s Biggest Trends Will Collide and Reshape the Future of Everything
จับตากระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกมิติ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าโลกจะเผชิญกับความจริงแบบใหม่ที่เราไม่คุ้นเคย
Mauro F. Guillen เขียน
ไอริสา ชั้นศิริ แปล
สำนักพิมพ์ Be(ing)

อ่านสรุปหนังสือสำนักพิมพ์นี้ต่อ > https://www.summaread.net/category/%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%9e%e0%b8%b4%e0%b8%9e%e0%b8%a1%e0%b9%8c-being/

สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ออนไลน์ > https://www.naiin.com/product/detail/542351

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/