สรุปหนังสือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสาม หรือ ONE PLUS ONE EQUALS THREE ของ DAVE TROTT เล่มนี้เป็นผู้เขียนคนเดียวกับหนังสือที่ชื่อว่า เกิดเป็นกระต่าย ต้องคิดให้ได้อย่างหมาป่า หรือ PREDATORY THINKNG หนังสือที่สอนเรื่อง Creativity หรือความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นใครต้องการรู้ว่าความคิดสร้างสรรค์ที่จับต้องได้คืออะไร หรืออะไรบ้างที่นับว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ได้ ผมแนะนำให้ทุกคนควรได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครับ
ถ้าให้สรุปสั้นๆ หนังสือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสามเล่มนี้เป็นการพูดถึงความคิดสร้างสรรค์ผ่านเรื่องเล่าที่แยบคายและเฉียบคมเป็นบทสั้นๆ อ่านจบได้ไม่กี่หน้า แต่เชื่อมั้ยว่าพออ่านๆ ไปแม้บางบทจะเคยอ่านเนื้อหามาก่อนแล้ว แต่พอได้มาฟังแง่มุมใหม่ที่ถูกเล่าผ่านครีเอทีฟชื่อดังอย่าง Dave Trott กลับทำให้เหมือนได้รู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรกอีกครั้งเลย
เช่น เรื่องราวของห้าง Target ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลหรือทำ Data Analytics ได้อย่างแม่นยำจนสามารถค้นพบได้ว่าผู้หญิงคนไหนบ้างกำลังตั้งครรภ์อยู่แม้จะไม่เคยบอกทางห้างหรือแม้แต่พ่อแม่มาก่อน
แต่ด้วยความที่แม่นยำมากจนเกินไปก็กลับส่งผลเสียให้ทางห้าง เมื่อทางพ่อของเธอถือคูปองที่ได้รับกลับมาต่อว่าผู้จัดการสาขาว่าทำไมถึงส่งคูปองส่วนลดของใช้เด็กมากมายให้ลูกสาวเขาที่ยังเรียนอยู่ในชั้น ม.ปลาย เท่านั้นเอง
ทางผู้จัดการได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกเพราะไม่รู้ว่าทางสำนักงานใหญ่เล่นตลกอะไร ได้แต่ขอโทษแล้วบอกว่าเป็นข้อผิดพลาดซึ่งจะพยายามไม่ให้เกิดขึ้นกับลูกสาวที่เป็นวัยรุ่นบ้านนี้อีก
ไม่กี่วันผ่านไปทางผู้จัดการสาขาของห้าง Target ที่ถูกต่อว่ายกหูโทรหาคุณพ่อเด็กสาวคนนั้นอีกครั้ง และก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตกอีกครั้งเมื่อตั้งใจแรกคือจะโทรไปขอโทษที่ทางห้างเข้าใจผิดจนส่งคูปองไปพลาด กลายเป็นว่าพ่อของเด็กสาวคนนั้นขอโทษผู้จัดการด้วยความสุภาพอย่างมากเพราะก็เพิ่งพบว่าลูกสาวเค้าท้องจริง
สิ่งที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องนี้คือทางห้างได้เรียนรู้และทำการจัดผสมคูปองแบบมั่วๆ เข้าไปบ้าง เพื่อให้คนรับรู้สึกว่าบังเอิญจังที่ได้คูปองส่วนลดสินค้าเด็ก จากที่เคยส่งแต่คูปองส่วนลดสินค้าเด็กไปให้มากมาย กลายเป็นว่าด้วยความที่มันออกจะมากเกินไปเลยไม่ค่อยมีใครชอบใจสักเท่าไหร่เท่านั้นเอง
และนี่ก็เป็นมุมมองของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องนี้ ว่าจะแก้ปัญหาที่มีตรงหน้าได้อย่างไร แต่ผมขอเสริมในอีกแง่มุมของเรื่องราวนี้ว่าอันที่จริงแล้วทางทีมการตลาดของห้าง Target พบว่าคูปองที่แม่นยำมากแต่กลับมีคนเอาคูปองกลับมาใช้น้อย ทางทีมงานเลยทดลองหลายๆ รูปแบบจนพบสัดส่วนที่กำลังดีในการแทรกคูปองส่วนลดสินค้าเด็กเข้าไป ที่จะทำให้คนรับรู้สึกไม่ตกใจ แต่ทำให้รู้สึกเซอร์ไพรซ์แทน
และสาย Data แบบลึกๆ ก็บอกว่าความเป็นจริงแล้วคูปองที่ถูกส่งคละเข้าไปไม่ได้มาจากการสุ่มไปเรื่อยๆ แต่มาจากค่าความแม่นยำที่ไม่แม่นร้อยเปอร์เซนต์ ทางห้าง Target ก็เลยเอาเปอร์เซนต์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำใส่คูปองชนิดอื่นเข้าไป กลายเป็นว่าร้อยทั้งร้อยที่ได้รับอย่างไรก็แม่นยำว่าต้องโดนใจผู้รับแน่ๆ แค่ไม่ได้ให้แต่คูปองส่วนลดสินค้าเด็กทั้งหมดแบบไม่สร้างสรรค์เท่านั้นเอง
ว่าจะสรุปแค่สั้นๆ แต่แค่เรื่องเดียวก็ยาวเสียเหลือเกิน ลองมาดูประเด็นอื่นในหนังสือเล่มนี้ต่อที่ผมคิดว่าน่าสนใจ ขอหยิบมาสรุปให้เพื่อนๆ อ่านแล้วเล่าได้ฟังกันครับ
เรื่องการแก้ปัญหาชื่อเสียให้กลายเป็นชื่อเสียงอย่างสร้างสรรค์ ของอัลเฟรด โนเบล ก็น่าสนใจ ซึ่งเรื่องเป็นแบบนี้ครับ
อัลเฟรด โนเบล ชื่อนี้เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนน่าจะรู้จักหรือคุ้นหูกันดี เพราะนามสกุลของชายคนนี้คือชื่อของรางวัลอันโด่งดังที่นักคิด หรือนักวิทยาศาสตร์มากมายอยากได้รางวัลเขาเป็นเกียรติประวัติในชีวิตเสียเหลือเกินครับ
ที่มาที่ไปของรางวัลโนเบลมาจากการที่เค้าต้องการแก้ชื่อเสียของตัวเองอย่างหนัก เรื่องมีอยู่ว่าเดิมทีอัลเฟรด โนเบล คนนี้เป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นระเบิดไดนาไมท์ ด้วยความที่แต่ก่อนตอนจะระเบิดภูเขาเพื่อจุดเขาะอุโมงทำรางรถไฟนั้นต้องใช้แรงงานคนมหาศาล แต่ด้วยความที่ระเบิดในสมัยนั้นคุณภาพแย่มากเพราะมันมีสภาพเหมือนของเหลว แค่สั่นไหวนิดเดียวก็เกิดระเบิดแล้ว ส่งผลให้มีผู้คนมากมายต้องเสียชีวิตไประหว่างการขนย้ายระเบิดไปยังจุดก่อสร้าง
อัลเฟรด โนเบล เลยสามารถคิดค้นให้ระเบิดรูปแบบใหม่นั้นอยู่ในรูปแบบของหนืด และจะระเบิดก็ต่อเมื่อมีความร้อนจากชนวนเข้ามา ไม่ใช่แค่เอาสารสองตัวมาสัมผัสกันเหมือนเดิม และที่เจ๋งกว่านั้นคืออัลเฟรด โนเบล สามารถประดิษฐ์เจ้าระเบิดไดนาไมท์ให้อยู่ในรูปแท่งเหมือนดินสอ ทำให้การระเบิดภูเขาเพื่อขุดอุโมงสามารถทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก แค่เจาะรูปนิดเดียวแล้วใส่ระเบิดเข้าไป ก็สามารถประหยัดการใช้ระเบิดไปได้มากมายแต่กลับได้ผลลัพธ์มหาศาล
แต่ก็นั่นเองเมื่อนานวันเข้าระเบิดไดนาไมท์ก็ถูกเอาไปใช้อย่างกว้างขวาง ซึ่งไม่ใช่ใช้แค่กับการก่อสร้างแต่ถูกเอาไปใช้ในการสงครามอย่างมากมาย
แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็มีข่าวว่าตัวเค้าเสียชีวิตแต่ความจริงแล้วเป็นอีกคนใกล้ชิดต่างหากที่ตาย ทางหนังสือพิมพ์เลยประโคมข่าวกันอย่างยิ่งใหญ่ว่า “พ่อค้ามัจจุราชตายแล้ว” ซึ่งนั่นทำให้เขาเสียใจมากว่าที่ประดิษฐ์ไดนาไมท์เพราะอยากช่วยชีวิตคนให้ปลอดภัยจากการใช้ระเบิดขุดเจาะอุโมงค์ก่อสร้าง แต่กลับกลายเป็นว่าเขาถูกตีตราว่าเป็นผู้สร้างอาวุธมหาประลัย
และจากจุดนั้นเองเค้าก็เลยเกิดไอเดียว่าถ้าจะสร้างแบรนด์ให้กับชื่อของตัวเองใหม่ ให้คนรุ่นหลังจดจำตัวเขาไปในทางที่ดี เขาเลยสร้างรางวัลโนเบลขึ้นมาให้กับผู้คนในสายงานต่างๆ ที่สามารถอุทิศตนเพื่อโลกได้อย่างท่านึ่ง และหนึ่งในรางวัลพิเศษที่ไม่เกี่ยวกับสายงานใดเป็นพิเศษเลยก็คือรางวัลโนเบลในสาขาสันติภาพครับ
จากนั้นเป็นต้นมาชื่อของอัลเฟรด โนเบล ก็ถูกจดจำในแง่บวกต่อมนุษยชาติเสมอมา ลองคิดดูซิว่าถ้าเขาไม่ลงทุนสร้างรางวัลนี้ขึ้นมาด้วยการมอบทรัพย์สินที่เขามีมหาศาลออกไปแค่นิดหน่อย ชื่อของอัลเฟรด โนเบล คงไม่มีใครอยากเข้าใกล้เหมือนกับการได้รางวัลโนเบลในวันนี้สักนิดเดียว
ขออีกเรื่องที่คิดว่าไม่เล่าให้ฟังไม่ได้ เรื่องนี้เป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาการฆ่าแมวน้ำเพื่อเอาหนังไปทำเสื้อโค้ทของแบรนด์ดังต่างๆ
บางครั้งการแก้ปัญหาก็ไม่ได้ยุ่งยากหรือซับซ้อน ถ้าเราสามารถเข้าใจต้นตอที่แท้จริงของปัญหานั้น
เรื่องมีอยู่ว่าทางกลุ่ม NGO ต่างๆ มักจะพยายามหาทางเข้าไปขัดขวางบรรดาเรือที่ออกไปล่า ออกไปฆ่าลูกแมวน้ำตามขั้วโลกเหนือเพื่อเอาหนัง ก็เพราะหนังลูกแมวน้ำนั้นมีขนที่สวย นุ่ม ใส่สบาย ทำให้เป็นที่ต้องการสำหรับแบรนด์ดังมากมายครับ
แต่ทางกลุ่ม NGO แม้จะพยายามห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผลอย่างที่ต้องการ จนทำให้เกิดการต้องเข้าปะทะกันหลายครั้งระหว่างกลุ่มผู้ล่ากับกลุ่มผู้รักแมวน้ำนั่นเอง
จนมีใครสักคนในกลุ่ม NGO วิเคราะห์ปัญหานี้ลึกลงไปจนพบกับต้นตอของปัญหาที่แท้จริง ปัญหาที่แท้จริงที่แมวน้ำถูกฆ่าก็คือขนที่สวยงามของมัน ดังนั้นถ้าลูกแมวน้ำตัวไหนขนไม่สวยหรือมีตำหนิมันก็จะไม่ถูกฆ่า และนั่นเองก็เลยเป็นที่มาของการแก้ปัญหาอย่างครีเอทีฟสุดๆ ครับ
ทางกลุ่ม NGO เลยเลิกเข้าประทะกับกลุ่มเรือผู้ล่าแมวน้ำอย่างทันที แล้วพวกเขาก็เลือกที่จะรีบเข้าหาบรรดาลูกแมวน้ำที่ขนสวยทั้งหลายพร้อมสีสเปรย์ในมือหนึ่งกระป๋อง ทันทีที่เจอลูกแมวน้ำปุ๊บพวกเขาจะรีบวิ่งเข้าไปหาแล้วเอาสีสเปรย์ฉีดใส่ตัวเป็นเส้นเพื่อทำตำหนิ
ตัวลูกแมวน้ำเองไม่รู้สึกหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น ผ่านไปไม่นานสีที่ถูกพ่นก็แห้งติดขนแมวน้ำไปจนล้างไม่ออก สักไม่ได้ พอบรรดาเรือนักล่าแมวน้ำผ่านมาเห็นพบขนลูกแมวน้ำมีตำหนิไม่สวยเฟอร์เพคอีกต่อไป พวกเขาก็ไม่ต้องการลงไปฆ่าลูกแมวน้ำเหล่านั้นให้เหนื่อยแรงเปล่าด้วยตัวเอง
เป็นอย่างไรครับกับการแก้ปัญหาด้วยการวิเคราะห์ลงไปให้ถึงต้นตอ เคสนี้ก็เหมือนกับหลายครั้งของนักธุรกิจหรือนักการตลาดที่ไม่ได้ทำความเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหาอย่างเพียงพอ แค่คิดว่าถ้าแก้ไปเดี๋ยวมันก็หาย แต่ในความเป็นจริงแล้วการแก้ปัญหาโดยยังไม่เข้าใจต้นตอของปัญหาที่แท้จริงนอกจากจะทำให้เสียเงินและเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ยังทำให้อาจเป็นการสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาโดยไม่จำเป็นด้วยซ้ำ
ดังนั้นสรุปได้ว่าหนังสือหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสามเล่มนี้เป็นหนังสือที่เล่าเรื่องความครีเอทีฟหรือความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดีเยี่ยมครับ ในฐานะที่ผมเคยเป็นครีเอทีฟในเอเจนซี่โฆษณามาก่อนยังรู้สึกทึ่งมากกับเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จริงๆ จะเสียดายก็แต่แค่หยิบมาอ่านช้าไปหน่อย ทั้งๆ ที่มีติดชั้นหนังสือที่บ้านไว้นานมากแล้วครับ
อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 25 ของปี 2020
สรุปหนังสือ หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสาม
ONE PLUS ONE EQUALS THREE
DAVE TROTT เขียน
สำนักพิมพ์ WE LEARN
20200709
สนใจอ่านสรุปหนังสือแนว Creativity ต่อ > https://www.summaread.net/category/creativity/
สั่งซื้อออนไลน์ > https://bit.ly/2Cn8YnS