The Fred Factor คนที่ทำงานเก่งที่สุดในโลกเขาทำอะไรกัน

นี่คือหนังสือที่ถูกแนะนำให้อ่านโดยหนังสือ(อ่านตรงนี้แล้วรู้สึก inception มั้ยครับ)ใช้ความสุขทำกำไร Delivering Happiness โดย Tony Hsieh หรือผู้ก่อตั้งเวปไซต์ที่ขายรองเท้าออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถูกซื้อกิจการไปโดยเวปไซต์ขายของที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน ด้วยราคากว่า 1,000ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นหนึ่งในหนังสือที่ Tony Hsieh บอกว่าพนักงานของเค้าถ้าอยากจะเลื่อนขั้นอัพตำแหน่งต้องอ่านเล่มนี้แล้วมาคุยกันว่าคิดยังไง…เออ เป็นวิธีการประเมินที่น่าสนใจแฮะ อยากเห็นบ้านเราทำแบบนี้บ้างจัง เรื่องราวในเล่มเป็นเรื่องราวของบุรุษไปรษณีย์คนหนึ่งที่ชื่อว่า Fred หรือ เฟร็ด พนักงานไปรษณีย์ในรัฐเดนเวอร์ที่ทำงานเกินหน้าที่เสมอมา จน Mark Sanborn นักพูดผู้สร้างแรงบันดาลใจชื่อดังต้องหยิบเอาเรื่องที่ตัวเองได้รับจากเฟร็ดมาเขียนเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม แถมยังติด New York…

Nudge สะกดความคิด สะกิดพฤติกรรม

วิธีกำหนดทางเลือกอย่างแยบยลให้คนเดินไปในทางที่คุณต้องการ เขียนโดย Richard H. Thaler และ Cass R. Sunstein พูดถึงเรื่องการชี้นำทางเลือกให้ผู้คนแต่ยังให้ผู้คนมีอิสระเสรีที่จะเลือก เป็นแนวทางการปกครองแบบใหม่ที่เรียกว่า พ่อปกครองลูกแบบเสรีนิยม ฟังครั้งแรกมีงงว่ายังไงแต่พออ่านแล้วจึงเข้าใจว่าอ๋อ…ขอยกเคสตัวอย่างในหนังสือหนึ่งเคสเลยแล้วกัน ในโรงอาหารในโรงเรียนแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เกิดปัญหาว่าเด็กนักเรียนมีพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดความอ้วนเกินมาตรฐานในวัยเด็ก ทางผู้จัดการโรงอาหารเลยคิดหาทางแก้ไขว่าจะทำอย่างไรดี ระหว่างที่จัดการประชุมร่วมกับทุกฝ่าย ก็มีอาจารย์ท่านนึงเสนอว่าให้ตัดอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพทิ้งไปเลย ให้เหลือแต่ของที่ดีต่อสุขภาพ(ในความคิดของผู้ใหญ่) แต่อาจารย์ฝ่ายเสรีนิยมก็เสนอว่าทำแบบนั้นมันไม่ถูกต้องมันเผด็จการเกินไป อาจารย์ผู้เป็นผู้ดูแลโรงอาหารแห่งนี้เลยปิ๊งไอเดียบางอย่างว่า ให้เราลองทำการทดลองดูว่า ถ้าเราสลับถาดอาหารโดยให้อาหารที่ดีต่อสุขภาพอยู่ลำดับต้นทั้งหมด และให้อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอยู่ในลำดับท้ายทั้งหมด เปรียบเทียบกับอีกโรงเรียนที่จัดวางอาหารแบบไม่มีลำดับหรือสุ่ม แล้วผลออกมาจะเป็นอย่างไร คุณคิดว่าผลสองโรงเรียนนี้จะต่างกันหรือไม่ กับการแค่ลำดับถาดอาหาร..ใช่ครับ ผลที่ได้ออกมาต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ…

Quirkology เปลี่ยนมุมคิดด้วยจิตวิทยาภาคพิศดาร

โดย Richard Wiseman หนังสืออีกเล่มสำหรับคนที่ชอบเรื่องจิตวิทยาหรือเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมโดยเฉพาะ และก็เหมาะสำหรับคนทำการตลาดทั้งหลายด้วยนะ.. ..แต่ถ้าคนที่อ่านหนังสือแนวนี้มาเยอะแล้วอาจจะพบว่าหลายบทในเล่มนี้เหมือนกับหลายๆเล่มที่เคยอ่านผ่านมาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Malcolm Gladwell หรือ Dan Ariely และนักเขียนด้านนี้คนอื่นๆอีกหลายคนที่ผมจำชื่อไม่ได้ แล้วหนังสือเล่มนี้สนุกตรงไหนล่ะ.. ..มันสนุกตรงที่ผู้เขียนไปศึกษาติดตามพฤติกรรมแปลกๆของคนเราออกมาเป็นผลลัพธ์ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นคนเราจะเดินช้าลงโดยไม่รู้ตัวเมื่อถูกป้อนความคิดเรื่องความแก่ชราลงไปก่อนหน้านั้น อาจจะด้วยการอ่าน พูด หรือทำแบบสอบภาม จะเห็นว่าคนเรานั้นสามารถูกชี้นำความคิดได้ง่ายๆ.. ..แต่หัวข้อที่ผมรู้สึกชอบมากที่สุดในเล่มนี้เป็นเรื่องของ “มุขตลก” ผู้เขียนพยายามค้นหาว่ามีมั้ยนะมุขตลกที่เป็นสากลของโลกนี้ ที่สามารถทำให้คนทุกคนบนโลกขำได้หมด ปรากฏว่าไม่มีครับ เพราะแม้แต่มุขที่ตลกที่สุดจากการโหวตจากคนหลายแสนคนทั่วโลก จากหัวข้อมุขตลกกว่าหมื่นมุขที่มีคนส่งเข้ามา พบว่าได้คะแนนเพียง 55% เท่านั้น…

The (Honest) Truth About Dishonesty อ่านทะลุความคิด ด้วยจิตวิทยาแห่งการโกง

โดย Dan Ariely จะนิยามผู้เขียนว่าเป็นนักศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ผู้โด่งดังก็ว่าได้ เพราะหนังสือหลายเล่มที่เค้าเขียนมาเชื่อว่าเราหลายคนคงคุ้นกันมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรมพยากรณ์ หรือ เหตุผลที่ไม่ควรมีเหตุผล.. ..พฤติกรรมคนเราสามารถศึกษาได้ไม่ยากแต่คาดเดาได้ไม่ง่าย มนุษย์ที่ว่ากันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทีอุดมไปด้วยเหตุและผลนั้น แท้จริงแล้วกลับใช้อารมณ์ในการดำเนินชีวิตเป็นส่วนใหญ่จนน่าตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะรอดจากวิกฤตต่างๆในสมัยโบราณจนกลายมาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ปกครองโลกใบนี้ได้.. ..เล่มนี้ผู้เขียนศึกษาถึงเรื่องพฤติกรรมการโกงของมนุษย์เราซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์เราส่วนใหญ่(แทบจะทุกคนบนโลกนี้)กลับเป็นผู้ที่มีความขี้โกงในตัวเล็กๆน้อยๆ แต่จะมีก็เพียงแต่ส่วนน้อยมากเท่านั้นที่ไม่โกงเลยหรือโกงแบบสุดลิ่มทิ่มประตู แล้วทำไมมนุษย์เราผู้มีอารยถึงกลายเป็นผู้ขี้โกงทุกคนไปโดยไม่รู้ตัวได้ล่ะ.. ..ใช่แล้วครับเหตุผลคือทุกครั้งที่คนเราโกงแบบเล็กๆน้อยๆ (มีผลศึกษามาแล้วว่าประมาณ 15-20% ของค่าเฉลี่ยจากการไม่โกง) ก็เพราะคนเราเชื่อว่านั่นไม่ใช่การโกงหรือการทำผิดอะไรมากมาย พอด้วยเราไม่คิดว่ามันผิดเราก็เลยทำไปโดยไม่รู้ตัวเสมอมา.. ..ไม่ว่าจะเป็นการเอาดินสอหรือปากกาในที่ทำงานกลับมาใช้ที่บ้าน (อย่าบอกว่าคุณไม่เคยเพราะผมเคย) การแอบปริ้นท์หรือซีร็อกซ์เอกสารส่วนตัวในที่ทำงาน หรือบางคนปริ้นท์รายงานให้ลูกจากที่ออฟฟิศ หรือแม้แต่แอบเบิกเงินค่าเดินทางหรือค่าจิปาถะเกินมาเล็กๆน้อยๆโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตาม คนส่วนใหญ่(ไม่อยากจะบอกว่าทุกคน)คงจะเคยทำงานมาแล้วทั้งนั้น.. ..แล้วจะทำอย่างไรให้คนไม่โกงเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ล่ะ?.. ..เช่นกัน…

ติดอะไรไม่เท่าติดหนึบ MADE TO STICK

“พูดยังไงให้คนจำได้ฝังใจไปจนตาย” ประโยคนี้น่าจะเป็นแก่นของหนังสือเล่มนี้ เมื่อพูดถึงเรื่องการพูดหรือการสื่อสาร หลายคนอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องไกลตัวเพราะตัวเองไม่จำเป็นต้องไปพูดให้คนอื่นฟัง หรือไปพูดพรีเซนต์งานขายของซักเท่าไหร่ในชีวิต ก็อาจจะจริงครับ แต่ถ้าคิดถึงเรื่องไกล้ตัวอย่างการ “พูด” ให้แฟน เพื่อน หรือคนในครอบครัวแม้กระทั่งลูกเข้าใจและคล้อยตามนั้นกลับเป็นเรื่องยากซะจริง ไกล้ตัวขึ้นเยอะเลยใช่มั้ยครับแบบนี้ หลายครั้งที่คนเราพยายามสื่อสารใจความที่ตัวเองเห็นว่าสำคัญออกไปให้คนที่ฟังเข้าใจ แต่คนที่ฟังกลับไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วเราก็ได้แต่โทษคนที่เราพูดด้วยว่า “ทำไมเป็นคนเข้าใจยากเย็นอะไรอย่างนี้นะ!?” คิดแบบนี้ในใจบ่อยมั้ยครับ ถ้าใช่หนังสือเล่มนี้ก็เหมาะกับคุณ ผมเชื่อว่าการสื่อสารเป็นหัวใจหลักของมนุษย์เรา ถ้าเราสื่อสารแนวคิดให้กันและกันไม่ได้ เราก็คงไม่สามารถอยู่ในจุดที่เรียกสัตว์ครองโลกอย่างทุกวันนี้ได้ เพราะการสื่อสารทำให้มนุษย์เหนือกว่าสัตว์ที่มีพละกำลังมากกว่าเราหลายเท่านัก ถ้าอย่างนั้นทำไมคนส่วนใหญ่ถึงยังสื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจล่ะ นั่นเพราะเราหรือตัวผู้พูดนั้น ไม่ได้เข้าใจถึงวิธีการสื่อสารที่ดีพอที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจได้ อธิบายให้ง่ายขึ้นอีกหน่อยได้มั้ย..ได้ครับ ในหนังสือ MADE TO STICK…

ใช้ความสุขทำกำไร Delivering Happiness

ใช้ความสุขทำกำไร ทำไงวะ!? นี่คือคำถามแวปแรกที่เห็นหน้าปกหนังสือเล่มนี้ Delivering Happiness จาก CEO เวปขายรองเท้าออนไลน์มูลค่าหลายพันล้านเหรียญ คนส่วนใหญ่มักคิดเหมือนกันว่า “ความสุข” นั้นจะหาได้จากการใช้ “กำไร” ในการทำงานมาแลก แต่สำหรับ Tony Hsieh ที่เป็น CEO ของ Zappos.com เวปไซต์ขายรองเท้าเบอร์หนึ่งของโลกก็ว่าได้ พูดถึง “ความสุข” คนส่วนใหญ่มักคิดว่าถ้าอยากจะมีความสุขก็ต้องมี “เงินหรือกำไร” จากการทำงานทำธุรกิจ เพราะเรามักจะคิดถึงการที่เราต้องใช้ “เงิน” เพื่อซื้อหรือแลก “ความสุข”…

Purple Cow การตลาดแบบวัวสีม่วง

การตลาดแบบวัวสีม่วงคืออะไร? แล้วทำไมต้องวัวสีม่วง? นี่คือคำถามแรกตอนเห็นหน้าปกเล่มนี้ว่าทำไมต้องวัวสีม่วงด้วยนะ เอาวะ หยิบติดมือมาอีกเล่มก็ได้ (จากงานหนังสือเมื่อต้นปี 2018 ที่ผ่านมาครับ) พออ่านจบปุ๊บก็เข้าใจปั๊บว่าทำไมต้องเป็น Purple Cow ผู้เขียน Seth Godin ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด(เค้าเขียนหนังสือมาหลายสิบเล่มแล้ว)ตั้งใจจะล้อกับหลักการตลาด 4P 5P หรือ 7P อะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะ Product, Price, Place, Promotion, People ว่าไหนๆก็ชอบใช้ทฤษฎีตัว P กัน ก็เลยขอเอี่ยวไปอีก…

HOOKED สร้างของให้คนติด

ความลับเบื้องหลังจองเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ กูเกิล และแอปเปิลว่าทำอย่างไรคนถึงชอบจนหยุดใช้ไม่ได้ ผมว่าเป็นหนังสือด้านจิตวิทยาการตลาดอีกเล่มที่น่าสนใจ โดยที่แก่นหลักของเรื่องก็คือการสร้างพฤติกรรมการเสพย์ติดผ่านวงจรการสร้างที่มี 4 ขั้นตอนหลักที่เริ่มด้วย “ตัวกระตุ้น” ที่เป็นการสะกิดให้คนรู้ตัว จากนั้นก็ “ทำให้ง่าย” อะไรที่คนเคยทำได้อยู่แล้วก็ทำให้ง่ายขึ้น หรืออะไรที่คนเคยอยากทำแต่ไม่ได้ทำเพราะความยุ่งยากก็ทำให้ง่ายลง แล้วก็ต่อด้วย “รางวัลที่คาดเดาไม่ได้” แต่รู้ว่าต้องได้อะไรซักอย่างจากการกระทำนั้น เพียงแค่ยังเดาไม่ออกว่าจะเจออะไรบ้าง และสุดท้ายคือ “การลงทุนลงแรง” ไม่ว่าจะเป็นการขอให้คนทำมากขึ้น หรือยอมจ่ายเงินเข้าไป สุดท้ายก็จะกลายเป็นเหตุผลให้คนยิ่งติดและถอนตัวไม่ขึ้นด้วยตัวเองจนกลายเป็นนิสัยใหม่ของคนขึ้นมา และนี่ก็คือใจความของหมดของหนังสือเล่มนี้ แต่ถ้าจะให้สรุปจบแค่นี้ก็คงไม่สนุก ผมขอเล่าให้ฟังเพิ่มถึงบางช่วงบางตอนที่ผมสนใจเป็นพิเศษแล้วกันนะครับ บริษัทที่ดีหรือจะเป็นผู้นำในตลาดได้ ต้องเป็นสิ่งแรกที่คนคิดถึงเมื่อต้องการทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ เช่น เบื่อ…เปิดเฟซบุ๊กหรือ…

HEGARTY ON CREATIVITY THE ARE NO RULE ลบ 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง

คำนิยามหน้าเล่มบอกไว้ว่า “คู่มือสามัญประจำตัวสำหรับคนที่ใช้ “ความคิด” ทำงาน ส่งตรงจากนักโฆษณามือหนึ่งของอังกฤษ แล้ว “นักโฆษณามือหนึ่งของอังกฤษ” ที่ว่าผู้นี้เป็นใคร? อ๋อเค้าคือ John Hegarty หนึ่งในนักโฆษณาที่มีชื่อเสียงที่สุดในอังกฤษคนหนึ่ง เป็นผู้ก่อตั้ง Bartle Bogle Hegarty (BBH) บริษัทโฆษณาระดับโลกที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก และมีลูกค้าเป็นบริษัทดังๆ ไม่ว่าจะเป็นลีวายส์ ออดี้ เพลย์สเตชั่น ยูนิลีเวอร์ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บริติชแอร์เวย์ และอีกเพียบที่เค้าไม่ได้บอก นอกจากนี้เขายังเคยเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท Saatchi &…

START WITH WHY

ตั้งคำถามเพียง 1 ข้อ ก็พลิกจากตามขึ้นมานำ โดย Simon Sinek นักพูด TED Talk ชื่อดังผู้เผยแพร่ความคิด Golden Ring, Why How and What ..ครั้งนึงเมื่อหลายปีก่อนผมเคยได้ดูชายคนนี้พูดใน TED Talk ซึ่งสารภาพเลยว่าในตอนนั้นไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า TED Talk คืออะไร รู้แต่ว่าชายคนนี้พูดอธิบายหลักการความคิดในการสื่อสารออกมาได้ดีถึงดีมาก ว่าการสื่อสารที่ดีเข้าถึงจิตใจคนคือการเริ่มต้นจากคำว่า WHY ไม่ใช่ WHAT หรือ…