THE STRATEGIST คิดอย่างนักวางกลยุทธ์

โดย Cynthia A. Montgomery เป็นผู้สอนในหลักสูตรยอดนิยมของ Harvard Business School ที่มีชื่อว่า EOP ย่อมาจาก Entrepreneur, Owner และ President ผู้เรียนส่วนใหญ่เลยเป็นบรรดา CEO ผู้บริหารระดับสูง เจ้าของธุรกิจ หรือไม่ก็ทายาทที่กำลังจะมารับช่วงต่อ จากบริษัทระดับกลางที่มีรายได้หรือยอดขายต่อปีอยู่ที่หลักสิบล้านดอลลาร์ จนถึงพันล้านดอลลาร์ เราอาจจะคิดว่าคนเหล่านี้ต้องรู้จักและเข้าใจในเรื่องกลยุทธ์ หรือ strategy เป็นอย่างดีอยู่แล้วซิ ไม่งั้นจะสามารถพาบริษัทให้โตจนมียอดขายต่อปีหลายสิบจนถึงพันล้านดอลลาร์ได้หรอ แต่ในความเป็นจริงแล้วใช่ครับ เพราะผู้เขียนบอกว่าคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจถึงการคิดแบบนักวางกลยุทธ์อย่างแท้จริง และงานการวางกลยุทธ์ส่วนใหญ่ก็กลับเป็นของที่ปรึกษา…

165 เกร็ดสถิติจาก Harvard ที่จะทำให้คุณอ่านเกมขาดเรื่องธุรกิจ

Stats & Curiosities from Harvard Business Review เป็นอีกหนึ่งหนังสือที่น่าสนใจและอ่านง่ายอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะอ่านแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็จบแล้ว แต่กลับได้สถิติ ตัวเลข จากการสำรวจที่หลากหลาย จนทำให้ใครก็ตามที่กำลังหาข้อมูลสนับสนุนการทำพรีเซนเทชั่นสามารถเอาไปใช้ได้แบบน่าเชื่อถือ (ก็มาจาก Havard Business Review นิ จะมีซักกี่คนที่จะไม่เชื่อกันล่ะ) ไม่ต้องเกริ่นเยอะกว่านี้แล้ว ผมขอเอาบางสถิติในเล่มที่ผมคิดว่าน่าสนใจด้วยความแปลกใหม่และไม่น่าเชื่อเอามาเล่าสรุปสู่กันฟังแล้วกันนะครับ สถิติที่ 4 ผู้คนไม่ชอบธนบัตรเก่า และอยากใช้มันให้เร็วที่สุด คนที่ได้รับธนบัตรดอลลาร์ใบเก่ามีโอกาสจะนำธนบัตรไปใช้มากกว่าคนที่ได้รับธนบัตรใบใหม่ถึง 82% เพราะผู้คนรู้สึกขยะแขยงธนบัตรที่มีสภาพยับเยินและอยากกำจัดไปให้พ้นๆ เพราะรู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยเชื้อโรค… ดังนั้นถ้ารัฐบาลอยากให้คนออมเงินเยอะๆช่วงไหน ก็พยายามแจกจ่ายธนบัตรใบใหม่ๆสวยๆออกไปนะครับ…

ชีวิตดีขึ้นทันตาเห็น แค่หยิบเรื่องมาคุยเล่น 30 วินาที

หนังสือว่าด้วยศาสตร์แห่งการคุยเล่นที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น การคุยเล่นที่บางคนอาจจะเห็นว่าไร้สาระนั้น จะรู้มั้ยว่าความไร้สาระนั่นแหละคือแก่นสารของชีวิตเรา คนที่คุยเล่นได้เก่งคือคนที่มีทักษะในการสื่อสารได้ดี และก็เป็นคนที่ใครๆก็รักและชื่นชอบ ถ้าเราสังเกตุจากสิ่งรอบตัวในชีวิต เราจะพบเจอแต่เรื่องราวไร้สาระที่กลายมาเป็นสาระหลักในชีวิตเรามากขึ้นทุกวัน การพูดคุยคือส่วนหนึ่งในการทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคนที่พูดคุยเก่งก็มีแนวโน้มจะเติบโตในหน้าที่การงานได้ดี หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านง่ายๆ และเหมาะจะเอามาทดลองใช้ในชีวิตประจำวันดู แม้แต่การสัมภาษณ์งาน ก็ยังแฝงการคุยเล่นที่ไร้สาระ เพื่อดูว่าคุณเป็นคนรับมือกับเรื่องเล่านี้ยังไงเลย เรามาหัดคุยเล่นกันวันละ30วินาทีกันเถอะครับ อ่านเมื่อปี 2016

กลยุทธ์จุดกระแส The Tipping Point

จะบอกว่าเป็นหนังสือที่ค่อนข้างเก่าพอควรก็ว่าได้ แต่ด้วยจากผมเพิ่งหัดอ่านหนังสือได้ไม่นานเลยให้ใหม่สำหรับผม หนังสือตามสไตล์ของ Malcolm Gladwell ที่เล่าเรื่องของการตลาด หรือเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ที่ทำอย่างไรถึงจะจุดกระแสอะไรบางอย่างขึ้นมา และอะไรบางอย่างที่เป็นกระแสขึ้นมานั้น เป็นได้ด้วยอะไร การจุดกระแส และทำให้คนติดหนึบกับอะไรบางอย่างนั้น ในหนังสือบอกว่า การจุดกระแสประกอบด้วยคนสามคน คือ ผู้รู้(Maven)ผู้เชื่อมโยง(Connector)และนักขาย รวมถึงบริบทหรือสถานการณ์ ณ ขณะนั้น ก็มีผลอย่างมาก เพราะมนุษย์เราไม่ได้เป็นปัจเจก หรือแน่วแน่ในตัวเองอย่างแท้จริง แต่เป็นไปตามสภาพแวดล้อมรอบตัว โดยไม่รู้ตัวเป็นประจำ 3 คน และ 1 สถานการณ์ ทำให้เกิดการจุดกระแสขึ้นมาได้…

คิดไม่ต้องเค้น The Accidental Creative

เป็นหนังสือที่แนะนำเหล่าครีเอทีฟ และคนที่ต้องใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหาของงานในทุกๆวัน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ผู้จัดการ นักการตลาด หรือคนที่กำลังก่อตั้งสร้างกิจการของตัวเองขึ้นมาใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ อาจดูเป็นเรื่องพิศวงสำหรับหลายๆคน แต่สำหรับเค้านั้นมันคือกระบวนการที่สามารถบ่มเพาะให้ออกดอกออกผลเป็นความคิดดีๆทุกวันได้ เราอาจเคยคิดกับการระดมเวลาและสมองตูมเดียวลงไปให้จบเพราะมันทำให้เห็นผลลัพธ์ทันตา แต่ผู้เขียนหนังสืเล่มนี้แนะนำว่าวิธีแบบนั้นจะทำให้ตัวคุณและความคิดคุณทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว แต่การค่อยๆฝึกสร้างระบบระเบียบในความคิดนั้นคือการจัดสรรแบ่งปันเวลาแม้แต่จะต้องมีช่วงเวลาที่คุณจะไม่คิด แล้วให้สมองทำอย่างอื่นบ้าง เพราะการที่คุณไมาได้จดจ่อกับความคิดเรื่องนึงไม่ได้หมายความว่าสมองคุณจะไม่คิดถึงเรื่องนั้นโดยอัตโนมัติ อีกเรื่องนึงในหนังสือที่คิดเหมือนกับผมก็คือ ความคิดที่ดีจะออกมาได้ก็ต้องมาจากข้อมูลความรู้ดีๆที่รวบรวมมา คุณเก็บสิ่งใดไว้ในหัว คุณก็จะผลิตผลรวมจากสิ่งเหล่านั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว และเรื่องสุดท้ายคือการไม่เลือกหรือปฏิเสธ การปฏิเสธไม่ใช่การบอกปัดทิ้งเปล่า แต่เป็นการปฏิเสธเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับสิ่งนึง คิดง่ายๆเหมือนคุณมีน้ำอยู่ 1 ลิตร แต่คุณอยากปลูกเมล็ดพันธุ์ทั้ง 5 ชนิดให้งอกงามพร้อมกันคงเป็นไปได้ยาก อย่างมากก็พอรอดตายแบบไม่สวยงามได้ทั้ง 5 ต้น…

The upside of irrationality เหตุผลที่ไม่ควรมีเหตุผล

โดยรวมแล้วเล่มนี้พูดถึงความไม่มีเหตุมีผลของมนุษย์เรา โดยหลักของเศรษฐศาสตร์กระแสหลักแล้วนั้นเชื่อว่า มนุษย์นั้นเป็นผู้มีเหตุและผลในการคิดและตัดสินใจโดยสมบูรณ์ การกระทำทุกอย่างของมนุษย์นั้นผ่านความคิดที่พึงสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้แก่ตัวเอง แหม ฟังดูยังกับเทพยังไงก็ม่รู้ แต่จากการสำรวจแล้วนั้นกลับพบว่าเป็นคนละขั้วตรงข้าม เพราะผลสำรวจออกมาว่ามนุษย์นั้นกลับหูเบาเอนเอียงใจโลเล และไร้เหตุผลจนกลายเป็นเหตุผลของมนุษย์ไปซะแล้ว เช่น จากการสำรวจพบว่ามนุษย์นั้นชอบแก้แค้นเพื่อชดใช้ความยุติธรรมให้ตัวเอง แม้กระทั่งยอมสละเลือดเนื้อ(ทรัพย์สิน)ของตัวเองเพื่อเอาคืน นี่เป็นแค่หนึ่งหัวข้อจาก 11 หัวข้อที่น่าสนใจจากทั้งเล่มนี้ ใครที่เป็นแฟนหนังสือแนวเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม หรือจิตวิทยา ขอแนะนำว่านี่เป็นอีกเล่มที่คุณควรค่าแก่การอ่านครับ อ่านเมื่อปี 2016

Our Iceberg is Melting เมื่อทุกอย่างปกติดีก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง

เป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องทีมเวิร์คในรูปแบบนิทานการ์ตูนที่ไม่ว่าใครก็เข้าใจได้ เหมือนเอาฉากในชีวิตจริงในการทำงานออกมาเสียดแทงใจดำคนหลายคน ทั้งปัญหาจากการทำงานหมู่หรือการอธิบายความคิดของคนในหลายตำแหน่ง ถ้าอยากให้ทีมเวิร์คในทีมดีควรซื้อไปอ่านกันคนละเล่มแล้วแล้วกลับมาคุยกันซักรอบ ทุกคนน่าจะเห็นภาพตรงกันและเข้าใจทุกๆฝ่ายได้มากขึ้น อ่านจบทำให้ผมคิดได้ว่าการเล่าเรื่องด้วยนิทานนี่คนเขียนคนคิดต้องมีความเข้าใจที่แตกฉานในเรื่องนั้นมากจริงๆ ไม่งั้นก็จะเป็นได้แค่พวกคลั่งศัพท์วิชาการไทยคำอังกฤษคำเป็นกูรูกับพวกคนดูก็ต้องบอกว่ากูงงไปเรื่อยๆ เพราะการอธิบายที่ดีที่สุดคุณต้องถ่ายทอดความคิดให้แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องเข้าใจได้ ถ้าทำไม่ได้นั่นหมายความว่าถ้าไอเดียคุณยังไม่ดีคุณก็ยังไม่เข้าใจมันเองได้ดีพอ แก้กันที่ตัวเองง่ายกว่าแก้ที่คนอื่นเยอะเลย ปล.สรุปเกี่ยวกับเนื้อหาหนังสือมั้ยเนี่ย อ่านเมื่อปี 2016

คู่มือควบคุมอารมณ์คน Make Peace with Anyone

หนังสือที่อาจดูหน้าปกแปลกๆชื่อเล่มแปร่งๆ ดูเผินๆเหมือนหนังสือสะกดจิตหรือธรรมกายยังไงไม่รู้ แต่พอได้อ่านดูจะรู้ว่าเป็นหนังสือที่ดีและน่าสนใจบวกกับความอ่านง่ายคิดตามได้อย่างไม่น่าเชื่อ หนังสือคู่มือควบคุมอารมณ์คน หรือ Make Peace With Peace แนะนำวิธีการควบคุมตัวเอง และชี้นำความคิดคนรอบข้างด้วยหลักจิตวิทยาง่ายๆ เพียงแค่คุณต้องมีสติไม่ใช้อารมณ์ในตอนนั้น เช่น ถ้าคุณอยากให้คนอื่นปฏิบัติตัวอย่างไรคุณต้องสร้างภาพให้เค้าเชื่อว่าเค้าเป็นคนอย่างนั้น เช่น ถ้าคุณอยากให้เพื่อนร่วมงานคุณคนนึงใจเย็นขึ้นทั้งๆที่เค้าเป็นคนใจร้อนขี้โมโห คุณต้องพูดให้เค้าเชื่อว่าเค้าเป็นคนใจเย็นมากในความคิดคุณ จากตรงนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เค้ามองเห็นภาพตัวเองแบบนั้น พอคนเราเชื่อว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้นเราก็จะไม่ทำให้ตัวเองผิดหวัง นี่เป็นแค่หนึ่งในหลายเทคนิคในหนังสือเล่มนี้ พออ่านจบก็มีความรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้มีหลายส่วนที่คล้ายที่ เดล คาเนร์กี้ เขียนในหนังสือของเค้า จนทำให้เราคิดว่าหรือมันจะเป็นแก่นเดียวกันในการเข้าใจตัวเองและเข้าถึงผู้อื่น อ่านเมื่อปี 2016

วิชาสุดท้าย ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน

จากนักเขียนนักแปลคนโปรดคนนึงของผม คุณสฤณี อาชวานันทกุล ได้ยินมาว่าเป็นหนังสือที่บัณฑิตนิยมมอบให้กับบัณฑิตด้วยกันเมื่อสำเร็จการศึกษา.. นี่เป็นการสร้างจุดขายที่ทำให้กลายเป็นธรรมเนียมไม่เหมือนหนังสือเล่มอื่นเสียจริง ยอมรับว่าการตลาดฉลาดมาก เรื่องในเล่มเป็นเรื่องราวของคนเก่ง คนสำคัญ คนดัง หลายสิบคนที่เคยไปกล่าวปาถกฐาในวันสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกมากมาย เช่น Steve Job, JK Rolling และอีกหลายคนมากมายที่ผมเองก็จำไม่ได้เช่นกัน หนังสือเล่มนี้ดูเหมือนหนา..แต่ก็หนาจริงเพราะตั้งกว่า 500 หน้า แต่กลับไม่รู้สึกต้องใช้เวลาอ่านมากเลย เพราะเรื่องราวมาจากประสบการณ์จริงของบุคคลสำคัญจึงทำให้เวลาอ่านนั้นเข้าใจและคิดตามได้ไม่ยาก หลายเรื่องเป็นเรื่องราวที่เราพบเจอแต่ไม่เคยมองในแง่มุมของผู้พูดมาก่อน ก็ทำให้เราสะดุดคิดตามได้ ได้มุมมองใหม่ๆขึ้นมาได้ สุดท้ายแล้วหนังสือเล่มนี้ แม้คุณเลยวัยบัณฑิตมาแล้ว ก็ควรค่าแก่การหามาอ่านครับ เพราะวิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน คือวิชาชีวิตนอกห้องเรียน วิชาที่คุณต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง…

ทิ้ง 1 ให้ได้ 100 ทิ้งน้อยให้ได้มาก

รู้หรือไม่ว่าสิ่งหนึ่งที่คุณเก็บไว้ อาจทำให้คุณพลาดสิ่งดีๆ ไปเป็นร้อย เขียนโดยคนญี่ปุ่นแต่เนื้อหาข้างในกลับไม่เหมือนแนวญี่ปุ่นที่ผมคุ้นเคยเอาเสียเลย ปกติแล้วความเป็นคนญี่ปุ่นที่เราคุ้นเคยคือต้องอดทนพยายามจนสำเร็จ แต่นักเขียนท่านนี้เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากสไตล์การคิด และบริหารงานแบบฝรั่งจ๋าๆ ทำให้ได้เรื่องราวและมุมมองที่น่าสนใจหลายจุด เช่น.. ตอนนึงในเล่มที่ผู้เขียนเล่าว่าให้ผู้หญิงหันมาเลือกผู้ชายที่มีแฟนอยู่แล้ว.. เพราะ ผู้ชายที่มีแฟนอยู่แล้วนั่นเป็นเครื่องการันตีว่าผู้ชายคนนั้นน่าสนใจกว่าผู้ชายที่ไม่มีแฟน (เพราะใช้แฟนในปัจจุบันเป็นมุมมองชี้วัดคุณภาพของผู้ชายคนนั้น) ก็คล้ายๆกับการเลือกร้านอาหารที่มีคนรอเข้าคิวเยอะ เพราะนั่นก็น่าจะเป็นตัวช่วยในการเลือกในกรณีที่เราไม่มีข้อมูลเช่นกัน หรืออีกตอนที่ผู้เขียนเล่าว่าให้ทิ้งโอกาสเล็กๆตรงหน้าอย่างการก้มเก็บแบงค์พัน เพื่อมองหาขุมทรัพย์หลักล้านข้างหน้าแทน เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่คุณก้มเก็บโอกาสเล็กๆตรงหน้า คุณก็อาจจะพลาดโอกาสที่จะเข้าถึงโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่าก็เป็นได้ อ่านง่ายๆไม่ถึงวันก็จบ ใครมีหนังสืออะไรดีๆแนะนำกันมาจะขอบคุณมากเลยครับ อ่านแล้วเล่า ทิ้ง 1 ให้ได้ 100 ทิ้งน้อยให้ได้มากรู้หรือไม่ว่าสิ่งหนึ่งที่คุณเก็บไว้ อาจทำให้คุณพลาดสิ่งดีๆไปเป็นร้อย โยะชิโอะ ยะซุดะ…