ขยับแค่ 1 องศา ปัญหาก็หายไปครึ่งหนึ่ง The Obstacle is the Way

สรุปหนังสือ ขยับแค่ 1 องศา ปัญหาก็หายไปครึ่งหนึ่ง The Obstacle is the Way หนังสือเล่มนี้เตือนสติให้รู้ว่า “ปัญหา” ส่วนใหญ่นั้นไม่ได้ “ใหญ่” อย่างที่เรามักคิดไว้ เพราะคนเรานั้นมักเติมความคิดและอารมณ์เข้าไปในปัญหาส่วนใหญ่ให้ร้ายแรงเกินจริงกันทั้งนั้น เช่น เวลามีเพื่อนมาปรึกษาปัญหาอะไรก็ตามกับเรา เรามักจะมีคำแนะนำที่ดูเหมือนทำได้ง่าย ใช้ได้จริง และไม่ต้องเสียเวลาคิดเยอะก็หาคำตอบได้ทันทีให้กับเพื่อนเสมอ แต่พอปัญหาเกิดขึ้นกับตัวเราๆมักจะมองไม่เห็นทางออก คิดไม่เจอคำตอบ หรือแม้กระทั่งตัดสินไปแล้วว่าชีวิตต้องพังพินาศแน่ๆ แต่ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งชีวิตที่ผ่านมานั้น ปัญหาที่ทำให้ชีวิตเราต้องพังพินาศ หรือร้ายแรงอย่างที่คิดนั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย หรือถ้าจะเกิดขึ้นก็น้อยครั้งมาก คำถามคือทำไมเราส่วนใหญ่หรือแทบทุกคนถึงชอบจินตนาการถึงปัญหาของตัวเราไปในทิศทางนั้นเสมอล่ะ ผมขอเปรียบง่ายๆให้เห็นภาพว่าปัญหาก็เหมือนกัน…

Contagious ธรรมดาแต่ดังมาก

สรุปหนังสือ Contagious ธรรมดาแต่ดังมาก หน้าปกเค้าบอกว่า..ยิงให้ตรงจุด แล้วคนจะหยุดพูดถึงคุณไม่ได้ ด้วยเคล็ดลับจากหลักสูตรการตลาดยอดนิยมของ Wharton School คนการตลาดหรือคนโฆษณาส่วนใหญ่ แม้กระทั่งเจ้าของแบรนด์หรือร้านอาหารเล็กๆต่างก็พยายามหาทางคิดจนหัวแตกว่า ทำยังไงสินค้าหรือบริการเราจะขายดีติดตลาด กลายเป็นคำพูดติดปากของใครๆเหมือนเค้าบ้างนะ แล้วเค้าที่ว่าน่ะเค้าไหน? ก็เค้าที่เป็นเคสดังๆ word of mouth หรือ viral ดังๆกระหึ่มทั่วบ้านทั่วเมืองนั่นไงล่ะ ถ้าคนพูดถึงเค้ากันมากขนาดนั้นยอดขายมันก็ต้องพุ่งขึ้นเอาๆบ้างหละน่า.. เหรอครับ? ไวรัลไฟลามทุ่งหรือ wom ช่วยให้ขายดีได้ด้วยหรอครับ? ถ้างั้นผมต้องถามว่าคุณวัดมันจากอะไรล่ะ? ไวรัลอาจเป็นกระแสแค่ชั่วข้ามคืน 2-3 วัน ที่ทำให้ทุกคนพูดถึงพร้อมกัน…

Concept is Everything – 1,000 ไอเดียหรือจะสู้ 1 คอนเซปต์

สรุปหนังสือ Concept is Everything ฉบับภาษาไทยของสำนักพิมพ์ Welearn นี้มีชื่อไทยว่า 1,000 ไอเดียหรือจะสู้ 1 คอนเซปต์ บางคนอาจสงสัยว่าแล้วไอเดียกับคอนเซปต์มันต่างกันอย่างไร ผมขออธิบายแบบนี้ครับในฐานะคนที่เคยเป็นครีเอทีฟและทำโฆษณามาก่อน ไอเดียคือวิธีการ หรือจะเรียกให้ง่ายขึ้นคือ execution ก็ว่าได้ แต่คอนเซปต์นั้นคือแนวทางหรือเป้าหมายของเรา เช่น เราต้องไปทะเล นั่นคือคอนเซปต์ ส่วนจะไปทะเลด้วยวิธีการไหนนั่นคือไอเดียครับ กลับมาที่หนังสือเล่มนี้ต่อ หนังสือที่จะทำให้คุณรู้ว่าคอนเซปต์นั้นสำคัญไฉน เพราะ ยะมะดะ โซ ผู้เขียนเป็นถึง Creative Director…

Think Like A Freak คิดพิลึกแบบนักเศรษฐศาสตร์

สรุปหนังสือที่สอนให้เราคิดไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะชื่อก็บอกแล้วว่าคิดพิลึกแบบนักเศรษฐศาสตร์ครับ เพราะบางทีปัญหาที่เราคิดแทบหัวแตก พอเราลองคิดเล่นๆแบบแปลกๆกลับคิดออกแบบง่ายๆ ผู้เขียนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง Steven D. Levitt ที่เขียนร่วมกับ Stephen J. Dubner นักเขียนจากหนังสือพิมพ์ชื่อดัง The Newyork Time มาร่วมกันถ่ายทอดประสบการณ์พร้อมเรื่องสนุกๆจากการคิดพิลึก หรือการคิดให้ลึกกว่าที่คนทั่วไปคิด อย่างบางช่วงที่เคยมีกระแสข่าวของโรคเส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ แต่พอซักพักกระแสข่าวนั้นก็หายไป ถ้าคิดแบบคนทั่วไปก็อาจคิดว่า “อ้อ คนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นโรคนี้แล้ว” แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าคิดให้พิลึกลงไปแบบนักเศรษฐศาสตร์ คุณอาจพบว่าคนที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่ในช่วงนั้นอาจมีแค่กลุ่มนักเขียนข่าวก็เป็นได้ แล้วพอพวกเค้าหายจากโรคนี้ก็แค่เลิกเขียนหรือพูดถึงมันไปเท่านั้นเองครับ เห็นมั้ยครับว่าถ้าคิดแบบทั่วไปก็คงไม่สามารถคิดแบบนี้ได้ ต้องคิดแบบพิลึก และคิดให้ลึกลงกว่าคนปกติแบบนักเศรษฐศาสตร์เท่านั้นจริงๆครับ หรือจากข่าวฆ่าตัวตายเราอาจหลงคิดว่ากลุ่มคนที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนจนที่ลำบากลำบนกับชีวิตมากแน่ๆ…

Mindset ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา

“อัจฉริยะ หรือ ไม่ลดละ” ระหว่างที่อ่านมาได้ซักพักผมคิดถึงประโยคนี้เสมอ ผมเคยอ่านเจอจากหนังสือเล่มไหนผมจำไม่ได้แล้วที่เค้าบอกว่า David Beckham ที่ดูเป็นอัจฉริยะลูกหนัง หรือนักเตะมากพรสวรรค์นั้น ท่านเซอร์เฟอร์กี้บอกว่า พรสวรรค์ของ Beckham คือความขยันและอดทนฝึกซ้อมเตะฟรีคิกมากกว่าคนอื่นจะทำได้ จากประโยคนั้นทำให้ผมมีมุมมองใหม่ต่อคำว่าอัจฉริยะหรือพรสวรรค์ที่ต่างจากเดิมที่เคยเชื่อมาแต่เกิดโดยสิ้นเชิง เพราะเบื้องหลังอัจฉริยะที่เราคิดว่าเค้ามีพรสวรรค์นั้น แท้จริงเค้าคือคนที่อาบเหงื่อต่างน้ำมากกว่าคนอื่น เพราะในบรรดาคนเก่งก็ต่างเต็มไปด้วยคนเก่งไม่แพ้กัน แต่คนที่อดทนมากกว่าคนอื่นต่างหากคืออัจฉริยะ แล้วที่เล่ามาทั้งหมดนี้เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้อย่างไรล่ะ? คุณอาจกำลังสงสัย และผมก็กำลังจะบอกว่าเกี่ยวมาก เพราะ mindset หรือความคิดตั้งต้นนั้นเป็นตัวกำหนดให้เราเป็นคนรอคอยพรจากสวรรค์ หรือเป็นคนที่เรียนรู้และลงมือทำอย่างไม่ลดละกันแน่ แก่นหลักของหนังสือเล่มนี้บอกว่า “ความคิด” หรือ mindset ของคนเราแบ่งออกได้เป็นสองประเภท…

51 วิธีคิดของลูกน้องที่หัวหน้าอยากสนับสนุน

เขียนจากประสบการณ์ตรงของพนักงานระดับล่างธรรมดาๆตัวจริงที่ไม่ได้มีเส้นสายหรือนามสกุลอะไร จนสามารถไต่เต้าเป็น CEO ของบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้ และยังได้เป็น CEO ของสองแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Starbucks และ The Body Shop ที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย Matsuo Iwata คือชายคนที่ผมพูดถึง เค้าได้เป็น CEO บริษัทแรกด้วยวัยเลข 4 ต้นๆ ก่อนหน้านี้เค้าเคยเขียนหนังสือขายดีชื่อ “51 วิธีคิดของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากสนับสนุน” เพื่อแนะนำให้บรรดาหัวหน้าทั้งหลายรู้ว่าควรปรับตัวและรับมือกับลูกน้องหรือแม้แต่หัวหน้าที่อยู่ระดับสูงขึ้นไปอย่างไร หลังจากเขียนเล่มที่ว่าจนขายดิบขายดีที่ญี่ปุ่น และก็แปลออกไปอีกหลายภาษาทั่วโลก เค้าเลยโดนรบเร้าว่า “แล้วหนังสือของลูกน้องล่ะ ไม่มีบ้างหรือ?”…

inGenius วิชาความคิด ที่คุ้มค่าหน่วยกิตที่สุดในโลก

เป็นหนังสือที่บอกให้รู้ว่า “ความคิด” หรือ “ความคิดสร้างสรรค์” นั้น ไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์ส่วนบุคคล หรือปริศนาธรรมแสนลึกลับที่ไม่สามารถคาดเดาเวลาเกิด หรือแม้กระทั่งไม่สามารถคาดคั้นให้เกิดไอเดียดีๆออกมาได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไอเดียดีๆสามารถสร้างหรือเริ่งได้ ถ้าเรารู้วิธีและขั้นตอนของมัน เรามักชอบคิดว่าถ้าอยากได้ไอเดียดีๆ ต้องมีเวลา ต้องมีทรัพยากร ต้องมีบลาๆๆมากพอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยิ่งมีข้อจำกัด ยิ่งเต็มไปด้วยอุปสรรค กลับยิ่งเต็มไปด้วยไอเดียหรือความคิดที่สร้างสรรค์มากมาย ยิ่งเวลาน้อย ไอเดียก็ยิ่งออกมาเร็วขึ้นยิ่งเงินน้อย ไอเดียก็ยิ่งดีขึ้นยิ่งถูกกดดัน ไอเดียก็ยิ่งแข็งแรงขึ้น Marrisa Mayer อดีตหัวหน้าแผนกพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกูเกิล และอดีต CEO ของ Yahoo…

THE DISRUPTOR

สรุป The Disruptor อย่างย่อ นี่คือหนังสือที่เต็มไปด้วยเรื่องราวดีๆกว่า 50 ตอนสั้นๆ ขนาดตอนละไม่เกิน 10 หน้า ที่สามารถเอาติดตัวไว้อ่านระหว่างเดินทางไปไหนมาไหน หรือแม้จะตอนที่กำลังขึ้นลิฟต์ รอกาแฟ หรือแม้แต่จะเข้าส้วมก็ยังได้ แล้วถึงแม้แต่ละตอนจะสั้นๆแต่สาระที่ได้นั้นกลับไม่ได้น้อยเหมือนอย่างจำนวนหน้าเลย เพราะหลายเรื่องเป็นประสบการณ์ตรงของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ CEO เครื่องสำอางศรีจันทร์ (ที่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพิ่งรีแบรนด์ใหม่ทำเอาไม่น้อยหน้าแบรนด์ฝรั่งใดๆเลยด้วยซ้ำ) จากการบริหารธุรกิจของตัวเองที่เอามาถ่ายทอดให้เราได้เรียนรู้โดยที่เราไม่ต้องเจ็บตัวแบบเค้า หรือบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ผมเคยอ่านเจอมาแล้ว แต่คุณรวิศก็ได้ให้มุมมองใหม่ที่ผมคาดไม่ถึงมาก่อน ทำให้ผมได้ขยายมุมมองและความรู้เดิมที่เคยมีในเรื่องเก่าให้กลายเป็นเรื่องใหม่ในแบบที่นึกไม่ถึง และอีกหลายเรื่องที่ผมไม่เคยรู้หรืออ่านเจอมาก่อน แต่คุณรวิศน่าจะเป็นนักสะสมข้อมูลตัวยง เห็นท้ายเล่มบอกว่าสะสมหนังสือไว้กว่า 5,000 เล่ม (โอเคตอนนี้ผมยอมแพ้ครับ…

52 วิธีคิดให้ได้อย่างเฉียบคม The Art of Thinking Clearly

“ความคิด กับ ความจริง คือคนละสิ่งกัน” ถ้าให้สรุปหนังสือเล่มนี้ในหนึ่งประโยค ผมว่าประโยคนี้แหละ เพราะเรามักจะสร้างความคิดขึ้นมาครอบงำความจริงไว้อีกขั้นนึง ความคิดจึงมีความจริงอยู่ส่วนนึงที่เป็นส่วนน้อย ที่เหลือก็จะเป็นอารมณ์ สภาพแวดล้อม หรือตัวแปรต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา ดังนั้นหนังสือเล่มนี้เลยเหมือนคู่มือที่ทำให้เราเข้าใจหลักการ 52 ของความคิดคิด เพื่อให้เรารู้เท่าทันและเข้าใจตัวเราเองและคนเราว่า “คิดกันยังไง” ถ้าถามว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนที่ทำงานด้านการตลาด โฆษณา หรือนักวางกลยุทธ์ เพราะคุณจะรู้ว่าเราสามารถชี้นำความคิดหรือพฤติกรรมของคนได้ด้วยวิธีไหนบ้าง แน่นอนไม่มีวิธีไหนสามารถรับประกันผลได้ 100% แต่มันก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จให้ได้ เช่น เรื่อง Illusion of control หรือ…

วิชาความสุข ที่มีสอนแค่ในฮาร์วาร์ด Happier

“ความสุขของเราคืออะไร?” และ “ทำไมสิ่งนี้ถึงเป็นความสุขของเรา?” คำถามแรกคือคำถามที่ผุดขึ้นมาทันทีเมื่อเริ่มอ่านและอ่านจบ ส่วนคำถามที่สองเริ่มโผล่ออกมาเมื่อย้อนคิดถึงคำถามแรก ถ้าจะบอกว่าความสุขคือจุดมุ่งหมายสูงสุดในการใช้ชีวิตของคนเราก็ไม่ผิดนัก เพราะทุกคนต่างก็ดิ้นรนแสวงหาความสุขกันทั้งนั้น เพียงแต่ “ความสุขของเราคืออะไร?” นี่คือคำถามที่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มีคำตอบในใจอยู่แล้ว เช่น มีรายได้พอเลี้ยงครอบครัวให้อยู่สุขสบาย (บางคนต้องการเดือนละสองหมื่น แต่บางคนก็ต้องการเดือนละสองล้าน) หรืออาจจะเป็น เมื่อทำธุรกิจประสบความสำเร็จจนมีเงินเก็บถึงจุดนึง (บางคนต้องการสิบล้านบาท หรือบางคนก็ต้องการร้อยล้านบาทขึ้นไป) หรือบางคนอาจจะเป็นการที่ได้เรียนจบเกรียตินิยม หรืออาจจะเป็นการได้ทำงานในบริษัทที่มั่นคงและมีชื่อเสียง หรืออาจจะเป็นการได้มีตำแหน่งใหญ่โต เป็น VP หรือบอร์ดบริหาร หรือบางคนอาจจะแค่ได้กินของอร่อยๆอย่างไอศกรีมซักแท่ง นั่นแหละครับความสุขที่ต่างกันไปของแต่ละคน แต่ส่วนใหญ่ก็คงคล้ายๆกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงิน บ้าน รถ งาน…